องค์การอนามัยโลกแสดงความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในยุโรป หลังพบการติดเชื้อพุ่งสูง หวั่นกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดอีกรอบ
ชาวโลกต้องจับตาดูสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 อีกครั้ง หลังพบเคสติดเชื้อรายใหม่พุ่งสูงในภูมิภาคยุโรป โดยในการประชุมล่าสุดขององค์การอนามัยโลก ผู้อำนวยการฝ่ายยุโรปขององค์การอนามัยโลกฮานส์ คลู้ก ระบุว่า หากสถานการณ์การระบาดยังคงเป็นไปแบบนี้ ภูมิภาคยุโรปจะมีคนเสียชีวิตจากโควิด-19 ถึงครึ่งล้านคนภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าแน่นอน ซึ่งสาเหตุหลักส่วนหนึ่งเกิดจากการฉีดวัคซีนที่ยังไม่มากเพียงพอ
ดังนั้นทุกประเทศจะต้องเร่งเปลี่ยนการวางกลยุทธ์ เพื่อรับมือกับการระบาดโดยเร็ว เพื่อไม่ให้สถานการณ์การระบาดต้องเลวร้ายอย่างที่คาดการณ์ พร้อมแสดงความไม่เห็นด้วยกับการผ่อนคลายมาตรการด้านสาธารณสุขในหลายประเทศ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มขึ้นในยุโรป โดยข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่ามีผู้เสียชีวิตในภูมิภาคยุโรปที่ครอบคลุม 53 ประเทศแล้ว 1.4 ล้านศพ
ด้านนางมาเรีย แวน เคอร์โคฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคของโครงการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขแห่งองค์การอนามัยโลก ระบุว่า ในรอบ 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในยุโรปเพิ่มขึ้นมากถึงกว่า 55 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆ ที่มีวัคซีนและเครื่องไม้เครื่องมือพร้อม โดยเยอรมนีมียอดติดเชื้อทำสถิติสูงสุดถึงเกือบ 34,000 คนในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ไม่ต่างจากสหราชอาณาจักรที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มรายวันถึงกว่า 37,000 คน จนหวั่นว่าการระบาดในรอบที่ 4 นี้ อาจจะมียอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงและกดดันระบบสาธารณสุขอีกครั้ง
ทั้งนี้ อัตราการฉีดวัคซีนในภูมิภาคยุโรปชะลอตัวลงต่อเนื่อง ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยมีสเปนที่มีผู้ที่รับวัคซีนครบสองโดสแล้วราว 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในฝรั่งเศสและเยอรมนี มีผู้รับวัคซีนครบสองโดสเพียง 68 เปอร์เซ็นต์และ 66 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ
นอกจากนี้ในประเทศทางตอนกลางและตะวันออกของยุโรปก็มีตัวเลขการฉีดวัคซีนต่ำมากเช่นกัน ขณะที่รัสเซียมีผู้ที่รับวัคซีนครบโดสแล้วเพียงแค่ 32 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมารัสเซียมีผู้เสียชีวิตทำสถิติสูงสุดที่ 8,100 ศพ
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผสม นักลงทุนยังจับตาสถานการณ์อสังหาฯ จีน หลังหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ดิ่ง ฉุด “ฮั่งเส็ง” ติดลบ ขณะที่สถานการณ์โควิดในจีนยังน่าเป็นห่วง
ดัชนีฮั่งเส็ง ดิ่งลงต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาในช่วงบ่ายของวันที่ 5 พ.ย. 64 หลังนักลงทุนเกิดความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์หนี้สะสมของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จีน หลังจากหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง เอเวอร์แกรนด์ และ Sunac China Holdings ดิ่งลงทั้งคู่ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาในจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ยังพบการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การประกาศล็อกดาวน์ระดับท้องถิ่น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อคาดการณ์เศรษฐกิจจีนหลังจากนี้
หุ้นเอเชียเปิดตลาดผสมในวันนี้ โดยตลาดหุ้นฮ่องกงเป็นตัวฉุดตลาดในภูมิภาคให้ปรับตัวลง ดัชนีฮั่งเส็ง ดิ่งลง 1.36 เปอร์เซ็นต์ ไปอยู่ที่ 24,881.70 จุด ส่วนดัชนีนิคเคอิ ปรับตัวลดลงเช่นกัน ติดลบ 0.61 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 29,611.57 จุด ขณะที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ปรับตัวลงเล็กน้อย 0.98 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 3,492.29 จุดในช่วงบ่าย
“ฮั่งเส็ง” และ “นิคเคอิ” ปรับตัวขึ้น เฟดปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตร
เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 64 ดัชนีนิคเคอิ และ ฮั่งเส็ง ปรับตัวขึ้นตอบรับการที่ เฟด ปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรเริ่มต้นสิ้นเดือน พ.ย. 64 นี้ คาดเป็นสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว
หุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นหลังเปิดตลาด ตอบรับการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด เตรียมลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ โดยเมื่อเวลา 13.20 น. ของวันที่ 4 พ.ย. 64 ดัชนีฮั่งเส็ง ปรับตัวขึ้น 0.3 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 25,092.23 จุด สูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ขณะที่ดัชนีนิคเคอิ 225 ปรับตัวขึ้น 0.93 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 29,794.37 จุด ส่วนดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ปรับตัวขึ้นเช่นกัน 0.7 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 3,521.53 จุด นอกจากนี้หุ้นเอเชียยังได้รับแรงหนุนจากสัญญาณด้านบวกที่คาดการณ์ว่าจีนแผ่นดินใหญ่อาจเปิดพรมแดนเร็วขึ้น
ส่วนการที่เฟดประกาศลดวงเงินซื้อพันธบัตรในครั้งนี้ เป็นไปตามที่นักลงทุนคาดการณ์เอาไว้ โดยจะเริ่มลดวงเงิน 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 501,000 ล้านบาทต่อเดือน หลังจากที่มีสัญญาณมาสักพักว่าเฟดจะเริ่มลดโปรแกรมการช่วยเหลือต่างๆ ที่ถูกประกาศในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว ขณะเดียวกันยังถูกมองว่าเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากนี้
เกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลันหลังจากฝนตกอย่างหนักบนเกาะชวา คร่าชีวิตชาวบ้านอย่างน้อย 2 ศพ และมีผู้สูญหายอย่างน้อย 8 คน
เกิดเหตุแม่น้ำบนภูเขาของเกาะชวาเอ่อล้นตลิ่ง ก่อนจะทะลักไหลเข้าท่วมหมู่บ้าน 5 หมู่บ้านในเมืองบาตู ในจังหวัดชวาตะวันออก ทำให้ชาวบ้านถูกพัดพาไปกับกระแสน้ำ 15 คน และมี 5 คนที่ได้รับการช่วยเหลือ
เบื้องต้นหน่วยกู้ภัยพบศพผู้เสียชีวิตใกล้ลุ่มแม่น้ำ แบรนตาส 1 ศพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และพบอีกศพหนึ่งเมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ ทำให้มียอดรวมผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 ศพ และยังมีผู้สูญหายอีก 8 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังเร่งค้นหา และรวบรวมข้อมูลความเสียหาย
อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากถนนหลายสายถูกโคลนถล่มและเศษซากความเสียหายปิดทับเส้นทาง ขณะที่สะพานได้รับความเสียหาย รถยนต์และบ้านจำนวนมากถูกทับถมไปด้วยโคลน
หัวหน้าหน่วยบรรเทาสาธารณภัย กานิบ วาร์สิโต ระบุว่า หน่วยพยากรณ์อากาศคาดว่าจะยังคงมีฝนตกหนักต่อเนื่อง และอาจจะมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนหนึ่งจากปรากฏการณ์ ลานีญา
ทั้งนี้ ในช่วงฤดูฝน มักจะเกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินโคลนถล่มในอินโดนีเซีย สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง และกระทบต่อประชาชนหลายล้านคนของอินโดนีเซียที่มักอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขา และพื้นที่ชุ่มน้ำใกล้แหล่งน้ำ
ที่มา :แชนแนลนิวส์เอเชีย
ครอบครัวของเด็กหญิง คลีโอ สมิธ วัย 4 ขวบ พาเธอกับน้องสาวไปเที่ยวตั้งแคมป์เป็นครั้งแรกในเมืองชายฝั่งทางตะวันตกของออสเตรเลีย แต่หลังจากคืนแรกผ่านไป คลีโอ กลับหายจากเต็นท์ไปอย่างไร้ร่องรอย
ตำรวจ เจ้าหน้าที่กู้ภัย และอาสาสมัครกว่า 100 นาย ออกปฏิบัติการค้นหาเด็กหญิงที่หายตัวไป ท่ามกลางข้อมูลมากมายที่พวกเขาได้รับมาจากสังคม ทำให้การค้นหาครั้งนี้ เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร
หลังจากผ่านไปนานกว่า 2 สัปดาห์ ตำรวจได้รับเบาะแสสำคัญทำให้พวกเขาสามารถปะติดปะต่อข้อมูลต่างๆ จนนำไปสู่การช่วยเหลือเด็กหญิงคลีโอที่บ้านหลังหนึ่ง และจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยได้สำเร็จ ช่วงเช้าวันที่ 3 พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรเลีย บุกเข้าไปภายในบ้านหลังหนึ่ง ในเมืองคาร์นาร์วอน ทางตะวันตกของประเทศ และพบเด็กหญิงวัย 4 ขวบซึ่งหายตัวไปนานถึง 18 วัน ยังมีชีวิตอยู่และสุขภาพแข็งแรง กลายเป็นข่าวที่สร้างความยินดีไปทั่วทั้งแดนจิงโจ้ และทั่วโลก
เด็กหญิงคนนี้มีชื่อว่า คลีโอ สมิธ เธอหายตัวไปจากเต็นท์ของครอบครัวที่ลานตั้งแคมป์ไม่ไกลจากเมืองคาร์นาร์วอน ตั้งแต่เมื่อ 16 ต.ค. ทำให้เกิดปฏิบัติการค้นหาครั้งใหญ่ ท่ามกลางหลักฐานและเบาะแสมากมายที่ทำให้การค้นหาครั้งนี้ เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร
ในเบื้องต้น ตำรวจพบเรื่องน่าสงสัยบางประการทำให้พวกเขาเชื่อว่า คดีนี้อาจเป็นการลักพาตัว ก่อนจะขยายขอบเขตการค้นหา จนนำไปสู่การพบตัวเด็กหญิงคลีโอ และการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยได้สำเร็จ แต่พวกเขาทำได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นระหว่างการค้นหาบ้าง ?
ในวันเสาร์ที่ 15 ต.ค. 2564 เอลลี สมิธ กับแฟนหนุ่ม เจค กลิดดอน พาลูกสาว 2 คนคือ คลีโอ กับ อิสลา ไปเที่ยวตั้งแคมป์เป็นครั้งแรกที่ลานตั้งแคมป์ ‘ควอบบา โบลว์โฮลส์’ ในเมืองแมคเลาด์ รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมติดชายฝั่งที่เรียกว่า โครัล โคสต์ ซึ่งมีชื่อเรื่องวิวทะเลอันสวยงาน, ถ้ำติดทะเลสาบ
เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่คืนแรกของการตั้งแคมป์ ครอบครัวสมิธนอนในเต็นท์ขนาดยักษ์แยกเป็น 2 ห้องด้วยฉากกั้น ด้านหนึ่งคลีโอนอนกับน้องสาวของเธอ ขณะที่เอลลีนอนกับเจค ในเวลาประมาณ 1.30 น. วันที่ 16 ต.ค. คลีโอตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อไปขอน้ำดื่มจากเอลลี ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกันไปนอนต่อ เอลลีตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเวลาประมาณ 6 นาฬิกา เนื่องจากอิสลาหิวนม เธอจึงเดินไปยังห้องฝั่งของเด็กๆ แต่ต้องพบกับความผิดปกติ เมื่อซิปบนกำแพงเต็นท์ถูกเปิดออก และคลีโอหายตัวไปแล้ว
ราวกับงมเข็มในมหาสมุทร
เอลลีกับเจคช่วยกันออกตามหาลูกสาววัย 4 ขวบในสถานที่ใกล้เคียงแต่ก็ไม่พบ พวกเขาจึงตัดสินใจแจ้งเจ้าหน้าที่ในเวลา 6.23 น. ซึ่งเจ้าหน้าที่จากหน่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ สน.เมืองคาร์นาร์วอน, ทีมปฏิบัติการโดรน และอาสาสมัครกู้ภัย ต่างถูกส่งมายังที่เกิดเหตุ ก่อนที่ตำรวจจะสั่งปิดลานตั้งแคมป์แห่งนี้ใน 2 ชั่วโมงต่อมา พร้อมทั้งประกาศตามหาคนหาย
เจ้าหน้าที่กู้ภัยใช้เวลา 2 วันหลังจากนั้นออกตามหาเบาะแสต่างๆ ที่อาจบอกได้ว่าคลีโอหายไปไหน ตำรวจจากหลายเมือง รวมถึงเมืองเพิร์ธ ซึ่งห่างออกไป 900 กม. ถูกส่งมาสมทบ เฮลิคอปเตอร์, โดรน และเครื่องบินเจ็ตของสำนักงานความปลอดภัยทางทะเล ถูกนำมาใช้ให้การสนับสนุนการค้นหาทางอากาศ ขณะที่นอกชายฝั่งก็มีเรือประมงและเรืออาสา ร่วมออกค้นหา
ในช่วงเวลาดังกล่าว ตำรวจจัดทีมเฉพาะกิจรวมกำลังเจ้าหน้าที่มากกว่า 100 นายออกปฏิบัติการค้นหาครั้งใหญ่ ตามข้อมูลจำนวนมากที่ได้รับจากประชาชน ซึ่งบางจุดอยู่ไกลจากจุดเกิดเหตุนับพันกิโลเมตร พวกเขายังตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามโรงแรมที่พักใกล้เคียงทั้งหมด เช็กถุงขยะหลายร้อยใบตามเส้นถนนระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร ของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย มีการใช้ม้าไปสำรวจเนินทรายที่ยากแก่การเข้าถึง แต่ก็ยังไม่พบเบาะแสสำคัญใดๆ
จากคดีคนหาย กลายเป็นคดีลักพาตัว
5 วันหลังจากคลีโอหายตัวไป หรือวันพุธที่ 20 ต.ค. ตำรวจยังคงย้ำมาตลอดว่าปฏิบัติการของพวกเขาคือ การค้นหาและช่วยเหลือ แต่ข้อสงสัยหนึ่งทำให้พวกเขาสงสัยมากขึ้นว่านี่อาจเป็นการลักพาตัว ก็คือ ซิปของเต็นท์ที่เปิดออก อยู่สูงเกินกว่าที่คลีโอจะเอื้อมถึง หมายความว่ามีใครบางคนที่ไม่ใช่เธอมาเปิดเต็นท์หรือไม่ แต่ในเวลานั้น เจ้าหน้าที่สืบสวนยังไม่มีผู้ต้องสงสัยในใจ
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ตำรวจดำเนินการระบุตัวและสอบปากคำผู้ที่เคยมีประวัติการกระทำผิดทางเพศมากมายในพื้นที่เมืองคาร์นาร์วอน นอกจากนั้น ยังเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากทุกคนที่อยู่ใน ควอบบา โบลว์โฮลส์ ระหว่างคืนวันศุกร์กับเช้าวันเสาร์ด้วย แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่คนร้ายจะออกจากพื้นที่ไปแล้ว
ต่อมาในวันพฤหัสบดี ตำรวจออกมายืนยันอย่างเป็นทางการว่า พวกเขาเชื่อว่าคลีโอถูกใครบางคนนำตัวออกไปจากเต็นท์ และตั้งสารวัตรสืบสวน ร็อด ไวล์ด จากสำนักงานคดีอาชญากรรมร้ายแรง เป็นหัวหน้าเฉพาะกิจดูแลคดีนี้ ขณะที่นายมาร์ก แมคโกแวน นายกรัฐมนตรีรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ประกาศมอบรางวัล 1 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย แก่ใครก็ตามที่ให้เบาะแสกับเจ้าหน้าที่ จนนำไปสู่การพบตัวคลีโอ หรือจับกุมผู้ที่เกี่ยวกับการทำให้เธอหายตัวไป
รถยนต์ต้องสงสัย
ตำรวจไม่พบเบาะแสเป็นชิ้นเป็นอัน จนกระทั่งในวันอาทิตย์ที่ 24 ต.ค. พวกเขาก็ได้รับข้อมูลที่น่าสนใจจากบุคคล 2 คน ซึ่งขับรถมุ่งหน้าขึ้นเหนือบนทางหลวงชายฝั่งนอร์ทเวสต์เพื่อไปทำงานช่วงเช้ามืดวันเสาร์ที่คลีโอหายตัวไป โดยในขณะที่พวกเขาขับรถผ่านเส้นทางเข้าสู่โบลว์โฮลส์ ในเวลาประมาณ 3.30 น. พวกเขาก็เห็นรถยนต์โดยสาร ลักษณะเหมือนซีดาน หรือวากอน
แต่การสืบสวนหลังจากนั้นกลับไม่มีความคืบหน้า ตำรวจได้รับแจ้งการพบเห็นเด็กหญิงคลีโอหลายร้อยครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่เป็นความจริงหรือถูกต้อง พวกเขาต้องเรียกร้องประชาชนให้ตรวจสอบตามโรงเก็บของหรือรถยนต์เก่าของตัวเอง และถึงขั้นไปตรวจค้นที่บ้านของเอลลีกับเจค โดยระบุว่า เป็นไปตามมาตรการของการสืบสวน เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่า มีใครสะกดรอยตามคลีโอก่อนที่เธอจะหายตัวไป
เวลาผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ โดยที่ยังไม่พบตัวคลีโอ ไม่มีผู้ต้องสงสัย และคนขับรถต้องสงสัยที่ถูกพบเห็นในวันเกิดเหตุก็ไม่ยอมออกมาแสดงตัว หรือพบเจ้าหน้าที่ การสืบสวนดูเหมือนจะเจอกับทางตัน
เจอตัวคลีโอ สมิธ อย่างปลอดภัย
แต่วันที่ 17 ของการหายตัว จู่ๆ เจ้าหน้าที่ โคล แบรนช์ รองผู้บัญชาการตำรวจรัฐเวสเทิร์น ออสเตรเลีย ก็ออกมาบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ตำรวจกำลังเข้าใกล้คลีโอมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ขณะที่นายคริส ดอว์สัน ผู้บัญชาการตำรวจรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย เปิดเผยในภายหลังว่า ตำรวจปะติดปะต่อข้อมูลมากมายเข้าด้วยกัน และทั้งหมดชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่ง ในเมืองคาร์นาร์วอน ซึ่งห่างจากบ้านของครอบครัวสมิธไม่กี่กิโลเมตร
และคืนวันที่ 18 ของการหายตัว หรือ 3 พ.ย. 2564 ตำรวจก็มุ่งไปยังบ้านหลังนั้น ซึ่งภายนอกดูไม่มีอะไรพิเศษ ก่อนจะพังประตูที่ถูกล็อกอยู่ แล้วเจ้าหน้าที่ 4 นายก็เข้าไปด้านใน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนักสืบอาวุโส สิบเอก คาเมรอน เบลน เขาเข้าไปตรวจค้นในห้องห้องหนึ่งและพบเข้ากับเด็กหญิงผมสีทองนั่งอยู่ในนั้น เขาจึงถามออกไปว่า “หนูน้อยชื่ออะไร?” ก่อนตำรวจอีกนายจะเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมา
เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เจ้าหน้าที่เบลนจึงถามชื่อของหนูน้อยซ้ำอีก 2 ครั้ง แม้เขาจะแน่ใจว่านี่แหละคือเด็กหญิงที่พวกเขาตามหามาตลอด 18 วันที่ผ่านมา และในที่สุด เด็กหญิงก็ตอบกลับมาว่า “หนูชื่อคลีโอ” ซึ่งคำพูดของเธอเปรียบเหมือนสัญญาณที่บอกว่า ปฏิบัติการค้นหาประสบความสำเร็จแล้ว
จับกุมผู้ต้องสงสัย
ตำรวจออสเตรเลียไม่ได้ระบุชัดเจนว่าอะไรคือเบาะแสชี้นำให้พวกเขาไปยังบ้านหลังดังกล่าว แต่นายดอว์สันระบุว่า มีข้อมูลสำคัญมากเกี่ยวกับรถยนต์คันหนึ่งที่พาตำรวจไปยังบ้านหลังนั้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ด้านเจ้าหน้าที่สืบสวนไวล์ด เผยว่า ตำรวจสามารถสร้างภาพรวมที่บอกได้ว่า ใครควรอยู่ตรงนั้นและมีใครอยู่ตรงนั้น ด้วยการปะติดปะต่อข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน และวางตำแหน่งของผู้คนไว้ตามสถานที่ต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลา ทำให้อะไรๆ ชัดเจนมากขึ้นในช่วงบ่ายวันอังคาร นำพวกเขาไปสู่การจับกุมผู้ต้องสงสัย
สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ผู้ต้องสงสัยดังกล่าว ซึ่งได้รับการยืนยันในเวลาต่อมาว่าชื่อ เทอเรนซ์ ดาร์เรลล์ เคลลี อายุ 36 ปี ถูกนำตัวออกจากรถยนต์ของตัวเองและถูกจับกุม ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ตำรวจจะช่วยเหลือคลีโอได้ โดยตำรวจเชื่อว่าชายคนนี้ก่อเหตุเพียงลำพัง และการลักพาตัวครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่ได้วางแผนไว้ก่อน
ตอนนี้หนูน้อยคลีโอสามารถออกจากโรงพยาบาล และกลับไปอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวได้แล้ว ขณะที่นายเคลลีก็กำลังจะถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อไต่สวนข้อหา บังคับ, หลอกลวง หรือล่อลวง เด็กหญิงอายุไม่ถึง 16 ปี แต่การสืบสวนคดีนี้ยังไม่จบลง ตำรวจต้องการสืบรู้ให้ได้ว่า เกิดอะไรขึ้นในคืนวันนั้น และระหว่างที่คลีโอหายตัวไป ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน
ที่มา : BBC,ABC
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 พฤจิกายน กระทรวงเกษตรของฝรั่งเศสมีคำสั่งให้เฝ้าระวังสูงทั่วประเทศต่อความเสี่ยงภัยจากเชื้อไข้หวัดนกที่ระบาดอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วยุโรป โดยรัฐบาลจะขยายข้อบังคับให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกนำสัตว์ปีกที่เลี้ยงไว้อยู่ในพื้นที่ปิด ซึ่งเป็นมาตรการที่บังคับใช้มาในพื้นที่ส่วนหนึ่งมาตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาแล้ว
กระทรวงเกษตรของฝรั่งเศสระบุว่า นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบการติดเชื้อไข้หวัดนกจำนวน 130 กรณีหรือคลัสเตอร์ในสัตว์ป่าหรือในฟาร์มเลี้ยงในยุโรป โดยยังพบกรณีการติดเชื้อไข้หวัดนกในสัตว์ปีกที่เลี้ยงไว้ 3 กรณีในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสด้วย
มาตรการดังกล่าวที่ทางการฝรั่งเศสประกาศออกมาเพื่อป้องกันไว้ก่อนสำหรับฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีกในประเทศนั้น มีขึ้นหลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อน ทางการเนเธอร์แลนด์ได้ออกคำสั่งทำนองเดียวกันนี้ให้ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีกในประเทศ นำสัตว์ปีกเลี้ยงไว้ในพื้นที่ปิด หลังจากมีรายงานพบการระบาดของไข้หวัดนกขึ้นที่ฟาร์มเลี้ยงแห่งหนึ่งในประเทศ
ทั้งเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้วฝรั่งเศสได้ฆ่าสัตว์ปีกทิ้งไปราว 3 ล้านตัวในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศที่แหล่งเลี้ยงเป็ด ในความพยายามควบคุมการแพร่เชื้อไข้หวัดนกจากนกป่ามายังฝูงสัตว์ปีกที่เลี้ยงไว้
5 พฤศจิกายน 2564 :กลุ่มกบฏเอธิโอเปีย 9 กลุ่มจับมือเป็นพันธมิตรต่อสู้เพื่อโค่นล้มรัฐบาลของนายกฯ อาบีย์ อาเหม็ด ขณะนักรบกบฏจากทิเกรย์รุกคืบเข้าใกล้เมืองหลวง กองทัพเรียกระดมอดีตทหารและกองหนุนเข้าร่วมต่อต้าน สหรัฐฯ แนะพลเมืองอเมริกันเผ่น
รายงานเอเอฟพีและรอยเตอร์เมื่อวันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2564 กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรกบฏซึ่งเตรียมลงนามกันที่กรุงวอชิงตันในวันเดียวกันนี้ ประกอบด้วยกองกำลัง 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กองทัพปลดปล่อยโอโรโม (โอแอลเอ) และแนวร่วมปลดปล่อยประชาชนทิเกรย์ (ทีพีแอลเอฟ) ซึ่งทำสงครามกับรัฐบาลของนายกฯ อาเหม็ดมานาน 1 ปี ส่วนอีก 7 กลุ่มนั้นไม่เป็นที่รู้จักนัก
ทีพีแอลเอฟ กล่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า นักรบของพวกเขาเคลื่อนมาถึงเมืองเกมิสซีในภูมิภาคอัมฮารา ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงแอดดิสอาบาบาราว 325 กิโลเมตร และกำลังปฏิบัติการร่วมกับโอแอลเอ พร้อมกับคาดคะเนว่า พวกเขาจะสามารถยึดเมืองหลวงได้ภายในไม่กี่สัปดาห์
ทั้ง 9 กลุ่ม ซึ่งตั้งชื่อว่า แนวร่วมเอกภาพแห่งกองกำลังสมาพันธ์และสหพันธ์เอธิโอเปีย กล่าวว่า พวกเขาจับมือกับเป็นแนวร่วมเอกภาพเพื่อย้อนกลับผลกระทบที่เป็นอันตรายของการปกครองโดยอาบีย์ อาเหม็ด ต่อประชาชนเอธิโอเปีย และเพื่อเป็นการตระหนักถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการร่วมมือและรวมกำลังเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านอย่างปลอดภัยในประเทศนี้
รัฐบาลอาบีย์ ซึ่งประกาศให้กลุ่มทีพีแอลเอฟและโอแอลเอเป็นกลุ่มก่อการร้ายเมื่อเดือนพฤษภาคม กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีว่า ขณะนี้เอธิโอเปียกำลังต่อสู้ในสงครามแห่งการดำรงอยู่ และได้ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของฝ่ายกบฏ ที่ว่าพวกเขาสามารถครอบครองดินแดนได้มากขึ้น โดยคำแถลงกล่าวว่า พวกทีพีแอลเอฟกำลังตกอยู่ใต้วงล้อมและใกล้พ่ายแพ้แล้ว
แม้รัฐบาลจะกล่าวอ้างเช่นนั้น แต่สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นออกมาเรียกร้องให้ประชาชนในเมืองหลวงเตรียมอาวุธพร้อมสำหรับการปกป้องที่อยู่ของตน และในวันศุกร์ กระทรวงกลาโหม
ยังขอให้ทหารผ่านศึกและทหารนอกราชการกลับมาเข้าร่วมกับกองทัพ เพื่อปกป้องประเทศจากการสมรู้ร่วมคิดเพื่อให้ประเทศนี้แตกเป็นเสี่ยง โดยกำหนดเส้นตายการลงทะเบียนวันที่ 24 พฤศจิกายน
ความขัดแย้งในเอธิโอเปียเริ่มต้นเมื่อ 1 ปีก่อน เมื่อกองกำลังที่ภักดีต่อทีพีแอลเอฟ ซึ่งรวมถึงทหารบางส่วน บุกยึดฐานทัพในเมืองทิเกรย์ และทำให้อาบีย์ส่งกำลังทหารไปเสริมในภูมิภาคทางเหนือแห่งนี้เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว การสู้รบที่ทิเกรย์คร่าชีวิตผู้คนหลายพันคนและทำให้ประชาชนมากกว่า 2 ล้านคนละทิ้งถิ่นฐาน
สถานการณ์รุนแรงทำให้ชาติแอฟริกาและตะวันตกเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิง โดยเฉพาะเมื่อกลุ่มกบฏประกาศในสัปดาห์นี้ว่า พวกเขากำลังเคลื่อนกำลังรุกคืบเข้าใกล้เมืองหลวง
ด้านสถานทูตสหรัฐฯ ประจำเอธิโอเปียมีแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ แนะนำให้ชาวอเมริกันออกจากประเทศนี้โดยทันทีที่เป็นไปได้ โดยเป็นการปรับปรุงคำเตือนที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกในสัปดาห์นี้ ซึ่งขอให้หลีกเลี่ยงการเดินทางมาเอธิโอเปีย และขอให้ผู้ที่อยู่ที่นี่พิจารณาเดินทางออกนอกประเทศ
การประกาศจับมือตั้งพันธมิตรใหม่อาจเป็นความพยายามของทีพีแอลเอฟ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีฐานสนับสนุนกว้างขวางทั่วเอธิโอเปีย กลุ่มนี้เคยตั้งกลุ่มพันธมิตรคล้ายกันนี้เมื่อปลายทศวรรษ 1980 ก่อนการโค่นเผด็จการเมนกิสตู ไฮเลมาเรียม เมื่อปี 2534 ซึ่งทำให้พันธมิตรแนวร่วมประชาธิปไตยปฏิวัติประชาชนเอธิโอเปียในเวลานั้น ปกครองประเทศนี้นานเกือบ 3 ทศวรรษ กระทั่งการประท้วงยืดเยื้อพาให้อาบีย์ก้าวขึ้นสู่อำนาจเมื่อปี 2561