ข่าว
รัสเซีย'กำจัดอาวุธเคมีชุดสุดท้าย 'ปูติน'โวย'สหรัฐ'ไม่ทำตามสัญญา

28 ก.ย.60 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน อาวุธเคมีชุดสุดท้ายจากสงครามของรัสเซีย ได้ถูกทำลายแล้ว ที่โรงงานคิซเนอร์ ในภูมิภาคอัดมูร์ต โดยประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้ยกความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่จะนำไปสู่โลกใหม่ที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ผู้นำรัสเซียยังได้กล่าวตำหนิสหรัฐฯ ด้วยว่า "รัสเซียเป็นหนึ่งในผู้ครอบรองอาวุธเคมีรายใหญ่ที่สุดของโลกและอีกชาติหนึ่งก็คือสหรัฐฯ เคราะห์ร้ายที่อเมริกาไม่ยอมทำตามเส้นตายสำหรับทำลายอาวุธเคมีของพวกเขา พวกเขาเลื่อนกำหนดการออกไปถึง 3 ครั้ง อ้างว่าไม่มีทุน แต่พูดตรงๆ เลยนะ มันฟังดูแปลกๆ"

ขณะนี้สหรัฐเป็นชาติสมาชิกรายสุดท้ายของ อนุสัญญาอาวุธเคมี ที่ประกาศว่ายังมีอาวุธเคมีอยู่ในครอบครอง โดยยังมีคลังแสงอาวุธเคมีเหลืออยู่ 2 แห่ง คาดว่าจะเสร็จสิ้นการทำลายอาวุธเคมีทั้งหมดภายในปี 2566

ทั้งนี้ รัสเซียและสหรัฐสะสมอาวุธเคมีจำนวนมหาศาล ในยุคสงครามเย็น แต่ได้ตกลงที่จะทำลายภายในเดือน เม.ย. 2555 หลังเข้าร่วมอนุสัญญาปี 2540

พสกนิกรเนืองแน่นกราบในหลวงร.9 รมต.พาณิชย์สหรัฐฯลงนามแสดงความอาลัย

28 ก.ย.60 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศประชาชนที่เดินทางมาเข้าแถวรอคิวเพื่อเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยที่จุดคัดกรองประชาชนบริเวณพระแม่ธรณีบีบมวยผม เมื่อเวลา 07.20 น.ได้มีประชาชนมาเข้าแถวรออย่างเนืองแน่นจนล้นไปหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ และต่อแถวยาวผ่านสี่แยกคอกวัวและเลยอนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคม 14 หลายคนบอกว่า เดินทางมาตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืนก่อนมาก็รู้ว่าจะต้องรอนานแต่ก็อยากเดินทางมากราบพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งสุดท้าย ส่วนจุดคัดกรองหน้าหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน หรือ วงเวียน รด. มีประชาชนมาเข้าแถวรอเป็นจำนวนมากเช่นกันจนล้นไปตามถนนเจริญกรุง ถนนสนามไชย และถนนท้ายวัง

ด้านนางวิไลลักษณ์ เดชอาสา อายุ 45 ปี ชาว ต.นาเตย อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา กล่าวว่า เดินทางมาพร้อมกับครอบครัวโดยทางเครื่องบินหลังจากลงเครื่องที่สนามบินดอนเมืองเวลาประมาณเที่ยงคืนก็นั่งแท็กซี่มาเข้าแถวรอที่จุดคัดกรองวงเวียน รด. ช่วงประมาณ 01.40 น. และเจ้าหน้าที่ได้เปิดให้เข้ามาภายในจุดพักคอยเวลา 04.00 น. ซึ่งตนเดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งที่ 2 ส่วนครั้งแรกมาช่วงเดือน ต.ค.ปี 2559

"โอกาสที่พวกเราจะได้อยู่กับพระองค์ท่านใกล้จะหมดแล้ว จึงตั้งใจเดินทางมาเข้ากราบถึงแม้จะรอนานแค่ไหนก็ไม่หิว ไม่เหนื่อย ได้ขึ้นไปกราบพระองค์ท่านแล้วรู้สึกอบอุ่นปลื้มใจและเป็นมงคลกับชีวิตและครอบครัวอย่างมาก พระองค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ทรงปลูกฝังให้พวกเราคนไทยรักสามัคคีกัน สอนให้เป็นคนดีมีอาชีพ และสุจริตก็จะจดทำคำสอนของพระองค์ไปตลอดชีวิต ยังคิดถึงความดีของพระองค์ท่านอยู่เสมอ ที่ผ่านมาได้มีโอกาสเดินทางมาดูโครงการพระราชดำริ ชั่งหัวมัน และนำความรู้กลับไปเป็นต้นแบบในการทำเกษตรแบบผสผสาน ปลูกมะเขือชนิดต่างๆ แตงกวา มะระ บวบ ถั่วพู แตงโม จนผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.นาเตย ได้ตั้งให้เป็นครอบครัวต้นแบบ เพื่อให้คนในหมู่บ้านได้มาดูเป็นตัวอย่าง ก็ยึดอาชีพเกษตรกรมาตั้งแต่อายุ 18 ปี ขณะนี้ อายุ 45 ปี ชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อยๆ การทำเกษตรพอเพียงต้องเน้นคุณภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค ไม่ใช้สารเคมี ใช้แต่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ" นางวิไลลักษณ์ กล่าว

และเมื่อเวลา 10.30 น. นายวิลเบอร์ แอล รอสส์ จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา พร้อมคณะ เดินทางมาลงนามแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช ในสมุดหลวง ณ ศาลาว่าการพระราชวัง ในพระบรมมหาราชวัง ก่อนเดินทางไปเที่ยมชมความงดงามภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) ก่อนเดินทางกลับ


จัดยิ่งใหญ่100ปีธงชาติไทย นายกฯขอคนไทยจงภาคภูมิใจ

28 ก.ย. 60 เวลา 07.45 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานกิจกรรมเนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทยและครบรอบ 100 ปี ธงชาติไทย โดยมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ข้าราชการ และประชาชนร่วม โดยนายกฯได้ทำการเชิญธง จากนั้นมอบธงชาติไทยแก่หัวหน้าชุดหมู่เชิญธง ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อนำไปเชิญธงขึ้นสู่เสา

จากนั้นเวลา 08.00 น. นายกฯพร้อมด้วยนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.และครม.ได้ยืนเคารพธงชาติ ที่แท่นยืนเคารพธงชาติ บริเวณด้านหน้าตึกสันติไมตรี พร้อมร่วมร้องเพลงชาติไทย ก่อนทำพิธีเปิดนิทรรศการวันพระราชทานธงชาติไทย “100 ปี ธงชาติไทย ร้อยดวงใจไทยทั้งชาติ” และมอบตราสัญลักษณ์ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง และผู้แทนศิลปิน นักร้อง นักแสดง นักกีฬา ที่บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

ต่อมาเวลา 09.00 น.นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันสำคัญ แห่งความภาคภูมิใจความเป็นไทยขอคนไทยทั้งชาติ ซึ่งเป็นวันครบรอบ100 ปีธงชาติไทย ที่มีความเป็นมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 อยากให้ประชาชนทุกคนให้ความสนใจและระลึกถึงบรรพชนของเราที่ได้รักษาผืนแผ่นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ไว้ให้กับเราจนถึงวันนี้ ไม่ใช่ส่ิงที่ทุกประเทศจะมีมาอย่างยาวนานเหมือนเรา จึงขอให้ทุกคนมีความภาคภูมิใจ ถ้าหากว่าเราไม่ภาคภูมิใจกับประวัติ ศาสตร์ของเรา ไม่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของเรา จะทำให้เราไม่รู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน และไม่รู้ว่ารักประเทศได้อย่างไร ขอให้จำคำนี้ไว้ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาล 9 ได้รับสั่งตนเสมอมา ก็ช่วยกันถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้

โดยครูในโรงเรียนต่างๆต้องสอนประวัติศาสตร์ ซึ่งประวัติศาสตร์คือปัจจุบันและอนาคต ซึ่งที่เราทำวันนี้ คือประวัติศาสตร์แห่งอนาคต เพราะฉะนั้นถ้าเราทำให้วันนี้สงบเรียบร้อย บ้านเมืองพัฒนาเดินไปข้างหน้าได้ ไม่ติดขัดอุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ก็เท่ากับเราช่วยสร้างประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานในวันหน้าด้วย พวกเราทุกคนทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน และขอให้ทุกคนระลึกถึงวันสำคัญวันนี้และทำความดีในวันครบรอบ 100 ปี ธงชาติไทย


ปูหนีตลอดชีวิต ราเมศชี้คดีโกงข้าวไร้อายุความ

28 ก.ย.60 นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกและคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) แถลงถึงกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาลับหลังตัดสินจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเวลา 5 ปี ในคดีปล่อยปละละเลยจนก่อให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ว่า น.ส. ยิ่งลักษณ์ ยังได้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 195 วรรค 4 โดยมีสิทธิอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษา

“ดังนั้นคดีนี้จึงยังไม่ถึงที่สุด ซึ่งผมสนับสนุนให้ใช้สิทธิต่อสู้คดีด้วยการอุทธรณ์คดีต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อให้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายสมบูรณ์ที่สุด” นายราเมศ กล่าว

อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องมาปรากฏตัวเพื่อยื่นอุทธรณ์เองหรือไม่ ซึ่งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 18 วรรคสอง ระบุว่า นอกจากที่บัญญัติไว้ในพระราบบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กระบวนการพิจารณาในศาลให้เป็นไปตามข้อกำหนดในกรณีที่ไม่มีข้อกำหนดให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้ ซึ่งในมาตรา 198 วรรคสาม ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2559 บัญญัติว่า ในกรณีที่ตามคำพิพากษาจำเลยต้องรับโทษจำคุก หรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น และจำเลยมิได้ถูกคุมขัง จำเลยจะยื่นอุทธรณ์ได้ก็ต่อเมื่อแสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาล ในขณะที่ยื่นอุทธรณ์ มิเช่นนั้นให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์

“ดังนั้นหากจะยื่นอุทธรณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องมาแสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาล เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายเดิม ที่ใช้มาตรฐานเดียวกับประชาชนทั่วไป โดยไม่จำเป็นต้องรอพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด” นายราเมศ กล่าว

นายราเมศ กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีอายุความ 10 ปี ว่า เร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด แต่ตนมีความเห็นแย้งนายวิษณุ เพราะเรื่องอายุความไม่จำเป็นที่อ้างว่าต้องรอกฎหมายนั้น เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 123/1 ซึ่งศาลฎีกาฯให้ลงโทษตามมาตรา 123/1 โดยในกฎหมายฉบับดังกล่าวมีการระบุไว้ในมาตรา 74/1 ไม่ให้นับเวลาที่จำเลยหลบหนีเป็นอายุความ

“ดังนั้นถ้าคดีถึงที่สุดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องหนีตลอดชีวิต เพราะหากกลับมาประเทศไทยก็ต้องรับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ เนื่องจากความผิดตามคดีนี้ไม่มีอายุความ” นายราเมศ กล่าว

นายราเมศ กล่าวด้วยว่า ตนเห็นว่าหากคนในรัฐบาล หรือ คสช.จะพูด เพื่อให้ใครสบายใจ อย่าพูดดีกว่า ขอให้ปล่อยไปตามครรลองของกฎหมาย ไม่เช่นนั้นสังคมจะเกิดความไขว้เขว ตนเห็นว่านายวิษณุ เป็นคนที่มีวิชาความรู้ทางกฎหมายมาก จึงน่าจะทราบว่าหลักเกณฑ์กฎหมายเรื่องอายุความเป็นอย่างไร หากแสดงความเห็นที่ขัดแย้งกับหลักดังกล่าว ก็จะทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าให้ความเห็นทางกฎหมายเช่นนี้เพื่ออะไร

อิเหนารับมือภูเขาไฟใกล้ระเบิด

จาการ์ตา/เดนปาซาร์ (เอเอฟพี/รอยเตอร์)-ทางการอินโดนีเซียเตรียมพร้อมสั่งการให้เปลี่ยนเส้นทางบินไปยังเกาะบาหลี ขณะที่ภูเขาไฟกำลังปะทุใกล้ที่จะระเบิดครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปี

ภูเขาไฟอากุง ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองคูตาแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะบาหลีราว 75 กิโลเมตรเริ่มปะทุตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาและล่าสุดมีประชาชนอพยพออกจากบ้านเรือนแล้วกว่า 80,000 คน รายงานระบุว่าท่าอากาศยานในเมืองเดนปาซาร์บนเกาะบาหลียังไม่ได้รับผลกระทบจากการปะทุของภูเขาไฟ แต่หลายประเทศได้ออกคำเตือนการเดินทางแล้วทั้งออสเตรเลียและสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม ทางการอินโดนีเซียได้เตรียมเปลี่ยนเส้นทางการบินสำหรับเที่ยวบินที่ไปยังเกาะบาหลี โดยจะให้เปลี่ยนเส้นทางไปลงยังท่าอากาศอื่นราว 10 แห่ง รวมทั้งบนเกาะลอมบอกที่อยู่ใกล้เคียงและกรุงจาการ์ตา สายการบินต่างๆ กำลังเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและได้เตรียมรถโดยสารไว้ราว 100 คัน เพื่ออพยพบรรดานักท่องเที่ยว

มีรายงานว่า ศูนย์เตือนภัยแผ่นดินไหวอินโดนีเซียบันทึกแรงสั่นสะเทือนได้เกือบ 300 ครั้ง เมื่อเช้าวันพุธนี้ และพบเห็นกลุ่มควันบางๆ บริเวณยอดของภูเขาไฟดังกล่าว ภูเขาไฟอากุงระเบิดครั้งหลังสุดเมื่อปี 2506 มีผู้เสียชีวิตเกือบ 1,600 คน ขณะที่ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ของอินโดนีเซียเดินทางลงพื้นที่บนเกาะบาหลีเพื่อให้กำลังใจชาวบ้านที่ต้องอพยพออกจากบ้านเรือน และขอให้ชาวบ้านเชื่อฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ยืนยันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมให้ความช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเต็มที่

ขณะเดียวกัน ทางการวานูอาตูอพยพประชาชนกว่า 7,000 คน ออกจากบ้านเรือน ขณะที่ภูเขาไฟมานาโรบนเกาะแอมเบปะทุรุนแรงขึ้น ทำให้วิตกว่าอาจเกิดระเบิดครั้งใหญ่ บนเกาะแอมเบมีประชากรอาศัยอยู่ราว 10,000 คนจนทางการประกาศภาวะฉุกเฉิน ด้านเจ้าหน้าที่สำนักงานบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติวานูอาตู เปิดเผยว่า เรือลำแรกที่นำอาหาร น้ำ และสิ่งของจำเป็นไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย เดินทางถึงแล้ว และคาดว่าเรือลำที่ 2 จะเดินทางมาถึงในวันศุกร์นี้


ปะทุอีกลูก'ภูเขาไฟซินาบุง' 'อิเหนา'อพยพปชช.3หมื่นคน

28 ก.ย.60 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ภูเขาไฟซินาบุง บนเกาะสุมาตรา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินโดนีเซีย เกิดการปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และพ่นควันเถ้าถ่านไปไกลหลายกิโลเมตร โดยเจ้าหน้าที่ได้เร่งอพยพประชาชนกว่า 30,000 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่โดยรอบ

สำหรับภูเขาไฟซินาบุง มีขนาดความสูง 2,460 เมตร เป็นหนึ่งในภูเขาไฟ 34 ลูกที่ทรงพลังมากที่สุดบนเกาะสุมาตรา เพิ่งเกิดปะทุรุนแรงครั้งล่าสุดไปเมื่อช่วงต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา และเคยเกิดระเบิดรุนแรงครั้งใหม่ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2553 หลังสงบนิ่งนานกว่า 400 ปี