แองเจลา คาร์เนกี อดีตนักโทษคดียาเสพติดชาวอเมริกันในไทย ออกโรงตีแผ่สภาพอันย่ำแย่เลวร้ายของเรือนจำไทยผ่านสารคดีของ “เนชันแนล จีโอกราฟิก” ถือเป็นประเด็นร้อนล่าสุดที่ส่งผลกระเทือนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวโลก
รายงานข่าวของสื่อต่างประเทศหลายสำนัก ระบุว่า นางคาร์เนกี สัญชาติอเมริกัน ได้ร่วมตีแผ่ความเลวร้ายของคุกในประเทศไทยผ่านทางภาพยนตร์สารคดีชุด “Locked Up Abroad” ของทางเนชันแนล จีโอกราฟิก โซไซตี (NGS) หนึ่งในองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
โดยในสารคดีชุดดังกล่าว นางคาร์เนกีซึ่งเคยติดคุกในไทยนาน 9 ปี จากความผิดฐานลักลอบขนเฮโรอีน แฉว่า ตลอดระยะเวลาที่เธอถูกจองจำอยู่ในประเทศไทย เธอต้องถูกบังคับให้รับประทานของที่เน่าเสีย อาหารที่เต็มไปด้วยแมลงและหนอน ทั้งยังต้องดำรงชีวิตอยู่ในคุกโดยปราศจากน้ำประปา ซึ่งถือเป็นสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต
สาวใหญ่ชาวอเมริกันระบุว่า ในตอนที่เธอถูกจับนั้นเธอเพิ่งเลิกรากับแฟนหนุ่ม ทำให้เธอรู้สึกอ่อนแอเคว้งคว้าง ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจรับข้อเสนอของเพื่อนคนหนึ่งในการขนเฮโรอีนเพื่อแลกกับค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง โดยเธอเผยว่าทั้งหมดที่เธอต้องทำ คือการเดินทางไปพบกับเพื่อนคนดังกล่าวในประเทศไทย เพื่อรับกระเป๋าเดินทางจำนวน 1 ใบที่ภายในมีเฮโรอีนซุกซ่อนอยู่ และเดินทางกลับสหรัฐฯ แต่เธอไม่รู้มาก่อนเลยว่าเธอจะไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน เพราะเธอถูกเจ้าหน้าที่ของไทยจับได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งนำไปสู่การที่เธอถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกตลอดชีวิตในเวลาต่อมา
คาร์เนกีซึ่งได้แชร์ประสบการณ์ในเรือนจำของไทยผ่านทาง “เฟซบุ๊ก” ของตัวเอง ระบุว่า คุกที่เธอถูกส่งตัวไปแออัดมาก และยังสกปรกจนยากเกินบรรยาย นอกจากนั้น เธอยังแฉว่า ตลอดเวลาที่ติดคุกอยู่ในไทยเธอไม่เคยได้รับประทานอาหารร้อนๆ ที่ปรุงสุกใหม่ๆ เพราะอาหารที่เรือนจำของไทยจัดให้มักถูกส่งให้นักโทษเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ชั่วโมง กว่าที่ผู้ต้องขังจะได้เริ่มลงมือรับประทาน
นอกจากนั้น เธอยังต้องถูกบังคับให้นอนรวมกับผู้ต้องขังที่เป็นวัณโรค โรคเรื้อน ตาแดง และโรคผิวหนังอีกนานาชนิดในห้องขังที่มีนักโทษแออัดกันอยู่มากกว่า 200 ชีวิต โดยไม่มีแม้กระทั่งพัดลม ขณะที่บางครั้งในเรือนจำก็ไม่มีแม้แต่น้ำสำหรับชำระล้างสุขภัณฑ์ด้วยซ้ำ ถือเป็นความทรงจำอันเลวร้ายที่เธอจะไม่มีวันลืม แม้ในขณะนี้เธอจะถูกเนรเทศกลับมายังสหรัฐฯ และได้แต่งงานกับแฟนหนุ่มคนเดิมของเธอที่เคยเลิกรากันไปก่อนที่เธอถูกจับ
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว สถานีโทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษ เคยรายงานข่าวเกี่ยวกับความพยายามขององค์กรพิทักษ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยที่ใช้ชื่อว่าสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน หรือ Union for Civil Liberties ที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของนักโทษในเรือนจำมาแล้วเช่นกัน โดยในครั้งนั้น องค์กรดังกล่าวออกมาแฉว่า เรือนจำในไทยมีศักยภาพในการรองรับนักโทษได้ราว 100,000 คนเท่านั้น แต่ทางการไทยกลับปล่อยปละละเลยให้นักโทษซึ่งมีจำนวนมากกว่านั้นกว่า 2 เท่าตัวใช้ชีวิตอยู่กันอย่างแออัด เข้าข่ายลิดรอนสิทธิมนุษยชนอย่างเลวร้าย
แม่"พลอย" รับ "ทวีศักดิ์" เจ้าของบัตร ปชช.เป็นพ่อคนขับรถ เชื่อเกิดผิดพลาดประสานงานกับสำนักงาน บช. ด้าน รมช.คลังสั่งสรรพากรพื้นที่สอบภาษี "พลอย-เฌอมาลย์" ระบุถ้ามีเจตนาผิดจริง โทษสูงสุดคุก 7 ปี
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณี น.ส.ไลลา บุญยศักดิ์ หรือพลอย-เฌอมาลย์ ใช้สำเนาบัตรประชาชนนายทวีศักดิ์ บุนนาค ในการรับเงินค่าตัวจากบริษัทแอบโซลูท ฟอร์ ยู จนเป็นเหตุให้ถูกมองว่าตั้งใจหลบเลี่ยงภาษี ขณะที่เจ้าตัวอ้างว่าไม่ทราบเรื่อง เพราะทั้งหมดฝ่ายบัญชีเป็นคนจัดการ อาจเกิดความผิดพลาด ต่อมานายทวีศักดิ์ได้ให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมาเคยก็ถูกขอยืมบัตรประชาชนไปใช้ในลักษณะนี้มาก่อน ตนก็ยินยอม เพราะไม่รู้ว่าผิดกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นญาติห่างๆ ของ นางธัญดา นิลภิรมย์ มารดาของพลอย รวมถึงบุตรชายของตนก็เคยทำงานเป็นคนขับรถให้พลอยด้วยนั้น
นางธัญดาให้สัมภาษณ์ "มติชน" ว่า ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันญาติกับนายทวีศักดิ์ แต่ยอมรับว่าบุตรชายของนายทวีศักดิ์เคยเป็นคนขับรถให้พลอย แต่ตอนนี้ขับรถให้ตนแทนแล้ว สำหรับเรื่องบัตรประชาชนของนายทวีศักดิ์ที่ถูกนำไปใช้นั้น ตนกำลังตรวจสอบที่มา เป็นไปได้ว่าอาจเป็นความผิดพลาดในการประสานงานระหว่างผู้จัดการส่วนตัวของพลอยและสำนักงานบัญชี และพร้อมให้กรมสรรพากรเข้ามาตรวจสอบความถูกต้องอย่างเต็มที่
สำหรับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ หลายคนมองว่าการร้องไห้ของพลอยในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นการร้องเพื่อสร้างภาพนั้น นางธัญดากล่าวว่า ใครจะมองอย่างไรก็ช่าง ขออย่างเดียวว่าถ้าจะว่าขอให้ว่าเพียงตนหรือพลอย แต่อย่าลามไปถึงบรรพบุรุษ เพราะไม่มีใครรู้เรื่อง เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดตนคงทำได้เพียงใช้ธรรมะข่มใจ
"ที่พลอยร้องไห้เพราะเขาเห็นแม่ร้องเลยร้องตาม แม่รู้สึกอึดอัดใจมากที่ลูกของแม่พูดว่าตัวเองผิดอยู่ตลอดเวลา ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เป็นไร เพราะเรารู้ตัวว่าเราเป็นอย่างไรก็พอแล้ว" นางธัญดากล่าวในที่สุด
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กรมสรรพากรได้รายงานความคืบหน้ากรณีการเสียภาษีของพลอยแล้ว ขั้นตอนอยู่ระหว่างให้สรรพากรพื้นที่ที่รับผิดชอบเรียกตัวผู้เกี่ยวข้องทั้งพลอย บริษัทผู้ว่าจ้างและผู้ที่ยื่นรับค่าจ้างแทนมาให้ปากคำกับสรรพากรพื้นที่ เนื่องจากกรณีดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 ที่ระบุว่า ผู้ใด (1) โดยรู้อยู่แล้วหรือโดยจงใจแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะนี้ หรือ (2) โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะนี้ ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2 พันบาทถึง 2 แสนบาท
นอกจากความผิดดังกล่าวแล้ว กรมสรรพากรจะต้องดำเนินการเอาผิดทางแพ่งด้วย ผู้ที่กระทำความผิดจะต้องจ่ายเบี้ยปรับกรณีไม่ยื่นแสดงรายได้เป็นจำนวนเงิน 1 เท่าของอัตราภาษีที่ต้องชำระตามกฎหมายและชำระเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนนับตั้งแต่มีการคำนวณภาษีเงินได้
"เราถือกรณีนี้เป็นบทเรียน คนทำความผิดเกิดขึ้นโดยเจตนาหรือไม่ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบตามกฎหมายอย่างเข้มงวด เพราะความผิดที่เกิดขึ้นในอดีตถือเป็นความผิดสำเร็จแล้ว ต้องปล่อยให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป และถือโอกาสทำความเข้าใจกับคนหมู่มากให้ดำเนินการทางด้านภาษีได้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป" นายทนุศักดิ์กล่าว
นายทนุศักดิ์กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทางกระทรวงการคลังจึงได้มอบหมายให้กรมสรรพากรดำเนินการจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้ด้านภาษีแก่บุคคลสาธารณะที่ไม่ได้มีรายได้เป็นเงินเดือนประจำหรือเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8) โดย "นักแสดงสาธารณะ" หมายความว่า นักแสดงละคร ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ นักร้อง นักดนตรี นักกีฬาอาชีพ หรือนักแสดงเพื่อความบันเทิงใด ๆ ไม่ว่าจะแสดงเดี่ยว เป็นหมู่หรือคณะ หรือแข่งขันเป็นทีม เช่น นักแสดงละครเวที นักแสดงภาพยนตร์ นักแสดงละครวิทยุ นักแสดงละครโทรทัศน์ ผู้ดำเนินรายการทางโทรทัศน์ นักแสดงตลก นายแบบ นางแบบ นักพูดรายการทอล์กโชว์ นักมวยอาชีพ นักฟุตบอลอาชีพ เป็นต้น
"บุคคลสาธารณะต่างๆ เหล่านี้บางครั้งรายได้ที่หัก ณ ที่จ่าย 5% เขาไม่รู้ว่าต้องยื่นแบบแสดงรายได้อีกครั้งคิดว่าหักไปแล้วก็หักไปเลย จึงอยากทำความเข้าใจในวงกว้างสำหรับผู้เสียภาษีกลุ่มนี้ให้ดำเนินการทางด้านภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายจะได้ไม่มีปัญหาต่อไปในอนาคต" นายทนุศักดิ์กล่าว
วันที่ 31 ส.ค. ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พิพากษาจำคุก 3 ปี น.ส.แพรวา (นามสมมติ) เยาวชนหญิงอายุ 17 ปี คดีขับรถชนรถตู้บนโทลล์เวย์ จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 คน แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อคดี จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี โทษจำคุกให้รอลงอาญา 3 ปี และให้คุมประพฤติจำเลยเป็นเวลา 3 ปี ห้ามจำเลยขับรถยนต์จนกว่าจะอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ รวมถึงบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์
ก่อนหน้านี้ วันที่ 30 ส.ค. นางทองพูน พานทอง มารดาของ น.ส.นฤมล ปิตาทานัง คนขับรถตู้ ซึ่งเป็น 1 ใน ครอบครัวผู้เสียหายจากเหตุเยาวชนสาว ขับรถยนต์ฮอนด้าซีวิค เฉี่ยวชนรถตู้ บนทางยกระดับโทลล์เวย์จนมีผู้เสียชีวิต 9 ราย เปิดเผยว่า ขณะนี้ทนายความแจ้งให้ทราบว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง นัดฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ ( 31 ส.ค.) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 5 โดยตนจะเดินทางไปร่วมฟังคำพิพากษาด้วย ซึ่งใจหนึ่งก็เกรงว่าศาลจะได้มีคำตัดสินเลยหรือไม่ ส่วนตัวจะขอไปลุ้นฟังคำพิพากษาซึ่งผลจะออกมาอย่างไรจะปรึกษาทนายความอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่พ.ต.อ.ศรัญ นิลวรรณ บิดาของน.ส.ชุติพร นิลวรรณ นักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ อีก 1 ในครอบครัวที่เสียชีวิต กล่าวว่า ตนพร้อมจะเดินทางไปรับฟังคำพิพากษาในวันพรุ่งนี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเดินทางจากต่างจังหวัด
สำหรับคดีนี้อัยการฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องน.ส.แพรวา(นามสมมุติ) เป็นจำเลย ในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท จนเป็นเหตุในผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายต่อร่างกายบาดเจ็บสาหัส และทรัพย์สินเสียหาย และใช้โทรศัพท์ขณะขับรถยนต์ ต่อศาลเยาวชน ฯ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.54 โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.53 เวลากลางคืน น.ส.เอ จำเลยซึ่งเป็นเยาวชนอายุ 17 ปี ขับรถยนต์ยฮอนด้า ซีวิค หมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร ขึ้นบนทางยกระดับโทลล์เวย์ ขาเข้ามุ่งหน้า ถ.ดินแดงด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจำเลยได้กระทำประมาทโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะปกติจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ โดยจำเลยไม่ขับรถในช่องทางซ้าย เมื่อมาถึงบริเวณแยกทางลงบางเขน ช่วงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เปลี่ยนช่องทางไปมา เปลี่ยนช่องทางจากช่องทางขวาสุดเพื่อมาทางซ้ายถัดมา และยังเปลี่ยนกลับไปยังช่องทางขวาอีกครั้ง เป็นเหตุให้รถยนต์ซีวิคของจำเลยพุ่งเข้าชนรถยนต์ตู้โดยสารทะเบียน 13-7795 กรุงเทพ ที่วิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งมีนางนฤมล ปิตาทานัง อายุ 38 ปี เป็นคนขับทำให้รถยนต์ตู้เสียหลักหมุนไปชนขอบกั้นทางโทลล์เวย์ พลิกคว่ำพังเสียหาย คนขับรถตู้โดยสารและผู้โดยสารภายในรถยนต์ตู้กระเด็นออกจากตัวตกจากทางด่วนเสียชีวิตรวม 9 คน และบาดเจ็บสาหัสจำนวนหนึ่ง ส่วนรถยนต์ของจำเลยแฉลบเลยจากรถยนต์ตู้ประมาณ 50 เมตร นอกจากนี้ก่อนเกิดเหตุจำเลยยังได้ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์
โดยมีหลักฐานเป็นรายงานการใช้โทรศัพท์มือถือของจำเลย ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธทั้ง 2 ข้อหา ซึ่งระหว่างพิจารณาคดี จำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราว โดยศาลตีราคาประกัน 100,000 บาท
โดยคดีนี้ศาลเยาวชนฯ เคยนัดฟังคำพิพากษามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.55ที่ผ่านมา แต่ศาลได้มีข้อเสนอแนะให้คู่ความทั้งสองฝ่าย ได้ร่วมประชุมกลุ่มสหวิชาชีพ ที่จะให้ครอบครัวผู้เสียหาย นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ร่วมกันประเมินและหารือเพื่อวางแผนการเยียวยา และบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่ศูนย์ให้คำปรึกษาแนะนำและประสานการประชุมเพื่อแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็ก เยาวชนและครอบครัว ตามพ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวกลาง พ.ศ.2553 มาตรา132 ซึ่งต่อมาได้มีการนัดประชุมกลุ่มครอบครัวเรื่อยมาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. จนกระทั่งวันที่ 30 ก.ค. กลุ่มครอบครัวผู้เสียหาย ได้ประชุมร่วมกับจำเลยและทนายความ ซึ่งได้มีการกล่าวขออภัยกัน โดยฝ่ายญาติผู้เสียหายยังยืนยันที่จะให้ศาลมีคำพิพากษาคดีนี้ จึงได้มีการนัดฟังคำตัดสินในวันที่ 31 ส.ค. 2555
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012