29 ม.ค. 59 เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานพิธีเปิดงานอาชีวศึกษาทวิภาคีไทย โดยกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “อาชีวศึกษา ฝีมือชน คนสร้างชาติ” ตอนหนึ่งว่า การเรียนรู้จะต้องรู้ตั้งแต่ใจตัวเองว่า เราจะอยู่อย่างไรในวันข้างหน้า และอนาคตที่จะไม่เกิดความขัดแย้ง และรู้ว่าจะอยู่ร่วมกันด้วยความร่วมมือ การแก้ปัญหา และการร่วมมือกับรัฐอย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลออกกฎหมายไป 400 กว่าฉบับ ยังไม่พอ เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยปรับแก้กฎหมายมีผลกระทบกับภาคธุรกิจ เพราะกฎหมายล้าสมัย วันนี้ต้องแก้กันทุกวันและการแก้กฎหมายมันง่ายที่ไหน และอะไรๆ ก็จะให้ใช้มาตรา 44 ซึ่งถามว่ามาตรา 44 จะไปใช้กับอาเซียนได้ไหม ถ้าได้ตนจะออกให้การแก้กฎหมายเหล่านี้ต้องเข้าสู่กระบวนการ สนช.ที่จะพิจารณากัน 3 วาระ โดยที่รัฐบาลส่งกฎหมายต้นทางไปให้พิจารณาจะผ่านไม่ผ่านก็ต้องไปว่ากันมา
“ผมบอกแล้ว ผมเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง วันนี้ผมยังแข็งแรงอยู่ ถ้าตราบใดยังเสียงดัง ถือว่ายังโอเค ไม่เคยยอมแพ้ เพราะผมแพ้ผมก็อยู่ไม่ได้ คิดแบบผมคิดบ้าง ผมไม่ได้คำนึงว่าผมจะอยู่อย่างไรในวันข้างหน้า ถ้าผมกังวลคงไม่มายืนตรงนี้หรอก”
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่อยากให้คนไทยใช้สมองคิดแต่ความขัดแย้ง คิดแต่ประชาธิปไตย เพราะถ้าหลุดจากกับดักเหล่านี้ไม่ได้ประเทศก็ถอยหลัง ทุกวันที่ทำมาล้มเหลวทั้งหมด แต่ตนจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ยังอยู่ ส่วนกับต่างชาติหลายคนเคยบอกว่า การที่รัฐบาลเข้ามาแบบนี้ไม่อยากคบด้วย แต่ก็เห็นทุกประเทศเข้ามา ในเวลาอันใกล้จะเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้ ซึ่งหลายประเทศเชิญไปหมด เพราะเขาต้องการร่วมมือ ถ้าเขาเกลียดคงไม่เชิญ เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น มีแต่คนไทยที่ต้องการให้แตกแยก โรดแม็พของไทยอยู่ในระยะที่ 2 ตนเหลือเวลาอยู่อีกไม่นาน และยืนยันว่าเราไม่ได้ฝืนประชาธิปไตย แต่ขอให้เวลาตรงนี้ด้วย พร้อมขอให้หยุดความขัดแย้งไว้ก่อนแล้วมาร่วมมือกันให้ได้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ได้ไล่ล่าผู้ที่แอบอ้างตนเพื่อหาผลประโยชน์ แต่อย่าพูดส่งเดชว่ามีการตกลงกันกับคนของ คสช. ซึ่งถ้าจริงก็ไปหาหลักฐานมา แต่อย่าพูดส่งเดช ถ้ามีหลักฐานก็จะจับให้ อย่าพูดให้เกิดความเสียหาย เมื่อวานนี้มีการประเมินเรื่องของคะแนนความโปร่งใส แค่จะรักษาคะแนนให้คงเดิมก็ยากอยู่แล้ว ถ้าบอกว่ามีการทุจริตก็ขอให้บอกด้วยว่า ทุจริตจุดใด ที่รัฐมนตรีหรือข้าราชการ ขอให้หามา ยืนยันว่าไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยตั้งแต่เข้ามา แต่เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหา ไม่ต้องการทำร้ายใคร แต่ก็ไม่เข้าใจทำไมต้องทำร้ายกันอยู่ได้ ทั้งที่ตัวเองไม่เคารพกฎหมาย
“วันก่อนมีคนถาม มีทหารแล้วได้อะไร อย่างน้อยทหารก็เอาชีวิตรักษาแผ่นดิน 5 แสนตารางกิโลเมตร ไว้ให้พวกหมาที่ออกมาพูดว่ามีทหารไว้ทำไม วันนี้ผมต้องพูดแบบนี้ เบรกไม่อยู่ เขาตายไปเท่าไร น้ำท่วมหรือฝนแล้ง แต่ยังมีที่ยืน ที่หายใจ ใครทำให้ ก็ทหารทั้งนั้น ถ้าไม่รักษาไว้จะทำอย่างไร จะเอาใครมาทำ การคุกคามแบบใหม่ในโลกเกิดขึ้นที่บ้านเรา เขาไม่เชื่อ ต้องช่วยกันพูด เมื่อพูดเสียงอ่อน สื่อก็หาว่าท้อแท้ ไม่มีท้อแท้ ไม่มีอ่อน อ่อนไม่ได้ ยิ่งเวลาน้อย ไม่อย่างนั้นจะแก้ไม่ได้ ไม่ใช่บ้าอำนาจ ที่ปวดหัวทุกวันเพราะรับหมด”
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญคือ วันนี้มีคนพยายามให้ร้ายต่อประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศต้องสามารถชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรีได้ทุกเรื่อง วันนี้เรามีแม่น้ำ 5 สายก็ดูเหมือนจะตีกันแล้ว ไม่ว่าจะรัฐธรรมนูญหรือโรดแม็พ ตนยังไม่ได้พูดอะไรสักคำว่าจะทำได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้จะให้ทำอย่างไร หรือจะใช้กำลังบังคับกัน ดังนั้นจึงอยู่ที่ประชาชนเพราะประชาชนคือผู้ออกเสียงอย่างแท้จริง ไม่ใช่พวกแอบอ้าง ตนพูดมากไม่ได้ เพราะจะถูกกล่าวหาว่าต้องการสืบทอดอำนาจ แต่จะทำทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยตอนที่ยังอยู่ในตำแหน่ง
(29 มกราคม) หลังจากที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ได้แถลงร่างรัฐธรรมนูญฉบับเบื้องต้นแล้วนั้น วันนี้ พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า เป็นร่างที่ไม่ยอมรับว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน เปิดโอกาสให้มีการสืบทอดอำนาจมีรัฐบาลที่อ่อนแอ ให้อำนาจองค์กรอิสระ และศาลรัฐธรรมนูญ ควบคุมรัฐบาลที่มาจากประชาชนรัฐธรรมนูญเช่นนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน มีรายละเอียดดังนี้
ตามที่พรรคเพื่อไทยได้เสนอความเห็นมาโดยตลอดว่าประเทศไทยต้องมีรัฐธรรมนูญที่ดี มีความเป็นประชาธิปไตยที่เป็นสากล เคารพในสิทธิมนุษยชน ยึดมั่นในหลักนิติรัฐ นิติธรรมมีดุลยภาพและความรับผิดชอบขององค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยอย่างเหมาะสม ให้ความเคารพในอำนาจตัดสินใจของประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและการมีส่วนร่วมของประชาชน เสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์และผลักดันการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม พรรคเพื่อไทยได้เคยเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งสรุปสาระสำคัญโดยย่อดังต่อไปนี้
1. ต้องยึดหลักการประชาธิปไตย ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริงมิใช่เป็นของบุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลใดเป็นการเฉพาะ
2. วางกลไกการบริหารจัดการประเทศที่ทุกองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตย สามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้หลักนิติธรรมและธรรมาภิบาลโดยมีระบบตรวจสอบ ที่เหมาะสมซึ่งประชาชนมีส่วนร่วม
3. ต้องให้อำนาจประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจในการเลือกตั้งผู้แทนโดยตรง และผู้นำฝ่ายบริหารต้องมาจากตัวแทนที่ประชาชนเลือกเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งที่สังคมไทยคุ้นเคยเข้าใจดีและไม่มีปัญหา มีแต่จะยิ่งสร้างความยุ่งยาก มีปัญหา และไร้ประสิทธิภาพ
4. รัฐธรรมนูญต้องอยู่บนพื้นฐานที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ ไม่ควรกำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ยากจนเกินไป
เมื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธาน และได้เผยแพร่ต่อประชาชนให้ได้รับทราบ เห็นว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่ปรากฏไม่เป็นประชาธิปไตยตามหลักสากล และไม่เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ประชาชนตกผลึกแล้วประชาชนถูกรอนสิทธิ อำนาจอธิปไตยของประชาชนถูกลิดรอนและถูกควบคุมกำกับโดยองค์กรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเพียงไม่กี่คนเป็นผู้ตัดสินชะตาอนาคตของประเทศ จะมีรัฐบาลที่อ่อนแอ ขาดเสถียรภาพ ไม่อาจพัฒนาประเทศได้อย่างต่อเนื่อง คิดนโยบายระยะยาวไม่ได้ ไม่อาจแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนได้ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. สร้างระบบเลือกตั้ง ที่จะนำไปสู่การมีรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ ตัดสิทธิของประชาชนที่มีโอกาสได้แยกเลือกผู้สมัครเขตออกจากการเลือกพรรคการเมือง สร้างความสับสนให้แก่ประชาชนบังคับประชาชนให้ลงคะแนนเลือกเฉพาะผู้สมัครเขต รัฐบาลอ่อนแอไม่อาจแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน เป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาประเทศ และไม่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ
2. ระบบเลือกตั้งใหม่จะนำไปสู่ความอ่อนแอของพรรคการเมือง นำไปสู่การต่อรองทางการเมือง และจะนำไปสู่การสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารโดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่มิใช่ส.ส.เป็นนายกรัฐมนตรี ในที่สุดจะนำไปสู่การถดถอยของประชาธิปไตยและอำนาจของประชาชน
3. เพิ่มอำนาจ ให้ศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนฝ่ายการเมือง และฝ่ายต่างๆ วินิจฉัยตีความรัฐธรรมนูญ ได้อย่างกว้างขวาง มีสิทธิขาดในการตีความรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยสร้างวิกฤตให้กับประเทศมาแล้วมากมายหลายครั้งเคยตัดสินคดีที่แสดงถึงการใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉลหลายต่อหลายคดี ศาลรัฐธรรมนูญจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายตัวแทนของประชาชน
4. ให้องค์กรอิสระ (กกต. , ปปช. , สตง.) มีอำนาจเหนือรัฐบาลและรัฐสภาโดยการชี้ทิศทางและความเป็นไปในการบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้รัฐบาลและรัฐสภาขาดความเป็นอิสระในการบริหารราชการแผ่นดินและในการตรากฎหมาย องค์กรเหล่านี้จะทำหน้าที่ต่อต้านนโยบายของรัฐบาล ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศและประชาชนได้
5. การให้ ส.ว. ทั้งหมดมาจากการสรรหาของคนเพียงกลุ่มหนึ่งแสดงถึงการไม่เคารพในสิทธิของประชาชนที่จะเลือกผู้แทนของตนเองและความถดถอยของประชาธิปไตยไปมากกว่ารัฐธรรมนูญปี 50 เสียอีก ทั้งนี้ ก็เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มอำนาจปัจจุบันได้สร้างระบบตัวแทนของตนเองเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไป
6. กำหนดกลไกการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำให้ไม่อาจแก้ไขได้เลย เพราะต้องใช้เสียงวุฒิสภาซึ่งมาจากการสรรหาอย่างน้อยหนึ่งในสามและเสียงจากทุกพรรคการเมืองไม่น้อยกว่าร้อยละ 10จะทำให้เกิดปัญหาวิกฤตรัฐธรรมนูญขัดขวางการพัฒนาการเมืองและการพัฒนาประเทศอย่างสำคัญ
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำลายหลักการอันดีงามที่ประเทศเคยยึดถือ ถอยหลังลงคลอง และยังทำให้ความคิดแบบเผด็จการอำนาจนิยมสามารถกดหัวประชาชนต่อไป ยากที่ประเทศจะกลับคืนสู่สันติสุขได้พรรคเพื่อไทยจึงไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญดังที่ปรากฏนี้ พรรคเพื่อไทยขอเรียนย้ำว่า รัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะขาดความต่อเนื่องของนโยบาย ขาดความเชื่อมั่นของต่างชาติ ผลจากการรัฐประหารที่ผ่านมาเป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า สภาพเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน การบริโภคหยุดชะงัก การลงทุนหดหาย การลงทุนภาครัฐขาดประสิทธิภาพ การส่งออกหดตัวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เศรษฐกิจฐานรากตกต่ำ ประชาชนยากลำบากอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เมื่อวันที่ 28 มกราคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ความว่า ตนมีความจำเป็นต้องเขียนหนังสือผ่านเฟซบุ๊กอีกครั้งหนึ่งในการโต้แย้งกระบวนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด โดยวันนี้ได้มอบหมายให้ทนายไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แม้ตนจะรู้คำตอบว่าอย่างไรเสียท่านคงไม่สนใจ เพราะถ้าหากสนใจจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เพราะตนได้ทำหนังสือถึงท่าน จำนวน 6 ฉบับและนายจิรชัย มูลทองโร่ย ประธานคณะกรรมการฯ ที่กำลังจะให้การกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะพยานฝ่ายโจทก์ที่กล่าวหาว่าตนทำความเสียหาย จำนวน 6 ฉบับเช่นกัน แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีความเห็นหรือการกระทำใดๆ ที่บ่งบอกว่าจะนำหนังสือของตนเข้าไปพิจารณา อีกทั้งไม่เคยได้รับการแจ้งผลใดๆ กลับมาว่าสั่งดำเนินการอย่างไร และยังคงทำไปตามเป้าหมายของคณะกรรมการ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ตนจึงขอสรุปใจความของหนังสือโต้แย้งดังนี้
1.ตนได้โต้แย้งทั้งผู้ออกคำสั่งและผู้แต่งตั้งว่าดำเนินการไม่เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 8 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2559 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฎิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2559
2.ขณะนี้คดีความทางอาญายังไม่สิ้นสุด จึงย่อมได้รับความคุ้มครองตามสิทธิ ในกระบวนการยุติธรรม
3.การฟ้องเอาผิดให้ตนชดใช้ค่าเสียหายโดยกระทรวงการคลังนั้นไม่ถูกต้องเพราะกระทรวงการคลังไม่ใช่ผู้เสียหาย
4.ยังไม่มีการประเมินค่าความเสียหายที่ได้รับการยอมรับตามกฎหมายและเป็นธรรมแก่ตนที่กำลังจะถูกชดใช้ค่าเสียหายแต่ผู้เดียวทั้งที่คดีความยังไม่สิ้นสุด ดังนั้น ตนจึงขอใช้ช่องทางนี้สื่อสารไปยังทุกท่านที่เกี่ยวข้องได้โปรดพิจารณาข้อเรียกร้องและโต้แย้งของดิฉันให้ยุติตามกระบวนความของกฎหมายก่อน และโปรดอย่าพิจารณาคดีของดิฉันเหตุเพราะ มี มาตรา 44 คุ้มครองหรือกฎหมายอื่นที่จะออกมาคุ้มครองภายหลัง
“ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” พร้อมครอบครัวเดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีรื้อบาร์เบียร์ เผยหวังปาฏิหาริย์อาจจะมี ยันยอมรับคำพิพากษาพร้อมใช้ชีวิตนักโทษ แขวะไม่เคยหนีไปนั่งเรือยอชต์จิบไวน์ ขณะที่จำเลยขาดรวม 20 คน หนึ่งในนั้นพบมี “พ.ท.หิมาลัย”
ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 วันนี้ (28 ม.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต หัวหน้าพรรครักประเทศไทย จำเลยคดีรื้อบาร์เบียร์ เดินทางมาศาลพร้อมภรรยา นายเติมตระกูล บุตรชาย และผู้ติดตาม เพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกา โดยเมื่อมาถึงนายชูวิทย์ได้เดินไปไหว้พระพุทธรูปประจำศาล ด้านหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้เพื่อเป็นสิริมงคล
ขณะที่นายชูวิทย์กล่าวว่า วันนี้ตนพร้อมเป็นตัวอย่างให้นักการเมืองและประชาชนทั่วไปเห็นว่าตนไม่หนี จะอยู่ตรงนี้และยอมรับคำพิพากษา แม้ว่าตนจะถอนคำให้การที่เคยปฏิเสธ มาเป็นการยอมรับสารภาพก็เป็นวิธีทางกฎหมายที่ตนได้สู้จนนาทีสุดท้าย
“ผมไม่เคยคิดแม้วินาทีเดียวที่จะหลบหนีไปนั่งจิบไวน์บนเรือยอชต์ ถ้าวันนี้จะติดคุก ถูกสื่อมวลชนนำไปพาดหัวยังไงก็พร้อม” นายชูวิทย์กล่าว และว่าวันนี้ตนพร้อมที่จะฟังคำพิพากษาโดยนำพระติดตัวมาด้วย
เมื่อถามว่า คิดหรือไม่ว่าศาลอาจจะลงโทษสถานเบา นายชูวิทย์กล่าวว่า ปาฏิหาริย์อาจจะมีจริง แต่ตนก็ไม่ได้หวังขนาดนั้น เมื่อถามว่า แต่หากศาลลงโทษยืน 5 ปี แล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อไป และจะขออภัยโทษหรือไม่ นายชูวิทย์กล่าวว่า ตนก็จะขึ้นรถบัสไปใช้ชีวิตนักโทษในเรือนจำตามปกติ ตนเคยเป็นมาหมดแล้วทั้งเจ้าพ่อ หัวหน้าพรรค ตนเป็นได้ทุกอย่าง
ภายหลังสัมภาษณ์แล้วระหว่างกำลังจะเดินขึ้นศาล นายชูวิทย์ได้ยกมือไหว้พร้อมกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ผมไม่อยู่ แล้วจะคิดถึงผม”
ขณะที่เมื่อเวลา 10.20 น. เจ้าหน้าที่ศาลได้ดำเนินการเช็คชื่อจำเลยที่มาศาล เบื้องต้นยังขาดจำเลยอีก 20 คน หนึ่งในนั้น คือ พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ อดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (บก.สส.) จำเลยที่ 128
ล่าสุดมีรายงานว่า ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาออกมาแล้ว โดยศาลเห็นว่า แม้นายชูวิทย์จะได้ยื่นคำให้การใหม่ จากปฏิเสธ เป็นรับสารภาพเมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงอาญา แต่ศาลเห็นว่าการสารภาพของนายชูวิทย์ไม่เป็นเหตุให้บรรเทาโทษได้ เพราะการรับสารภาพควรจะกระทำตั้งแต่ศาลชั้นต้น อย่างไรก็ตาม นายชูวิทย์ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายบางส่วนจนเป็นที่พอใจและถอนฟ้องแล้ว นอกจากนี้ยังได้บริจาคที่ดินบริเวณปากซอยสุขุมวิท 10 ให้เป็นประโยชน์สาธารณะ จึงมีเหตุบรรเทาโทษ พิพากษาแก้ให้จำคุกนายชูวิทย์ จำเลยที่ 129 เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา จากเดิมที่ศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 5 ปี
ส่วน พ.ท.หิมาลัย และ พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร หรือ เสธ.แอ๊ป อดีตนายทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ จำเลยในคดีรื้อบาร์เบียร์ ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ทั้งนี้ เสธ.แอ๊ปไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา ศาลจะออกหมายจับเพื่อนำตัวมารับโทษต่อไป
สำนักงานรองประธานกรรมการบริหาร มิเชล ปาร์ค สตีล ออเร็นจ์เคาน์ตี้ บอร์ดออฟซูเปอร์ไวเซอร์ ตั้งรางวัลนำจับ $ 200,000 ผู้ให้เบาะแส นำสู่การจับกุม
ผู้ต้องหาคดีร้ายแรง 3 คน ที่แหกคุกจากเมืองซานตาแอนนา ออเร็นจ์เคาน์ตี้ ซึ่งอยู่ในการดูแลของ ออเร็นจ์เคาน์ตี้ เชอริฟ ดิพาร์ทเม้นท์ (Orange County Sherliff ‘s Deparment)
เหตุเกิดระหว่าง ตี 5 ถึง 3 ทุ่ม ของวันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2016 สันนิษฐานว่า ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว คนร้ายคดีร้ายแรง 3 คนคือ
นายโจนาธาน ทิว (THEU JONATHAN) เกิดวันที่ 10-5-1995 อายุ 20 ปี ต้องคดีร้ายแรง ฆาตกรรม พยายามฆ่า ยิงปืนเข้าที่พักอาศัย เป็นสมาชิกของแก๊ง ติดคุกมาตั้งแต่อายุ 15 ปี อยู่ระหว่างรอการขึ้นศาลอยู่
นายบัจ ดวง (DUONG,BAC) เกิดวันที่ 8-09-1972 อายุ 43 ปี ต้องคดี พยายามฆ่า ทำร้ายร่างกาย พกอาวุธร้ายแรง ขัดขืนและต่อสู้เจ้าหน้าที่ รับของโจร จารกรรมรถยนต์
นายฮอสเซน นาเยรี (HOSSEIN NAYERI) เกิดวันที่ 12-06-1978 อายุ 37 ปี ต้องคดี ร้ายแรง ลักพาตัว ทรมาน ตัดอวัยวะ ลักทรัพย์ เคยหลบหนีการจับกุม หลังกระทำผิดไปประเทศอิหร่าน แต่ถูกจับเสียก่อนเข้าประเทศสาธารณรัฐเช็ค เมื่อปี 2014
จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่สำนักงานเชอริฟ ออเร็นจ์ เคาน์ตี้ พบว่า ทั้ง 3 มีการเตรียมการเป็นอย่างดี โดยการตัดช่องลม แล้วรอดตัวเข้าไปผ่านทางเดินท่อประปา เสร็จแล้ว ปีนขึ้นดาดฟ้าหลังคาของฑัณฑสถาน แล้วใช้ผ้าปูที่นอนหย่อนตัวลงมา จาก ชั้น 4 จนถึงพื้นดิน หนีไปได้อย่างปลอดภัย ในคืนวันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2016
เจ้าหน้าที่ได้ระดมกำลัง จากหน่วยงานเข้าสืบหาตัวผู้ต้องหาเหล่านี้ โดยมี FBI,US.MAR SHALL ร่วมติดตามและตั้งรางวัลนำจับให้ $ 50,000 ทางคณกรรมการบริหาร ออเร็นจ์ เคาน์ตี้ บอร์ดออฟซูเปอร์ไวเซอร์ ได้เพิ่มรางวัลให้ผู้แจ้งเบาะแส จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาเหล่านี้อีก $ 150,000 รวมทั้งหมด $ 200,000 ท่านสามารถโทรฯ ได้ที่ 714-628-7085 สายตรง 24 ชั่วโมง
ล่าสุด เจ้าหน้าที่เชอริฟ ได้จับกุม นาง RAUAGMI , NOOSHAFARIN เมื่อวันที่ 1-28-16 ในข้อหามีส่วนช่วยเหลือนักโทษ ให้หลบหนี โดยมีการให้แผนที่ กับผู้ต้องหา ในขณะที่เธอเป็นครูอาสาสอนภาษาอังกฤษ ในฑัณฑสถานแห่งนี้ ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2015 และมีความสัมพันธ์ อย่างดีกับผู้ต้องหา นาย ฮอสเซน นาเยรี (HOSSEIN NAYERI) ซึ่งเป็นชาวอิหร่านด้วยกัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ยึดรถ VAN , GMC , ที่คนร้าย นายบัจ ดวง (DUONG,BAC) ได้ขโมยขับหนี หลังจากทำท่าว่าจะขอซื้อรถแวนดังกล่าว ที่ลอสแอนเจลิส เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2016 หลังจากแหกคุกได้เพียงวันเดียว
คดีแหกคุกแบบนี้ เคยเกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน ในฑัณฑสถานแห่งเดียวกันนี้ ซึ่งสถานกักขังนี้เป็นตึกเก่า สร้างในปี คศ. 1968 (ประมาณ 48 ปี) ก่อน
ท่านผู้ใดที่พบเห็นหรือรู้เบาะแส ของผู้ต้องหาทั้ง 3 นี้ แจ้ง 911 หรือ สายตรง 714-628-7085 มีสิทธิ ได้รับเงินรางวัลไปใช้เลยครับ
ล่าสุด ตอนเที่ยง ของวันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2016 นาย Duong, Bac ได้บอกเพื่อนเจ้าของร้านซ่อมรถในเมืองซานต้าแอนนา ให้โทรฯ บอกตำรวจ มารับตัวเขากลับเข้าคุก