25 ก.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว US lifts sanctions on Myanmar junta allies after general praises Trump ระบุว่า สหรัฐอเมริกา ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรบุคคลระดับสูงบางส่วนในรัฐบาลทหารเมียนมา เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งคำสั่งใหม่ดังกล่าวเกิดขึ้น 2 สัปดาห์หลังจากที่ผู้นำรัฐบาลทหารได้กล่าวชื่นชมประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และเรียกร้องให้ผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรในจดหมายตอบโต้คำเตือนเรื่องภาษีศุลกากร
ประกาศจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า กำลังถอดการคว่ำบาตร บริษัท KT Services & Logistics และผู้ก่อตั้ง คือ Jonathan Myo Kyaw Thaung , บริษัท MCM Group และผู้ก่อตั้ง คือ Aung Hlaing Oo , บริษัท Suntac Technologies และผู้ก่อตั้ง คือ Sit Taing Aung รวมถึงถอดการคว่ำบาตรบุคคล คือ Tin Latt Min
โดยบริษัท KT Services & Logistics และผู้ก่อตั้ง คือ Jonathan Myo Kyaw Thaung ถูกเพิ่มเข้าในบัญชีรายชื่อคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ในเดือน ม.ค. 2565 ในยุครัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่ตรงกับวาระครบรอบ 1 ปีของการยึดอำนาจทางทหารในเมียนมา ซึ่งส่งผลให้ประเทศตกอยู่ในความวุ่นวาย
ส่วน Sit Taing Aung กับ Aung Hlaing Oo ถูกเพิ่มเข้าในบัญชีรายชื่อคว่ำบาตรในปีเดียวกัน เนื่องจากปฏิบัติการในภาคกลาโหมของเมียนมา และ Tin Latt Min ซึ่งถูกระบุว่าเป็นผู้ใกล้ชิดอีกคนหนึ่งของรัฐบาลทหาร ถูกเพิ่มเข้าในบัญชีรายชื่อในปี 2567 เพื่อเป็นการครบรอบ 3 ปีของการรัฐประหาร ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ไม่ได้อธิบายเหตุผลของการเคลื่อนไหวดังกล่าว และทำเนียบขาวก็ไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที
ย้อนไปเมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2568 มินอ่องหล่าย (Min Aung Hlaing) ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ยื่นจดหมายขอให้ทรัมป์ลดอัตราภาษีสินค้าจากเมียนมาส่งไปยังสหรัฐฯ ลงอีกจากร้อยละ 40 (เดิมทีสหรัฐฯ ประกาศเมื่อเดือน เม.ย. 2568 เก็บภาษีเมียนมาที่ร้อยละ 44 แต่วันที่ 7 ก.ค. 2568 สหรัฐฯ ได้แจ้งเมียนมาว่าจะเก็บร้อยละ 40) และกล่าวว่าเขาพร้อมที่จะส่งคณะเจรจาไปยังกรุงวอชิงตันหากจำเป็น ซึ่งสื่อของรัฐบาลเมียนมารายงานในขณะนั้นว่า พลเอกอาวุโสท่านนี้ยอมรับถึงความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งของประธานาธิบดีในการนำพาประเทศของเขาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของชาติด้วยจิตวิญญาณของผู้รักชาติอย่างแท้จริง
ในการตอบจดหมายของทรัมป์ที่แจ้งให้เมียนมาทราบถึงภาษีที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. 2568 มินอ่องหล่าย เสนอให้ลดอัตราภาษีลงตั้งแต่ร้อยละ 10 - 20 โดยเมียนมาจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือเพียง 0% ถึง 10% นอกจากนั้น ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ยังได้ขอให้ทรัมป์พิจารณาผ่อนคลายและยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่บังคับใช้กับเมียนมารอีกครั้ง เนื่องจากมาตรการดังกล่าวขัดขวางผลประโยชน์ร่วมกันและความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศและประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า เมียนมาเป็นหนึ่งในแหล่งแร่หายากที่เป็นที่ต้องการของโลก ซึ่งนำไปใช้ในการป้องกันประเทศด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและการใช้งานเพื่อผู้บริโภค การจัดหาแร่เหล่านี้ถือเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาลทรัมป์ในการแข่งขันเชิงกลยุทธ์กับจีน ซึ่งครอบครองกำลังการผลิตแร่หายากถึงร้อยละ 90 ขณะที่เหมืองแร่หายากส่วนใหญ่ของเมียนมาตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ควบคุมโดยกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่อสู้กับรัฐบาลทหาร และมีการแปรรูปในประเทศจีน
อีกด้านหนึ่ง องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ฮิวแมนไรท์วอตช์ ชี้ว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้น่ากังวลอย่างยิ่ง และระบุว่าบ่งชี้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในนโยบายของสหรัฐฯ ต่อกองทัพเมียนมา ซึ่งล้มล้างรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในปี 2564 และมีส่วนพัวพันกับอาชญากรรมต่อมนุษยชาติและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
จอห์น ซิฟตัน (John Sifton) ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์เอเชียของฮิวแมนไรท์วอตช์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ครั้งนี้ว่า น่าตกใจ และแรงจูงใจยังไม่ชัดเจน การกระทำนี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งเดิมมุ่งเน้นไปที่การลงโทษระบอบทหารของเมียนมา ซึ่งเมื่อ 4 ปีก่อนได้ก่อรัฐประหารต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมต่อมนุษยชาติและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การตัดสินใจครั้งนี้จะสร้างความกังวลอย่างยิ่งในหมู่เหยื่อของกองทัพเมียนมาและทุกคนที่ต่อสู้และสนับสนุนการกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยในเมียนมา
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.reuters.com/world/asia-pacific/us-lifts-sanctions-myanmar-junta-allies-after-general-praises-trump-2025-07-25/
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00-12.00 กงสุลใหญ่ณ นครลอสแอนเจลิส และภริยา ต่อ-สิริกมล ศรลัมพ์ พร้อมด้วยหัวหน้าสำนักงานทีมไทยแลนด์ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่ฯ เข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ พระอุโบสถวัดไทยแอลเอ โดยมีคณะสภาสตรีไทยแห่งแคลิฟอร์เนียภาคใต้ ผู้นำชุมชนและประชาชนชาวไทยเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ว่าตำรวจฮ่องกงกล่าวว่า นักเคลื่อนไหวทั้ง 19 คนมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “องค์กรที่บ่อนทำลาย” (subversive organisation) อย่าง “Hong Kong Parliament Electoral Organizing Committee” หรือองค์กรคณะกรรมาธิการจัดการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติฮ่องกง ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่จัดตั้งขึ้นในแคนาดา...
สาเหตุเริ่มต้นมาจากเมื่อวันที่ 1 ก.ค. องค์กรระบุผ่านโซเชียลมีเดียว่า กำลังดำเนินการจัดการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการทางออนไลน์ เพื่อจัดตั้ง “สภานิติบัญญัติ” โดยมีเป้าหมายต่อต้านเผด็จการพรรคเดียวและทรราช และแสวงหาฮ่องกงซึ่งปกครองโดยชาวฮ่องกงที่แท้จริง...
ในแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ (25 ก.ค.) ตำรวจฮ่องกงกล่าวหาคนกลุ่มนี้ว่า เจตนาโค่นล้มและบ่อนทำลายระบบของทางการจีนและฮ่องกง ขณะที่การสืบสวนยังคงดำเนินต่อไป โดยเจ้าหน้าที่ได้ย้ำว่า พวกเขาจะกำหนดเงินรางวัลเพิ่มเติมในคดีนี้หากจำเป็น...
นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังเรียกร้องให้ผู้ต้องหา “เดินทางกลับไปฮ่องกง” และ “มอบตัว” แทนที่จะทำผิดพลาดซ้ำอีก
แถลงการณ์ระบุว่า มีการเสนอเงินรางวัล 200,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 824,968 บาท) สำหรับนักเคลื่อนไหว 15 คน ส่วนอีก 4 คนมีค่าหัว 1 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 4.1 ล้านบาท)
ตัวเลขล่าสุดในเว็บไซต์ของตำรวจฮ่องกงระบุว่า มีผู้ต้องหาที่มีความผิดฐานความมั่นคงแห่งชาติ 34 คน ซึ่งรวมถึงความผิดข้อหาแบ่งแยกดินแดน การล้มล้างการปกครอง หรือการสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติ....
เครดิตภาพ : AFP
คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาติ ส่งจดหมายถึงคณะทูตถาวรและผู้แทนสังเกตการณ์ของประเทศต่างๆ ที่สหประชาชาติ เพื่อแจ้งถึงสถานการณ์ที่ร้ายแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งไทยเชื่อว่าเป็นการรุกรานและกระทบต่ออธิปไตยของไทย
โดยเนื้อความในจดหมายระบุดังนี้:
เลขที่ 56101/393
คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ 136 ถนนอีสต์ 39 นิวยอร์ก นิวยอร์ก 10016
คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติขอแสดงความนับถือต่อคณะผู้แทนถาวรและคณะผู้สังเกตการณ์ถาวรประจำสหประชาชาติ และขอเรียนให้ทราบถึงสถานการณ์ร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย อันเป็นผลมาจากการรุกรานทางทหารของกัมพูชา ดังนี้:
เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม 2568 กำลังพลของกองทัพไทยขณะลาดตระเวนตามเส้นทางปกติภายในอาณาเขตของประเทศไทย ได้เหยียบกับระเบิดชนิด PMN-2 เป็นผลให้ทหารสองนายได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นพิการถาวร ส่วนที่เหลือได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน กับระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่และมีเครื่องหมายที่เห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่ากับระเบิดเหล่านี้ถูกวางขึ้นใหม่ ในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ประเทศไทยได้ยื่นรายงานความโปร่งใสประจำปีเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาตามมาตรา 7 อย่างเคร่งครัด รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ดำเนินการทำลายคลังทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดเสร็จสิ้นในปี 2546 และได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการฝึกและการวิจัยในปี 2562 ในทางตรงกันข้าม รายงานล่าสุดของกัมพูชาบ่งชี้ว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 กัมพูชายังคงมีทุ่นระเบิด PMN-2 อยู่
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 08.20 น. ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงใส่ฐานทัพไทยที่ตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย เป็นเหตุให้ทหารไทยสองนายได้รับบาดเจ็บทันที
หลังจากนั้นไม่นาน กองกำลังกัมพูชาได้เปิดฉากโจมตีอย่างไม่เลือกหน้าในดินแดนไทยในสี่จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี การกระทำที่ก้าวร้าว ไม่เลือกหน้า และผิดกฎหมายต่อพลเรือนไทยเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงและนำไปสู่การสูญเสียชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์อย่างน่าเศร้า รวมถึงผู้หญิงและเด็ก โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน รวมถึงโรงพยาบาลและโรงเรียน ก็ได้รับความเสียหายอย่างมาก ณ เวลา 14.00 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 11 ราย และผู้บาดเจ็บ 24 ราย โดย 8 รายอยู่ในขั้นวิกฤต มีประชาชนกว่า 102,000 คนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน
3. การโจมตีด้วยอาวุธโดยปราศจากเหตุผลซึ่งเริ่มต้นโดยกองกำลังติดอาวุธของกัมพูชาเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดมาตรา 2(4) ของกฎบัตรสหประชาชาติอย่างชัดเจน รวมถึงหลักการแห่งความสัมพันธ์ฉันมิตรและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างรัฐ ประเทศไทยได้ใช้ความอดกลั้นอย่างสูงสุดต่อการโจมตีด้วยอาวุธที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าของกัมพูชา และจำเป็นต้องใช้สิทธิโดยธรรมชาติในการป้องกันตนเองตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรการป้องกันตนเองที่ประเทศไทยดำเนินการนั้นจำกัดขอบเขต สัดส่วนต่อภัยคุกคาม และมุ่งเป้าไปที่การทำให้เป็นกลางซึ่งอันตรายที่ใกล้จะเกิดขึ้นซึ่งเกิดจากกองกำลังติดอาวุธของกัมพูชาเท่านั้น
4. ประเทศไทยขอประณามอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นต่อการโจมตีอย่างไม่เลือกหน้าของกัมพูชาต่อพลเรือน วัตถุพลเรือน และสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ โดยเฉพาะโรงพยาบาล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 อย่างโจ่งแจ้ง โดยเฉพาะมาตรา 18 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับแรก (ผู้บาดเจ็บและป่วยป่วย III. การคุ้มครองโรงพยาบาล) และมาตรา 19 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่สี่ (การคุ้มครองหน่วยแพทย์และสถานประกอบการ) การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานและความยากลำบากแก่พลเรือนผู้บริสุทธิ์
5. ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ต่อการระงับข้อพิพาทอย่างสันติ และปฏิเสธการใช้กำลังเป็นหนทางในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศอย่างเด็ดขาด เราขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศเร่งรัดให้กัมพูชายุติการเป็นปรปักษ์ในทันทีและกลับมาเจรจาด้วยความสุจริตใจ ประเทศไทยยังยืนยันความพร้อมที่จะเข้าร่วมผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ รวมถึงคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ซึ่งมีกำหนดจะประชุมในช่วงต้นเดือนกันยายน 2568 เพื่อแก้ไขความแตกต่างที่ค้างอยู่
คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติขอถือโอกาสนี้เพื่อยืนยันอีกครั้งต่อคณะผู้แทนถาวรและคณะผู้สังเกตการณ์ถาวรประจำสหประชาชาติถึงความนับถืออย่างสูงสุด
คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ, นิวยอร์ก 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025).
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012