สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ว่ากระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐระบุในแถลงการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐ ลดลงในอัตรา 0.5% ต่อปีในไตรมาสแรก และลดลงจากการประมาณการก่อนหน้านี้ที่ 0.2% และต่ำกว่าการเพิ่มขึ้น 2.4% ในไตรมาสที่ 4 ของปีก่อน...

ข้อมูลดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ หลังการนำเข้าพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ ส่งผลให้ธุรกิจต่าง ๆ พยายามกักตุนสินค้าก่อนมาตรการภาษีจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อจีดีพีของประเทศ

อย่างไรก็ตาม การทบทวนครั้งล่าสุดสะท้อนถึงการแก้ไขการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการส่งออกที่ลดลง โดยปัญหานี้ถูกชดเชยบางส่วนจากการปรับลดตัวเลขการนำเข้า....

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES...

วันที่ 27 มิถุนายน 2568...สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นางอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปเปิดเผย เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ว่าสหภาพยุโรป (อียู) ได้รับข้อเสนอการค้าฉบับล่าสุดจากสหรัฐอเมริกาแล้ว แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับข้อเสนอของสหรัฐ...

ฟอน แดร์ ไลเอินกล่าวหลังการประชุมสุดยอดผู้นำอียูที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ว่าตอนนี้อียูกำลังประเมินข้อเสนอของสหรัฐและยังไม่ตัดตัวเลือกใดออก อียูพร้อมที่จะทำข้อตกลงกับสหรัฐแต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมรับมือความเป็นไปได้ที่อาจไม่มีการบรรลุข้อตกลงที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม อียูจะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง

หากอียูและสหรัฐไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าได้ทันก่อนเส้นตายในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ สหรัฐอเมริกาจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทนแก่สินค้านำเข้าจากอียูเพิ่มขึ้นจากอัตราชั่วคราวที่ 10% เป็นในอัตรา 20% ในขณะเดียวกัน อียูยังเจอกับภาษี 25% ที่สหรัฐเรียกเก็บจากรถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียมจากอียู ทั้งยังอาจเจอกับภาษีเซมิคอนดักเตอร์และยา

อย่างไรก็ตาม นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังของสหรัฐระบุว่าอาจมีการขยายเส้นตายออกไปให้แก่ประเทศที่มีการเจรจาการค้าที่ดีกับสหรัฐ ขณะที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ฝรั่งเศสอยากให้มีการบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐอย่างรวดเร็วและอยากได้ข้อตกลงที่ทำได้จริงในทางปฏิบัติ แต่ฝรั่งเศสจะไม่ยอมรับเงื่อนไขใดที่ไม่เป็นธรรม...

ทั้งสหรัฐและอียูมีการเจรจาหลายครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ทรัมป์ได้หันไปให้ความสำคัญกับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน รวมถึงการเจรจาการค้ากับจีน...

27 มิถุนายน 2568; เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2568 กล่าวว่า จีนเปิดเผยรายละเอียดกรอบข้อตกลงการค้ากับสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่ารัฐบาลวอชิงตันจะยกเลิก "มาตรการจำกัด" ในขณะที่รัฐบาลปักกิ่งจะ "ตรวจสอบและอนุมัติ" สินค้าภายใต้การควบคุมการส่งออก

ลำดับความสำคัญสูงสุดของรัฐบาลวอชิงตันในการเจรจากับรัฐบาลปักกิ่งคือ การรับรองการจัดหาแร่ธาตุหายากที่จำเป็นสำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า, ฮาร์ดไดรฟ์ และอุปกรณ์ป้องกันประเทศ

จีนซึ่งครองการผลิตแร่ธาตุเหล่านี้ทั่วโลก เริ่มกำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตส่งออกตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ซึ่งถือเป็นการตอบโต้ภาษีศุลกากรที่ทรัมป์กำหนด

ทั้งสองฝ่ายตกลงกันภายหลังการเจรจาที่เจนีวาในเดือนพฤษภาคมว่าจะลดภาษีศุลกากรตอบโต้ชั่วคราวสำหรับผลิตภัณฑ์ของกันและกัน

จีนยังให้คำมั่นว่าจะผ่อนปรนมาตรการตอบโต้ที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรบางประการ แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ กล่าวหารัฐบาลปักกิ่งว่าละเมิดข้อตกลงและดำเนินการอนุมัติใบอนุญาตส่งออกแร่ธาตุหายากอย่างล่าช้า

ในที่สุด ทั้งสองก็ตกลงกันในกรอบการดำเนินการตามฉันทามติที่เจนีวา หลังเสร็จสิ้นการเจรจารอบสองที่ลอนดอนในเดือนนี้

เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวกับเอเอฟพีว่า รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์และจีนเห็นพ้องในข้อตกลงเพิ่มเติมสำหรับกรอบการดำเนินการตามข้อตกลงเจนีวา

การชี้แจงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดเผยว่ารัฐบาลวอชิงตันเพิ่งลงนามข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการค้ากับจีน โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

ขณะที่รัฐบาลปักกิ่งยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่าได้บรรลุข้อตกลงแล้ว

โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนระบุในแถลงการณ์ว่า "หวังว่าสหรัฐฯ และจีนจะหาจุดร่วมที่เหมาะสมได้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันรายละเอียดของกรอบข้อตกลงเพิ่มเติมแล้วในที่สุด"

ภายใต้ข้อตกลงนี้ จีนจะตรวจสอบและอนุมัติใบอนุญาตสำหรับสินค้าควบคุมการส่งออกที่เป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมาย และฝ่ายสหรัฐฯ จะยกเลิกมาตรการจำกัดชุดหนึ่งต่อจีน

นอกจากนี้ ทำเนียบขาวยังระบุด้วยว่า รัฐบาลวอชิงตันอาจขยายกำหนดเส้นตายเดือนกรกฎาคมออกไปอีก จากกรณีการกำหนดอัตราภาษีที่สูงขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลายสิบแห่ง

ทรัมป์ได้กำหนดอัตราภาษีศุลกากร 10% กับคู่ค้าส่วนใหญ่ในปีนี้ และเตรียมบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้อัตราสูงกับเศรษฐกิจหลายสิบแห่งที่เข้าแถวรอการเจรจา

ทั้งนี้ การระงับชั่วคราวดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคม

เมื่อถูกถามว่าจะมีการเลื่อนกำหนดเส้นตายอีกครั้งหรือไม่ แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "บางทีอาจขยายเวลาออกไปได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประธานาธิบดี"

"กำหนดเส้นตายนั้นไม่ใช่ประเด็น เพราะประธานาธิบดีสามารถกำหนดข้อตกลงกับแต่ละประเทศได้หากพวกเขาไม่สามารถทำข้อตกลงกับเราภายในกำหนดเส้นตาย"

"ซึ่งหมายความว่าประธานาธิบดีทรัมป์สามารถเลือกอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้แบบใดก็ได้ที่เขาเชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ" เธอกล่าวเสริม

ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชียและยุโรปพุ่งขึ้นทันที จากความหวังว่าจะมีการเลื่อนกำหนดเส้นตายดังกล่าว.

26 มิถุนายน 2568 : ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่าข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี และแซวเกี่ยวกับการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ครั้งใหม่กับเตหะราน ขณะที่ข่าวกรองของสหรัฐฯ ที่รั่วไหลออกมาทำให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงการนิวเคลียร์ของสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้

ทรัมป์กล่าวว่าสหรัฐจะเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ใหม่กับอิหร่าน แม้จะอวดอ้างว่าการโจมตีของสหรัฐทำให้โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านต้องหยุดชะงักก็ตาม

เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าอิสราเอลและอิหร่านนั้นต่างเหนื่อยล้า หลังจากทำสงครามกันมา 12 วัน และยังกล่าวอีกว่าการเจรจากับรัฐบาลเตหะรานมีกำหนดในสัปดาห์หน้า

ประธานาธิบดีมาซูด ปีเซชเคียน ของอิหร่านกล่าวเช่นกันว่าประเทศของเขายินดีที่จะกลับมาเจรจาอีกครั้ง แต่จะยังคงยืนยันสิทธิอันชอบธรรมของตนในการใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างสันติ

- ความเสียหายหลายทศวรรษ -

ทรัมป์ยืนกรานว่าการโจมตีของสหรัฐฯ ส่งผลให้ศักยภาพด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านถูกทำลายล้างทั้งหมด และจะส่งผลให้โครงการนิวเคลียร์ของประเทศล่าช้าไปอีกหลายทศวรรษ

แต่ก่อนหน้านี้ สื่อได้อ้างข้อมูลจากผู้ที่คุ้นเคยกับรายงานเบื้องต้นของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ที่ระบุว่าการโจมตีในช่วงสุดสัปดาห์นั้นไม่สามารถกำจัดเครื่องหมุนเหวี่ยงหรือคลังเก็บยูเรเนียมเสริมสมรรถนะของอิหร่านได้หมด

สำนักข่าวกรองกลาโหมรายงานว่าการโจมตีของสหรัฐฯ ได้ปิดกั้นทางเข้าบางส่วนของสถานที่ต่างๆ โดยไม่ทำลายอาคารใต้ดิน ซึ่งจะทำให้โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านล่าช้าไปแค่หลายเดือนเท่านั้น

- การโจมตีครั้งสำคัญ -

กองทัพอิสราเอลกล่าวว่าได้โจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านแล้ว แต่ก็ออกตัวว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลของปฏิบัติการนี้

นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูกล่าวว่า อิสราเอลได้รับชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ในความขัดแย้งที่กินเวลานาน 12 วัน และให้คำมั่นว่าจะขัดขวางความพยายามใดๆของอิหร่านที่จะสร้างโครงการนิวเคลียร์ขึ้นมาใหม่

- กองกำลังภาคพื้นดินในอิหร่าน -

นายพลเอียล ซามีร์ ผู้บัญชาการทหารอิสราเอลกล่าวว่า หน่วยคอมมานโดได้ปฏิบัติการลับภายในอิหร่านซึ่งถือเป็นดินแดนของศัตรู และให้เสรีภาพในการปฏิบัติการแก่กองทัพระหว่างการโจมตี

เขาเป็นเจ้าหน้าที่อิสราเอลคนแรกที่เปิดเผยต่อสาธารณะว่าทหารอิสราเอลได้ปฏิบัติการภาคพื้นดินในสาธารณรัฐอิสลาม

ขณะเดียวกัน หัวหน้าหน่วยข่าวกรองมอสสาดของอิสราเอล กล่าวขอบคุณหน่วยข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (ซีไอเอ) สำหรับความช่วยเหลือในปฏิบัติการร่วมระหว่างสงคราม

เดวิด บาร์เนีย หัวหน้าหน่วยข่าวกรองกล่าวว่า ซีไอเอได้สนับสนุนมอสสาดในการตัดสินใจที่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยว่าซีไอเอให้ความช่วยเหลือในระดับใด

- อิหร่านผ่อนปรนข้อจำกัดการใช้อินเทอร์เน็ต -

ทางการอิหร่านประกาศผ่อนปรนข้อจำกัดการใช้อินเทอร์เน็ตที่บังคับใช้ในช่วงถูกโจมตีก่อนการหยุดยิง

"เครือข่ายการสื่อสารค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม" หน่วยบัญชาการความมั่นคงทางไซเบอร์ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติกล่าวในแถลงการณ์ที่สื่อของรัฐเผยแพร่

สาธารณรัฐอิสลามยังได้เปิดน่านฟ้าฝั่งตะวันออกอีกครั้ง แต่ไม่อนุญาตให้บินไปยังส่วนอื่นๆ ของอิหร่าน รวมถึงกรุงเตหะราน จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม

- พิธีศพของรัฐ -

ในวันเสาร์ อิหร่านจะจัดงานศพของรัฐให้กับผู้บัญชาการทหารระดับสูงและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่เสียชีวิตระหว่างการโจมตีของอิสราเอล

แต่ร่างของฮอสเซน ซาลามี หัวหน้ากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติ ซึ่งถูกอิสราเอลสังหารเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน จะถูกฝังที่อิหร่านตอนกลางในวันพฤหัสบดี

กระทรวงสาธารณสุขของอิหร่านระบุว่า การโจมตีของอิสราเอลทำให้พลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 627 ราย

ขณะที่การโจมตีของอิหร่านทำให้มีผู้เสียชีวิต 28 ราย ตามตัวเลขของอิสราเอล

- สมาชิกรัฐสภาอิหร่านและ IAEA -

สมาชิกรัฐสภาอิหร่านลงมติเห็นชอบให้ระงับความร่วมมือกับหน่วยงานตรวจสอบนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ

"สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ซึ่งปฏิเสธที่จะประณามการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ได้ทำลายความน่าเชื่อถือในระดับนานาชาติของตนเอง" โมฮัมหมัด บาเกอร์ กาลิบาฟ ประธานรัฐสภาอิหร่านกล่าว

อย่างไรก็ตาม มติดังกล่าวยังคงต้องได้รับการอนุมัติจากสภาผู้พิทักษ์ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการตรวจสอบกฎหมาย.