ข่าว
สื่อนอกจับตา “ไทย” หวั่น “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” คืนชีพ แนะเข้มปราบ “จีนเทา”ปกป้องภาคการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2566 ThinkChina สำนักข่าวออนไลน์ภาคภาษาอังกฤษในเครือ นสพ. Lianhe Zaobao ของสิงคโปร์ เผยแพร่บทความ Chinese tourists return to Thailand on ‘zero-fare tours’, and locals aren’t happy ซึ่งเขียนโดย คลอเดีย เหลียว (Claudia Liao) ผู้สื่อข่าวของ Lianhe Zaobao ว่าด้วยประเทศไทยอาจเผชิญกับการคืนชีพของ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ (Zero-fare Tour)” ภายหลังจีนเปิดประเทศให้พลเมืองเดินทางไปเที่ยวต่างแดนได้ และประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญ

บทความเริ่มต้นด้วยการอ้างถึงราคาตั๋วเครื่องบินจากกวางโจวไปกรุงเทพฯ ประมาณกลางเดือน ก.ค. 2566 อยู่ที่อย่างน้อย 1,000 หยวน (ประมาณ 5 พันบาท) แต่บริษัทนำเที่ยวบางแห่งเสนอแพ็คเกจทัวร์ 6 วัน 5 คืนในราคาเพียง 999 หยวน (ไม่เกิน 5 พันบาท) รวมตั๋วเครื่องบิน ที่พักระดับ 5 ดาว อาหาร และไกด์ แพ็คเกจท่องเที่ยวราคาถูกเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นธุรกิจที่ขาดทุน แต่สามารถพบได้ในเว็บไซต์ท่องเที่ยวของจีนหลายแห่ง และบริษัทนำเที่ยวหลายแห่งก็ส่งเสริมอย่างจริงจัง

- อะไรคือทัวร์ศูนย์เหรียญ ? : กรุ๊ปทัวร์ประเภทนี้กำลังดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยราคาที่ต่ำมาก

แต่ในทางกลับกัน นักท่องเที่ยวจะถูกพาไปยังจุดช้อปปิ้งที่กำหนดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเดินทาง เพื่อให้บริษัทนำเที่ยวสามารถเรียกคืนค่าใช้จ่ายจากค่าคอมมิชชั่นการขายได้ เช่น ทริป 6 วัน 5 คืนที่น่าหลงใหลไปกรุงเทพฯ และพัทยาในราคา 999 หยวน บริษัทนำเที่ยวแจ้งฉันว่ากำหนดการเดินทางมีจุดแวะช้อปปิ้งที่กำหนดไว้ 3 แห่ง ซึ่งไกด์มักจะพานักท่องเที่ยวไปซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่ทำจากยางพารา ผ้าไหม หรือยารักษาโรค แม้ว่าการช้อปปิ้งจะหยุดลง แต่ทัวร์ศูนย์เหรียญยังคงน่าดึงดูดใจเนื่องจากต้นทุนที่ต่ำ แพ็คเกจทัวร์ในไทย

แบบไม่ต้องซื้อของ โดยทั่วไปจะมีราคาประมาณ 2,500-3,000 หยวน (ประมาณ 12,500-15,000 บาท) ซึ่งรวมตั๋วเครื่องบิน หรือ 4,000 หยวน (ประมาณ 2 หมื่นบาท) ในช่วงวันหยุดฤดูร้อน ไม่รวมค่าธรรมเนียมวีซ่าและทิป เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วทัวร์ช้อปปิ้งมีราคาเพียงครึ่งเดียวหรือน้อยกว่านั้น

- นักท่องเที่ยวจีนสำคัญอย่างไรต่อประเทศไทย ? : จากข้อมูลของเว็บไซต์ท่องเที่ยวจีนหลายแห่ง ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีน ในปี 2566 นักท่องเที่ยวจีนกว่า 1 ล้านคนเดินทางไปเที่ยวที่เมืองไทย และความต้องการที่แข็งแกร่งทำให้เกิดตลาดขนาดใหญ่สำหรับทัวร์ศูนย์เหรียญ รัฐบาลไทยคาดว่าจะต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน 5 ล้านคนในปีนี้ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 446,000 ล้านบาท (12,780 ล้านเหรียญสหรัฐ) ขึ้นอยู่กับจำนวนเที่ยวบินในช่วงฤดูท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยอาจสูงถึง 7 ล้านคน

ภาคการท่องเที่ยวเป็นเสาหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด และนักท่องเที่ยวชาวจีนก็เป็นหนึ่งในแหล่งที่มาหลักของการท่องเที่ยวในประเทศไทย จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะเป็นตัวกำหนดจังหวะการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย และแม้กระทั่งความเร็วที่เศรษฐกิจไทยจะพ้นจากเงามืดของสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19

- ไปกับ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” นักท่องเที่ยวถูกบังคับให้ต้องจ่ายสารพัด: แม้ทัวร์ต้นทุนต่ำจะนำนักท่องเที่ยว จีนมาไทย แต่ก็สร้างผลกระทบทางลบต่อผู้เกี่ยวของกับการท่องเที่ยวของไทยเช่นกัน เมื่อทัวร์ศูนย์เหรียญของจีนมายังประเทศไทยแพร่หลายตั้งแต่เมื่อ 7-8 ปีก่อน มีเหตุการณ์เชิงลบหลายอย่าง รวมถึงไกด์นำเที่ยวบังคับให้นักท่องเที่ยวซื้อสินค้า ดูถูก ข่มขู่ และแม้กระทั่งทำร้ายร่างกายหรือทิ้งนักท่องเที่ยวไว้กลางทางหากขัดขืนหรือจ่ายเงินน้อยกว่าที่ต้องการ

ฟู่เหวินเฉียน (Fu Wenqian) ครูสาววัย 24 ปี จากมณฑลกวางตุ้งของจีน เปิดเผยว่า ตนเคยใช้บริการทัวร์ราคาต่ำเดินทางไปยังพื้นที่มองโกเลียใน อันเป็นเขตปกครองตนเองของจีนทางภาคเหนือ แล้วต้องเจอกับเรื่อง ราวแย่ๆ นั่นคือทุกที่ที่เดินทางไปล้วนต้องจ่ายเงินทั้งสิ้น เพราะไม่มีอะไรเลยที่ถูกรวมอยู่ในค่าเดินทางกับทัวร์ อาทิ เมื่อลูกทัวร์ไปถึงทุ่งหญ้า ไกด์บอกว่าต้องจ่ายค่ารถออฟโรดเพื่อไปต่อ หรือต้องรอคนอื่นจนค่ำ มันเป็น ธุรกรรมที่ถูกบังคับ และในที่สุดตนก็ใช้เงินไป 1,000-2,000 หยวน (ประมาณ 5,000-10,000 บาท) ซึ่งตนรู้สึกว่าถูกโกง

“หลังจากประสบการณ์ในมองโกเลียใน ฉันจะไม่คิดที่จะเข้าร่วมทัวร์ราคาถูกมากแบบนี้อีกเลยแม้แต่น้อยกับการเดินทางไปประเทศไทย เพราะเมื่อคุณไม่เข้าใจภาษาและไม่คุ้นเคยกับสถานที่นั้น คุณก็จะตกอยู่ในสภาพที่แล้วแต่ความเมตตาในการจัดเตรียมของมัคคุเทศก์” ฟู่ กล่าว

- ทัวร์ศูนย์เหรียญสร้างห่วงโซ่ธุรกิจแบบปิด : เมื่อเร็วๆ นี้ สื่อไทยให้ความสนใจกับการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่ายจากจีน โดยวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มทัวร์เหล่านี้ว่าบังคับให้นักท่องเที่ยวจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าและบริการที่มีคุณภาพต่ำ ซึ่งทำลายชื่อเสียงของภาคการท่องเที่ยวไทย ดังที่ ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร (Sisdivachr Cheewarattanaporn) นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) กล่าวว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญสร้างความเสียหายมากกว่าทัวร์ที่จัดโดยบริษัทนำเที่ยวผิดกฎหมาย เนื่องจากส่งผลกระทบระยะยาวมากกว่า

เป็นที่ทราบกันดีว่าบริษัททัวร์บางแห่งจ้างไกด์ชาวจีนอย่างผิดกฎหมายเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่นั่นคือการแย่งโอกาสในการทำงานจากไกด์ชาวไทยในท้องถิ่น อีกทั้งยังสร้างเครือข่ายธุรกิจแบบปิด โดยนักท่องเที่ยวจะถูกพาไปยังโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าเฉพาะภายในเครือข่ายนี้เท่านั้น ซึ่งไม่เอื้อต่อการพัฒนาโดยรวมของธุรกิจภาคการท่องเที่ยว และมีรายงานว่าสถานที่เหล่านั้นส่วนใหญ่ดำเนินการโดยนักธุรกิจชาวจีน

บทความอ้างการเปิดเผยของ ยุทธศักดิ์ สุภสร (Yuthasak Supasorn) ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่กล่าวกับ นสพ.บางกอกโพสต์ สื่อท้องถิ่นในไทยที่รายงานข่าวภาคภาษาอังกฤษ ว่า ห่วงโซ่ธุรกิจการท่องเที่ยวแบบปิดเพิ่งเกิดขึ้นใหม่หลังสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เมื่อไม่นานมานี้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวกำลังเป็นกระแส รายได้จากการท่องเที่ยวเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเข้าสู่กระเป๋าของผู้ประกอบการไทย ในขณะที่ส่วนใหญ่จะไหลไปต่างประเทศ “จำเป็นต้องควบคุมกลุ่มทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่ยอมรับว่าเป็นการยากที่เจ้าหน้าที่จะสืบสวนหรือปราบปรามบริษัทนำเที่ยวเหล่านี้หากจดทะเบียนและดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย” ผู้ว่าฯ ททท. กล่าว

- ทางการไทยและจีนตอบสนองต่อทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างไรบ้าง ? : การกลับมาของทัวร์ศูนย์เหรียญได้รับความสนใจจากรัฐบาลไทย หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของไทยวางแผนที่จะใช้มาตรการที่ครอบคลุมเพื่อต่อสู้กับปัญหานี้ และกำลังเตรียมลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับรัฐบาลจีนเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน

ในปี 2559 รัฐบาลไทยเสนอมาตรการเพื่อปราบปรามกลุ่มทัวร์ศูนย์เหรียญ รวมทั้งกำหนดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำอย่างน้อย 1,000 บาท (29 เหรียญสหรัฐ) ต่อคนต่อวัน และจำกัดค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมเสริมส่วนบุคคลที่ 3,000 บาท เพื่อป้องกัน ค่าใช้จ่ายที่มากเกินไป ทางการไทยกล่าวว่ามาตรการเหล่านี้ทำให้รายได้ภาษีเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 ล้านบาทในปี 2560 เมื่อเทียบกับปี 2559

ในเดือน เม.ย. 2566 ททท. เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศไทยและรัฐบาลจีน ว่าด้วยรายชื่อบริษัทนำเที่ยวที่ถูกต้องตามกฎหมาย 189 แห่งที่ทำงานร่วมกับบริษัทจีน โดยบริษัทนำเที่ยวที่ไม่อยู่ในรายชื่อจะได้รับการตรวจสอบอย่างรอบด้านและต้องจัดเตรียมเอกสารประกอบการดำเนินธุรกิจของตนเพื่อนำเสนอบริการด้านการท่องเที่ยวต่อไป ทางการไทยยังเตือนด้วยว่า ผู้ประกอบการท่องเที่ยวชาวจีนรายใดก็ตามที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในลักษณะบริษัทนอมินีหรือดำเนินการแบบทัวร์ศูนย์เหรียญ หรือใช้ไกด์ต่างชาติ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

อีกด้านหนึ่ง พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา (Apichart Suriboonya) รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวของไทย เปิดเผยว่า การร้องเรียนเกี่ยวกับกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ผิดกฎหมายส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ และภูเก็ต ซึ่งไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักเดินทางจากยุโรปตะวันออกและอเมริกาใต้ด้วยที่เข้าร่วมกรุ๊ปทัวร์ศูนย์เหรียญและใช้ไกด์เถื่อนรวมถึงบริการจากบริษัทนอมินี ทั้งนี้ ไทยและจีนได้จัดทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน และไทยมีส่วนร่วมในการสื่อสารและประสานงานอย่างสม่ำเสมอกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของจีนเพื่อติดตามและควบคุมธุรกิจผิดกฎหมายที่ดำเนินการโดยตัวแทนชาวจีน

- ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในไทยต้องดิ้นรน : การรุกคืบของทัวร์ศูนย์เหรียญ ประกอบกับการที่นักท่องเที่ยวจีนยังเดินทางกลับมาไทยไม่เต็มที่ ทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยต้องค้นหาแหล่งลูกค้าใหม่ๆ รวมถึงตลาดยุโรป อาทิ ผู้ประกอบการของบริษัทนำเที่ยวขนาดเล็กใน จ.เชียงใหม่ ทางภาคเหนือของไทย ซึ่งดำเนินธุรกิจมากว่า 10 ปี กล่าวว่า บริษัทของตนจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น ขี่ช้าง ล่องเรือ และชมการแข่งขันมวยไทย ซึ่งในยุคก่อนไวรัสโควิด-19 ระบาด มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นลูกค้าหลัก แต่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอนหลังเกิดโรคระบาด ปัจจุบันจึงให้บริการนักท่องเที่ยวชาวยุโรปเป็นหลัก

“ตั้งแต่จีนกลับมาเปิดให้ประชาชนออกมาท่องเที่ยวต่างประเทศอีกครั้ง ความต้องการจากนักท่องเที่ยวชาวจีนก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับระดับก่อนเกิดโรคระบาด คือประมาณครึ่งหนึ่งหรือหนึ่งใน สามของตัวเลขก่อนหน้านี้ นักท่องเที่ยวชาวจีนส่วนใหญ่สมัครกรุ๊ปทัวร์กับเอเจนซี่ในจีนแล้ว หรือมีแผนการเดินทางเป็นของตนเอง นักท่องเที่ยวชาวจีนยังคำนึงถึงค่าใช้จ่ายมากขึ้นและชอบที่จะใช้จ่ายกับแพ็คเกจท่องเที่ยวน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด” ผู้ประกอบการรายนี้ ระบุ

การปรากฏขึ้นอีกครั้งของกลุ่มทัวร์ศูนย์เหรียญสร้างความกังวลอย่างมากให้กับผู้ประกอบการรายดังกล่าว เนื่องจากการดำเนินการแบบวงปิดนี้จะพานักท่องเที่ยวไปยังร้านค้าของธุรกิจชาวจีนเท่านั้น ทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยรายเล็กอาจสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ และเพื่อความอยู่รอดจึงทำงานอย่างหนักเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากยุโรป ฮ่องกง และไต้หวัน และยังพัฒนาแพ็คเกจท่องเที่ยวขนาดเล็กมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว

Renjit บาริสต้าในร้านกาแฟแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ก็กังวลกับทัวร์ศูนย์เหรียญเช่นกัน เพราะมันได้กัดกินทรัพยากรของท้องถิ่นแต่ไม่ทำให้เศรษฐกิจท้องถิ่นเติบโตไปอย่างสอดคล้องกัน เช่นเดียวกับที่เมืองหลวงของไทยอย่างกรุงเทพฯ Chan เจ้าของบริษัททัวร์ที่เปิดกิจการมาแล้ว 10 ปี กล่าวว่า รายได้จากการบริโภคส่วนใหญ่ที่เกิดจากทัวร์ศูนย์เหรียญจะกลับไปหาผู้ประกอบการชาวจีน ทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวชาวไทยหาเงินได้ยาก ดังนั้นแม้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนจะเพิ่มขึ้น แต่ตนยังไม่มีแผนที่จะมองไปที่นักท่องเที่ยวเหล่านี้ โดยยังคงให้ความสำคัญกับลูกค้าจากยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย

- เส้นทางที่ไม่ราบรื่นของไทยในการฟื้นฟู : หนทางสู่การฟื้นตัวของธุรกิจภาคการท่องเที่ยวในไทยนั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย และการคืนชีพของทัวร์ศูนย์เหรียญมีแนวโน้มที่จะเป็นอุปสรรคสำคัญ โดย ภากร กัทชลี (Pagon Gatchalee) อาจารย์ภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า รัฐบาลไทยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาถึง 28 ล้านคนในปี 2566 แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการอาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายนี้ ทั้งความวุ่นวายหลังการเลือกตั้ง ข้อมูลเท็จและข่าวลือเกี่ยวกับอันตรายของการเดินทางมาประเทศไทย นักท่องเที่ยวที่รู้สึกว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงขึ้น ตลอดจนการกลับมาของทัวร์ศูนย์เหรียญ

ภากร ยังตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนเที่ยวบินระหว่างจีนและไทยยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่จนถึงระดับก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 แต่อีกมุมหนึ่ง ในขณะที่โครงสร้างต้นทุนสูงของธุรกิจการท่องเที่ยวและการล่มสลายของธุรกิจวงปิดจำนวนมากในช่วงการระบาดใหญ่ได้ชะลอการฟื้นตัวของทัวร์ศูนย์แหรียญ จึงเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลไทยจะควบคุมไม่ให้ทัวร์ศูนย์เหรียญคืนชีพกลับมาได้อีก

“รัฐบาลควรเพิ่มความพยายามในการปราบปรามการลงทุนที่ผิดกฎหมายของจีนและผู้ประกอบธุรกิจในประเทศไทย นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของทัวร์ศูนย์เหรียญเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความปลอดภัยของภาคการท่องเที่ยวไทยด้วย นอกจากทัวร์ศูนย์เหรียญแล้วยังมี ทัวร์พรีเมียมปลอม (Fake Premium Tour Group) ที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงเกินไปอีกด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งธุรกิจวงปิดที่ควบคุมโดยผู้ประกอบการชาวจีน ผมหวังว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์นี้มากขึ้น เพราะสิ่งนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยเฉพาะบริษัทนำเที่ยวรายย่อย” ภากร กล่าว

- รสนิยมที่เปลี่ยนไปของนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ : เมื่อมองไปข้างหน้า ภากร เชื่อว่าทัวร์ศูนย์เหรียญจะรักษาความดึงดูดใจของนักท่องเที่ยววัยหนุ่ม-สาวที่มาเยือนประเทศไทยได้ยาก เนื่องจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนกำลังเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ มีนักเดินทางอิสระชาวจีนจำนวนมากขึ้นที่มาเยือนประเทศไทยตั้งแต่ปี 2560 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบเชิงลบของทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย และนิสัยของคนรุ่นใหม่ในการรวบรวมข้อมูลและวางแผนการเดินทางด้วยตนเอง อีกทั้งคนรุ่นใหม่เต็มใจที่จะจ่ายมากขึ้นสำหรับสิ่งที่คิดว่าคุ้มค่า ซึ่งทัวร์ศูนย์เหรียญไม่ตอบโจทย์รสนิยมการท่องเที่ยวแบบนี้

รายงานจากสื่อสิงคโปร์ ทิ้งท้ายด้วย ฟู่ ครูสาวชาวจีนที่กำลังจะเดินทางมาประเทศไทยในเร็วๆ นี้ โดยกำลังดูคู่มือท่องเที่ยวจากแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อวางแผนการเดินทางของเธอ อย่างไรก็ตาม หากให้เลือก เธอบอกว่าเธอยังคงต้องการเข้าร่วมกรุ๊ปทัวร์แบบ “เที่ยวชมสถานที่ 100% (100% sightseeing)” เพื่อลดเวลาในการเตรียมทัวร์และแก้ปัญหาอุปสรรคด้านภาษา

“เมื่อเลือกกรุ๊ปทัวร์ การพิจารณาอันดับต้นๆ ของฉันคือมีการรับประกันว่าไม่มีการบังคับให้ใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นทัวร์เที่ยวชมสถานที่ 100% หรือไม่ ประการที่สอง ฉันจะตรวจสอบกำหนดการเดินทางและรีวิวของทัวร์ แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่จะใช้จ่ายมากขึ้นสำหรับทัวร์ระดับพรีเมียม เช่น บางอย่างที่แพงกว่าทัวร์ปกติ 1,000 หยวน ฉันรับได้” ครูสาวรายนี้ กล่าว

สถานกงสุลใหญ่ นครลอสแอนเจลิส ร่วมกับสมาคมไทยแห่งแคลิฟอร์เนียภาคใต้ จัดการประกวดแข่งขันการประกวด Instragram Reels Contest ในโอกาสครบรอบ 190 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สหรัฐฯ

ผลการแข่งขันการประกวด Instragram Reels Contestในโอกาสครบรอบ 190 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สหรัฐฯ โดยสถานกงสุลใหญ่ นครลอสแอนเจลิส ร่วมกับสมาคมไทยแห่งแคลิฟอร์เนียภาคใต้ จัดการประกวดแข่งขัน Video จากเยาวชนไทยใน US ประกาศผลผู้ชนะการประกวด IG Reels Video และได้ทำพิธีมอบรางวัลผู้ชนะเลิศ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยได้รับเกียรติจากนายต่อ ศรลัมพ์ กงสุลใหญ่ นครลอสแอนเจลิส เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล โดยมี นุชนาฏ อุงอำรุง นายกสมาคมไทยแห่งแคลิฟอร์เนียภาคใต้และทีมงานเข้าร่วมพิธีด้วย ผลการแข่งขันการประกวดมีดังนี้คือ

รางวัลที่1 ได้ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ 1ใบจาก ททท.คือน้องนาตาชา มาร์ จาก San Diego

รางวัลที่ 2 500 USD : คือ BENJAMIN BARAMEE GOODMAN

รางวัลที่ 3 300 USD : คือ MARINA PEARL TONGDEE

สามารถติดตามรายละเอียดได้ดังนี้

1. รางวัล popular vote : Link :

https://www.instagram.com/p/CrqEEqIrGv8/

2. รางวัลที่ 1 Link :

https://www.instagram.com/reel/Cqb9cmLMJ8D/?igshid= YmMyMTA2M2Y=

3. รางวัลที่ 2 Link :

https://www.instagram.com/reel/CrpyCJUud2i/?utm_source= ig_web_button_share_sheet

4. รางวัลที่3:Link :

https://www.instagram.com/reel/Crl3kHUgO_j/?igshid=YmMy MTA2M2Y=

ผู้ที่ได้รับรางวัลโปรดติดต่อกลับสถานกงสุลใหญ่ฯ เพื่อยืนยันตัวตนได้ที่

ฝ่ายชุมชน โทร (323) 962 - 9574 +ต่อ 221 หรือ อีเมล์ Thaicommunity@thaiconsulatela.org


อีสานบอลล์

เมื่อวันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2023 สมาคมอีสานแห่งแคลิฟอร์เนียภาคใต้ นำโดย “เบญจพร อัญฤาชัย” นายกสมาคมอีสานฯ พร้อมด้วยอดีตนายกสมาคมอีสานฯ อาทิ พูนสิน สุทธิสาร, วราภรณ์ เตียประสิทธิ์, รังสิต คงจันทร์ จัดงาน “อีสานบอลล์” ที่ Arcadia Community Center เพื่อนำรายได้สนับสนุนอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียนที่โรงเรียนทางภาคอีสาน โดยมี กงสุลใหญ่ ลอสแอนเจลิส ต่อ ศรลัมพ์ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน มีกิจกรรมสืบสานประเพณีพิธีแห่บั้งไฟ นอกจากนี้ยังมีการประกวดแต่งกายอีสานยอดเยี่ยม


“บิล เกตส์” เยือนจีนในรอบ 4 ปี เข้าพบ “สี จิ้นผิง” ที่กรุงปักกิ่ง

ผู้นำจีนต้อนรับนายบิล เกตส์ ที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นกลับมาเยือนแผ่นดินมังกรเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2562 ของอภิมหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวอเมริกัน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ให้การต้อนรับและพบหารือ กับนายบิล เกตส์ อภิมหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ และปัจจุบันดำรงตำแห่งประธานร่วมของมูลนิธิบิลแอนด์เมลินดา เกตส์ ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวันศุกร์ โดยนับเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ที่เกตส์เดินทางมายังจีน และถือได้ว่า เป็นเหตุการณ์แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ผู้นำจีนต้อนรับนักธุรกิจจากตะวันตกด้วยตัวเอง

ขณะที่สื่อกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลปักกิ่งรายงานไปในทางเดียวกัน ว่าสีกล่าวในช่วงหนึ่งระหว่างการสนทนากับเกตส์ ว่าอีกฝ่ายเป็น “เพื่อนเก่า” และ “เพื่อนชาวอเมริกันคนแรกในปีนี้” ซึ่งผู้นำจีนได้พบในกรุงปักกิ่ง และแสดงความหวังว่า การมาเยือนของเกตส์จะเป็นความหวัง และเป็นการสานต่อมิตรภาพระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ

ด้านเกตส์เปิดเผยหลังการเข้าพบกับสีว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้กลับมาเยือนจีนอีกครั้ง และกล่าวว่า หารือกับผู้นำจีน “ในหลายประเด็นสำคัญ” แต่ปฏิเสธขยายความ

อย่างไรก็ดี ต่อจากนั้นไม่นาน มูลนิธิบิลแอนด์เมลินดา เกตส์ ประกาศมอบความสนับสนุนมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,731 ล้านบาท) ให้แก่ทางการจีน เพื่อร่วมยกระดับโครงการต่อสู้กับโรคมาลาเรีย และวัณโรค

เครดิตภาพ : XINHUA... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/2444356/


เด็กอัจฉริยะวัย 12 จบป.ตรี อายุน้อยสุดในปวศ.แคนาดา พร้อมงานวิจัยสุดทึ่ง

แอนเธีย เกรซ แพทริเซีย เดนนิส สาวน้อยวัย 12 ปี เด็กอัจฉริยะ ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นคนอายุน้อยที่สุดที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในแคนาดา โดยสำเร็จปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ โดยเริ่มต้นสายวิชาการตั้งแต่อายุ 9 ขวบ

“ฉันจะภูมิใจ ฉันจะหวังว่าฉันจะไม่ตกเวที ฉันจะมีความสุขสำหรับตัวเองด้วย ไม่ใช่แค่สำหรับคนอื่นเท่านั้น ฉันภูมิใจในตัวเองที่มาถึงจุดนี้ได้ แม้จะมีอุปสรรคและอุปสรรคมากมายสำหรับคนอย่างฉันก็ตาม”

วิทยานิพนธ์ของเธอนั้นมีเนื้อหาครอบคลุม 40 หน้า มุ่นเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมการทำงานในสมอง และความโน้มเอียงในการใช้มือข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้างหนึ่ง การค้นพบของเธอ เผยให้เห็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของสมอง ระหว่างคนถนัดขวาและถนัดซ้าย

โจฮานนา เดนนิส แม่ของเธอ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว และอาจารย์สอนกฎหมาย เห็นความสามารถพิเศษของเธอตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบครึ่ง โดยแพทริเซียมองว่า การสำเร็จการศึกษาครั้งนี้เป็นโอกาสที่ได้แสดงความขอบคุณแม่ของเธอ

การเริ่มต้นชีวิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุยังน้อยนั้น ทำให้แพทริเซียเจอความท้าทายไม่เหมือนใคร ผู้คนมักมีอคติ และคาดหวังตามอายุของเธอ ทำให้เธอต้องจัดการและเอาชนะสิ่งนี้ด้วยความมุ่งมั่น ซึ่งเธอได้ฝากถึงคนอายุน้อยว่า อย่าปล่อยให้ความคาดหวังของคนอื่นมาบั่นทอน

นอกจากนี้ เธอยังมีความสามารถพิเศษในฐานะนักไวโอลินมากฝีมือ เธอชอบเล่นกับแมวของเธอและดูรายการทีวีกับครอบครัวของเธอ

หลังจากหมดช่วงพักร้อน แพทริเซียก็ศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา ซึ่งตัวเลือกของเธอคือ McGill University, University of Toronto และ Illinois Institute of Technology เพื่อค้นคว้าเรื่องสมองต่อไป และฝันจะมีห้องทดลองของตัวเองสักวัน

ที่มา uOttawa / risingafrica / cbc


'เกาหลีเหนือ' ยิงขีปนาวุธ 2 ลูก โต้ 'เกาหลีใต้-สหรัฐฯ' ซ้อมรบร่วม

16 มิ.ย.66 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สำนักงานคณะเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้รายงานว่า กองทัพเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธนำวิถีลูกหนึ่ง ตกลงในทะเลตะวันออก เมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการฝึกซ้อมรบร่วมด้วยกระสุนจริง ระหว่างกองทัพเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ ที่ดำเนินการใกล้กับเขตปลอดทหาร ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา

แม้การซ้อมรบลักษณะนี้ “ซึ่งเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ” โดยดำเนินการมาแล้ว 11 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2520 แต่การฝึกซ้อมครั้งนี้ มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากกองทัพทั้งสองประเทศ ขนระบบอาวุธเข้าร่วมประมาณ 610 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินขับไล่ เฮลิคอปเตอร์โจมตี อากาศยานไร้คนขับหรือโดรน และรถถัง

ขณะเดียวกัน กองทัพเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ยังอยู่ระหว่างเก็บกู้ซากจรวดของเกาหลีเหนือ ซึ่งพยายามปล่อยดาวเทียมสอดแนมทางทหาร เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยชิ้นส่วนจรวดตกลงในทะเลเหลือง ห่างจากชายฝั่งเกาะโอช็อง ที่อยู่นอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาหลีใต้ ออกไปทางตะวันตกอีกประมาณ 200 กิโลเมตร

ใครสมควรจะได้เป็น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป

ในฐานะที่สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจ ฉะนั้นหากเราพอจะวิเคราะห์และคาดการณ์ว่า ใครอยู่ในเกณฑ์และมีแนวโน้มจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไปในปีค.ศ. 2024 ก็ย่อมจะทำให้เราสามารถปรับตัวได้ไม่มากก็น้อยทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมือง และด้านการต่างประเทศที่จะมีต่อสหรัฐอเมริกา

สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนต่อไปนั้นจะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน ปีค.ศ. 2024 แต่ขณะนี้นักพนันส่วนใหญ่ต่างลงความเห็นว่า “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” เป็นตัวเก็งที่มีแต้มเป็นต่อมีส่วนจะได้รับเลือกอีกหนึ่งสมัย !!!

แต่อย่างไรก็ตามการเมืองของสหรัฐฯ ไม่แน่ไม่นอนมีภาวะผันผวนอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” สอบตกการเลือกตั้งไปเมื่อสองปีก่อน โดยที่เขาไม่ยอมทำใจรับการพ่ายแพ้ ทั้งๆ ที่ทราบล่วงหน้ามาก่อนแล้ว จะเห็นได้ว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์พยายามงัดเอากลเม็ดต่างๆ ออกมาใช้ เพื่อหวังจะพลิกโผการเลือกตั้ง แต่กลับประสบกับความล้มเหลวแทบทุกครั้ง

ทั้งๆ ที่ขณะนี้เจ้าหน้าที่ของพรรครีพับลิกันทั่วประเทศต่างก็ออกมาแถลงในแนวทางเดียวกันว่า “การเลือกตั้งเมื่อครั้งที่ผ่านมานั้น ถือเป็นการเลือกตั้งที่เป็นไปด้วยความราบรื่นสมบูรณ์แบบ และยุติธรรมที่สุด ซึ่งข้อกล่าวหาที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาประกาศป่าวร้องว่า มีการโกงเลือกตั้งไม่มีมูลความจริง”

“ศาสตราจารย์อะแลน ลิชต์แมน” นักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเรืองนามคนหนึ่งของสหรัฐฯ ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำนายผลการเลือกตั้งประธาธิบดีสหรัฐฯ ได้อย่างแม่นยำเต็มร้อยทุกๆ ครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 เป็นต้นมา

แม้กระทั่งในการเลือกตั้งเมื่อปีค.ศ. 2016 ที่บรรดาสำนักโพลต่างๆ ต่างคาดการณ์กันว่า “ฮิลลารี คลินตัน” คงจะได้รับชับชนะในการเลือกตั้งและได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสุภาพสตรีของสหรัฐฯ เป็นคนแรกก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าศาสตราจารย์ดร.ลิชต์แมน กลับทำนายตรงกันข้ามกับบรรดาสำนักหยั่งเสียง เพราะเขาออกมาทำนายว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับเลือก ซึ่งก็แม่นยำดั่งองค์เทพสามตามาดลใจ จนโดนัลด์ ทรัมป์ ยังเขียนจดหมายไปกล่าวคำขอบคุณต่อศาสตราจารย์ลิชต์แมนอีกด้วย

และในทำนองเดียวกันดร.ลิชต์แมน ก็ยังทำนายได้อย่างถูกต้องตรงเป๊ะว่า “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะพ่ายแพ้ และโจ ไบเดน จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไป”

ทั้งนี้ศาสตราจารย์ดร.ลิชต์แมน ได้ออกมาอธิบายถึงข้อกล่าวหาที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมากล่าวอ้างว่า มีการฉ้อฉลโกงการเลือกตั้งหลังจากที่ตนเองประสบกับความพ่ายแพ้ว่า เป็นเรื่องเท็จ ไม่มีมูลความจริง และไม่มีน้ำใจนักกีฬายอมรับต่อผลการพ่ายแพ้ นับว่าเป็นตัวอันตรายต่อรากฐานระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่เคยเกิด ขึ้นเช่นนี้ในแวดวงการเมืองของสหรัฐฯ มาก่อนเลย !!!

ในหนังสือของดร.ลิชต์แมน ที่เขียนเกี่ยวกับคดีปลดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง ที่หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า “The Case for Impeachment” ในบทที่ 5 หน้า 87 ท่านได้เขียนเอาไว้ว่า “การโกหกของประธานาธิบดีทรัมป์ถือเป็นการทรยศต่อประเทศชาติ ทำนองเดียวกับที่ “ประธานาธิบดีบิล คลินตัน” ให้การมดเท็จเมื่อปีค.ศ. 1998 กรณีอื้อฉาวที่เข้าไปมีเพศสัมพันธ์กับอดีตนักศึกษาสาว “โมนิกา ลูวินสกี” และทำนองเดียวกันกับกรณีวอร์เตอร์เกตของ “ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน” นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีการที่ “ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู.บุช” ออกมาปรุงแต่งปั้นเรื่องว่า อิรักมีอาวุธร้ายแรง” โดยศาสตราจารย์ดร.ลิชต์แมน เขียนลงในหนังสือว่า “รู้สึกประหลาดใจที่เพราะเหตุใดครั้งนั้น ประธานสภาฯ แนนซี เพโลซี มิยอมดำเนินการปลดประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู.บุช ออกจากตำแหน่ง”

ในหนังสือหน้า 88 ของหนังสือ “The Case for Impeachment” ท่านได้อธิบายกรณีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่า “ประธานาธิบดีผู้นี้มีประวัติการโกหกมาเกือบตลอดทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการโกหกทางด้านประกอบธุรกิจ ด้านการต่อสู้คดีมาแล้วนับพันๆ คดี” โดยศาสตราจารย์ดร.ลิชต์แมน ได้เขียนลงในหนังสือว่า “อดีตประธานาธิบดีทรัมป์คงจะไม่เปลี่ยนนิสัยและพฤติกรรม และคงจะตั้งหน้าตั้งตาโกหกต่อไป ถึงแม้ว่าจะกล่าวคำสาบานเอาไว้ว่า จะพูดแต่ความจริงก็ตาม”

ล่าสุดนี้ “อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรจอห์น โบห์เนอร์” ผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองอีกท่านหนึ่งของค่ายพรรครีพับลิกันได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ช่องซีบีเอส เมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า “ถึงเวลาแล้วที่พรรครีพับลิกันจะต้องเดินหน้าต่อไป และข้าพเจ้าขอเปิดใจพูดตรงๆเลยว่า พวกเราในพรรคควรจะถอยห่างออกจากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เสียที ” ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าอดีตประธานสภาฯ ได้ผันตัวถอยห่างออกจากประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ผู้ชุมนุมแห่แหนเข้าโจมตีรัฐสภาของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021

ตามมาด้วย “อดีตผู้ว่าฯคริส คริสตี” แห่งรัฐนิวเจอร์ซีย์นานสองสมัย และยังเคยมีตำแหน่งเป็นอัยการของรัฐบาลกลาง และเคยลงแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเจ็ดปีก่อน ซึ่งเขาเป็นคนแรกในบรรดาผู้เข้าแข่งขันที่ได้ออกมาประกาศสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ แต่หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์พ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อปี ค.ศ.2021 แถมยังไม่ยอมรับการพ่ายแพ้ ก็ปรากฏว่า ทั้งคู่ต่างหันหลังแยกวงคอนเวิร์สทางใครทางมัน !!!

และเมื่อวันอังคารที่แล้วผู้ว่าฯคริสตี ก็ได้ออกมาประกาศตัวลงสมัครแข่งขันการเป็นตัวแทนของพรรคกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ในการเลือกตั้งปี 2024 โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขาได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์

ซีเอ็นเอ็นว่า “คนอเมริกันผู้ที่มีสิทธิมีเสียงควรจะวิเคราะห์และเล็งเห็นถึงพฤติกรรมของประธานาธิบดีทรัมป์ว่าเป็นคนที่ขาดความรับผิดชอบ”

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผู้ว่าฯคริสตี ได้ออกเดินทางไปหาเสียงที่ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ เขาก็ได้กล่าวว่า “โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นนักฉวยโอกาส เป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวนฉุนเฉียวขี้โมโห แถมยังเป็นคนขี้โม้ และขณะที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีประสบแต่ความล้มเหลว”

ผู้ว่าฯคริส คริสตี วัย 60 ปี ได้ประกาศว่า ข้าพเจ้าพร้อม และเต็มใจที่จะกล่าวโจมตีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แม้จะเคยเป็นเพื่อนเก่ากันก็ตาม และนอกเหนือจากนั้นผู้ว่าฯคริสตี้ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เหมาะสมที่จะกลับไปทำเนียบขาวอีกต่อไป สืบเนื่องจากการที่เข้าไปอยู่เบื้องหลังยุยงชักใยให้ฝูงชนเข้าไปโจมตีรัฐสภานั่นเอง”

โดยตอนหนึ่งผู้ว่าฯ คริสตียังได้กล่าวว่า “อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกตั้งข้อหาและกำลังจะเผชิญต่อการถูกฟ้องร้องเพิ่มเติมในคดีอื่นๆ อีกมากมาย”

อนึ่งผู้ว่าฯ คริสตี ยังกล่าวเสริมเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า “ข้าพเจ้าทราบดีว่า ตนเองถนัดอะไร ข้าพเจ้ารู้วิธีโต้แย้ง และข้าพเจ้ารู้ว่าทั้งหมดจะลงเอยเช่นไร ซึ่งหมายความว่า พวกเราจะไม่ต้องกลัวอดีตประธานาธิบดีทรัมป์อีกต่อไปแล้ว” !!!

มองๆ ไปแล้วโอกาสที่ผู้ว่าฯ คริสตีจะได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน ดูเหมือนช่างแสนจะห่างไกล เนื่องมาจากเขาตัดสินใจประกาศลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีค่อนข้างล่าช้าและขาดเม็ดเงินสนับสนุน แต่ดูเหมือนว่าการที่เขามีความมุ่งมั่นเข้ามาลงแข่งขันในครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการที่จะมาโต้วาทีทำลายล้างอิทธิพลที่มีอยู่ในพรรครีพับลิกันของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ให้หมดสิ้นไปนั่นเอง !!!

อย่างไรก็ตามแม้ว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะโดนฟ้องร้องในนครนิวยอร์กถึง 34 กระทง และยังปรากฏอีกว่า เมื่อวันศุกร์ที่แล้วเขาก็ยังต้องเผชิญกับความผิดทางอาญาจากรัฐบาลกลางแถมเพิ่มอีก 37 กระทง ในข้อหาที่เอาเอกสารลับสุดยอดกว่า 300 ฉบับ ที่ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์กับต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของทหารและแหล่งข่าวที่เป็นความลับด้วย ที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์นำเอาไปเก็บไว้ที่บ้านพักมาร์-อา-ลาโก รัฐฟลอริด้า

กล่าวโดยสรุปทั้งนั้นและทั้งนั้นเมื่อวันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2023 หลังจากที่ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ปรากฏตัวในศาลรัฐบาลกลางไมอามี รัฐฟลอริด้า ที่เขาต้องเดินทางไปรับฟังข้อกล่าวหาทางคดีอาญา 31 กระทง เกี่ยวกับพระราชบัญญัติจารกรรม ปรากฏว่าวันนั้นบรรดาอดีตพันธมิตรเก่าของเขาที่เคยรักกันแบบสนิทสนมดูดดื่ม อาทิเช่น “มิชท์ แม็คคอนเนลล์” ผู้นำพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาหรือแม้กระทั่ง “อดีต ผู้ว่าฯ นิกกี้ เฮลีย์” แห่งรัฐเซาท์แคโรไลนาที่คาดว่าจะอยู่ในตำแหน่งรองประธานาธิบดีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ขณะนี้ต่างแสดงท่าทีเฉยเมยหันหลังตีตัวออกห่าง เท่ากับว่าทางเดินในแวดวงการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์คงจะอยู่ห่างออกไปแบบแสนยาวไกลทุกทีทุกที

ข่าว : ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย