"ประยุทธ์" วอนสื่อระวังนำเสนอข่าวสร้างขัดแย้ง ยันจำเป็นต้องเร่งระบายข้าว เพื่อลดภาระงบประมาณประเทศ แจงใช้ ม.44 ป้องกันการบิดเบือนให้ร้าย ระบุเรียกค่าเสียหายทางแพ่งทำตาม ก.ม. ไม่ได้มุ่งทำลายใคร ติงนักการเมืองอย่ามุ่งเลือกตั้งอย่างเดียว ต้องช่วยคิดแก้ปัญหาชาติด้วย
เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงความคืบหน้าการเตรียมการกิจกรรม "Bike for Dad" ปั่นเพื่อพ่อ ในวันที่ 11 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ว่า จนถึงขณะนี้มีประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติ ทั้งในประเทศและจาก 66 เมืองทั่วโลกได้ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 5 แสนรายแล้ว โดยภาครัฐและทุกภาคส่วนต่างๆ ที่ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ก็ขอให้มีการเตรียมความพร้อมในกิจกรรมที่ตนเองรับผิดชอบ รวมถึงการจัดกิจกรรมคู่ขนานต่างๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีความปลอดภัยตลอดการดำเนินการจากนั้น
พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวถึงการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนว่า ประเทศเรากำลังเดินหน้าไปสู่การปฏิรูป และการเลือกตั้ง จึงอยากให้สื่อระมัดระวังผลกระทบจากการนำเสนอข่าวในแง่มุมอื่นด้วย เพราะหากยังมีการให้ร้าย บิดเบือนข้อมูล สร้างความขัดแย้ง ก็ล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อการบริหารราชการแผ่นดินในขณะนี้ การปรองดองต่างๆ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะเรามัวแต่นำความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นมาขยายความ จึงขอความร่วมมือสื่อมวลชนทุกแขนงช่วยกันเสนอข่าวในทางสร้างสรรค์ เป็นไปตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ในส่วนของรัฐบาล และ คสช.ได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกันหลายครั้งแล้วกับทั้งเจ้าของ บรรณาธิการ และคอลัมนิสต์บางท่าน ซึ่งไม่ได้เป็นการบีบบังคับแต่ประการใด แต่พูดคุยเพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน รัฐบาลเข้าใจดีถึงคำว่าจรรยาบรรณ สิทธิ เสรีภาพ แต่ต้องไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นจนทำให้เขาเกิดความเสียหาย
"เรื่องใดก็ตามที่เป็นเรื่องของการทำความผิดต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ ของข้าราชการก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมไม่ได้ไปห้ามอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าขอให้ระมัดระวังในการเสนอข่าว ถ้ามีความเชื่อมโยงหลายๆ อย่างที่จะเกิดความเสียหาย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวถึงการบริหารจัดการน้ำด้วยว่า สถานการณ์ปัจจุบันทุกคนทราบดีว่าเป็นอย่างไร น้ำในเขื่อน น้ำนอกเขื่อน น้ำฝน น้ำท่า น้อยกว่าปีที่แล้วมาก วันนี้เราต้องมองให้ครบวงจรทุกมิติในเวลาเดียวกันทั้งการอุปโภคบริโภค และการรักษาระบบนิเวศทางธรรมชาติ ก็ขอร้องพี่น้องเกษตรกรเชื่อฟังในคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ หรือภาครัฐ อันจะทำให้เป็นประโยชน์ต่อตัวท่านเอง และก็รักษาสมดุลในภาพรวม ทั้งนี้ คำแนะนำมีมากมายที่จะนำไปสู่การส่งเสริมการปลูกพืชไร่นาสวนผสม พืชที่มีราคาผลผลิตสูง พืชใช้น้ำน้อย รวมถึงการเลี้ยงสัตว์ เสริมในเรื่องของการทำการเกษตรด้วย การขุดบ่อ-สร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อการเกษตรในไร่นา ที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากพี่น้องเกษตรกร ทุกประเภท และทุกคน
"ไม่อยากให้หลงเชื่อคำบิดเบือนของกลุ่มผู้ไม่หวังดี บางทีอาจจะข้อมูลไม่ครบถ้วน ก็อาจจะทำให้สถานการณ์น้ำในประเทศนั้น ทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นอันตรายอย่างที่สุด วันนี้ไม่อาจจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ด้วยวิธีเดิมๆ อีกต่อไป เพราะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทำให้บ้านเมืองไม่เกิดความยั่งยืนขึ้นในอนาคต" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ในส่วนของการระบายข้าวในคลัง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นับเป็นปัญหาอย่างมาก เนื่องจากหากจำหน่ายราคาสูงมาก ก็ไม่มีผู้สนใจ ต่ำไปก็กลายเป็นว่า รัฐบาลขายข้าวราคาต่ำ ขาดทุน แต่ปัญหาสำคัญที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกก็คือ การเก็บรักษาข้าวไว้ในคลังจำนวนมากนั้น มีทั้งคุณภาพดี และที่มีความเสียหาย นับวันก็จะเสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดเป็นภาระด้านงบประมาณอย่างมากในอนาคต ในส่วนการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมนั้น ก็อยากให้เข้าสู่กระบวนการปกติ โดยไม่ไปกล่าวอ้างให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียหายในขณะนี้ เพราะอยู่ในกระบวนการยุติธรรมทั้งสิ้น รัฐบาลก็ทำตามกฎหมายทุกประการ ส่วนการประกาศอำนาจตามมาตรา ม.44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวในเรื่องของระบายข้าว ก็เพื่อป้องกันการบิดเบือนให้ร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีต้องการเร่งระบายข้าวให้เร็วขึ้น ในส่วนของการสอบสวนคดี ในเรื่องของการเรียกร้องค่าเสียหายเพื่อให้เกิดความชัดเจน และสร้างความเชื่อมั่นต่อกระบวนการผลิตและจำหน่ายข้าวของเราในระยะต่อไป
"การเรียกค่าเสียหายต่างๆ ทางแพ่งนั้น รัฐบาลก็ไม่ได้มุ่งหวังจะทำลายนักการเมือง หรือพรรคการเมืองใด เราต้องทำตามกฎหมายที่มีอยู่" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
หัวหน้า คสช.กล่าวต่อไปถึงความคืบหน้ากระบวนการร่างรัฐธรรมนูญโคยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า ทั้งการร่างรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปรัฐบาล และ คสช.มุ่งหวังให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มีความเป็นอยู่ที่ดี อนาคตมีที่ยืนในเวทีโลก ทุกคนจะได้มีความภูมิใจมีศักดิ์ศรี อยากจะขอความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วนให้ร่วมมือกันในการทำให้ประเทศชาติ ตามวิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน สำหรับนักการเมืองและพรรคการเมืองอยากให้เตรียมการปรับเปลี่ยนเตรียมตัวเองเพื่อจะเข้าสู่การเลือกตั้งในอนาคต กรุณาอย่าเพิ่งสร้างความขัดแย้ง ขอให้เอาปัญหาของชาติมาก่อน ขณะที่สถานการณ์ด้านความมั่นคงและการจัดระเบียบ ก็จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อรักษาความมีเสถียรภาพ เราจำเป็นต้องให้เกิดความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุดโดยเร็ว หลายคนก็เข้าใจว่าเรามีอำนาจเด็ดขาด แต่ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน อะไรที่ผิดกฎหมายแล้วได้เงินมากๆ อันนี้คงไม่ได้แล้ว
"ถ้าเรามุ่งหวังแต่เรื่องการเลือกตั้งอย่างเดียว หรือคำนึงถึงการใช้อำนาจแต่เพียงอย่างเดียว ผมว่าไปไม่ได้ ต้องไปต่อในเรื่องของจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีความสุข แล้วก็แก้ปัญหาที่มีมายาวนานทั้งหมดให้ได้ สร้างความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันให้ได้ ก็อย่าเพิ่งมาตำหนิอะไรผมมากนัก ผมก็จำเป็นต้องรักษาความมีเสถียรภาพ ให้นำไปสู่การเลือกตั้งให้ได้เท่านั้นเอง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.)พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีข่าวความไม่โปร่งใสของการก่อสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ว่า ข้อมูลที่มีการนำเสนอในช่วงที่ผ่านมาหลายๆ ข้อมูลอาจยังไม่ได้ผ่านกระบวนการพิสูจน์ที่สมบูรณ์อย่างเป็นทางการจากผู้ปฏิบัติและผู้ที่มีหน้าที่โดยตรง ทำให้หลายๆ ข้อมูล อาจคลาดเคลื่อน จนส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรได้
ทั้งนี้ เมื่อมีข้อกังวลสงสัยขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นโครงการที่ไม่ได้ใช้งบประมาณของแผ่นดินก็ตาม แต่เพื่อให้เกิดความมั่นใจบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง กองทัพบกจึงได้แต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ เพื่อตรวจสอบการดำเนินโครงการอุทยานราชภักดิ์ในทุกด้านอย่างเร่งด่วนแล้ว โดยผู้บังคับบัญชาได้มีการขีดกรอบการทำงานไว้คือ จะพยายามให้แล้วเสร็จภายใน 1 สัปดาห์
“ขอให้เชื่อมั่นว่าการดำเนินการจะอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ที่จะต้องไม่มีการบิดเบือน โดยหากพบว่ามีกำลังพลไปการดำเนินการใดๆ ที่ดูไม่เหมาะสม ทางกองทัพบกจะมีการดำเนินการไปตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน” โฆษกกองทัพบก กล่าว
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า สำหรับ พ.อ.คชาชาติ บุญดี หรือ เสธ.โจ้ นายทหารฝ่ายเสนาธิการกองทัพภาคที่ 3 หลังจากที่มีการแจ้งข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทางต้นสังกัดก็ได้เสนอขอให้มีการปลดออกจากราชการ เนื่องจากตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาฯ และทำการหลบหนี โดยขณะนี้ได้มีคำสั่งจากกระทรวงกลาโหมให้ปลดออกจากราชการแล้ว
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ กรณีที่มีเซียนพระเรียกรับเงินค่าหัวคิวจากโรงหล่อ ว่า ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสอบสวน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนการคืนเงินบริจาคกลับมาแล้วจะถือว่ามีความผิดหรือไม่นั้น ก็ให้สืบสวนกันต่อไป อย่างไรก็ตามไม่จำเป็นต้องเรียก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ และ ประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ และ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ เข้ามาชี้แจงรายละเอียด เนื่องจากทางมูลนิธิฯ ต้องส่งเอกสารมายังกองทัพบก เพื่อตรวจสอบความชัดเจน
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้สั่งริบทรัพย์ "สุพจน์ ทรัพย์ล้อม" เอาส่วนที่หักออกมาทบ แล้วจึงให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน เหตุมีทรัพย์ที่ไม่สามารถชี้แจงที่มาได้...
เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2558 ที่ศาลแพ่ง ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีริบทรัพย์ ที่อัยการสูงสุด ได้ยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ที่โดนคนร้ายปล้นบ้านเป็นข่าวช่วงน้ำท่วมปี 54 ว่าได้เงินไปถึง 200 ล้านบาท นางนฤมล หรือเพ็ญพิมล ทรัพย์ล้อม ภรรยา น.ส.สุทธิวรรณ ทรัพย์ล้อม บุตรสาว น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม หรือปราบใหญ่ บุตรสาว นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ บุตรเขย และผู้ใกล้ชิดรวม 7 ราย ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 และมาตรา 80 (2) ซึ่งทรัพย์สินมีทั้งสิ้น 19 รายการ ประกอบด้วย เงินสด 17,553,000 บาท ซึ่งเป็นของกลางในคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ 2458/2544 ของ สน.วังทองหลาง, เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ต่างๆ 9 บัญชี, ทองคำรูปพรรณ น้ำหนัก 10 บาท มูลค่า 260,000 บาท ซึ่งเป็นของกลางในคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ 2458/2544 ของ สน.วังทองหลาง, โฉนดที่ดินในกทม. พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และใน จ.นครนายก รวม 6 แปลง, ห้องชุดคอนโดมิเนียม ใน กทม. มูลค่า 1.5 ล้านบาท และรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น E 230 และรุ่น C 220 มูลค่า 5.2 ล้านบาท โดยการยื่นคำร้องดังกล่าว
สืบเนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของนายสุพจน์ หลังจากเกิดเหตุคนร้ายบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ ในซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พ.ย.54 ซึ่งผู้ต้องหาที่ร่วมทำผิดคดีอาญานั้น ได้ให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่า พบเงินสดในบ้านนายสุพจน์ นับร้อยล้าน ซึ่งนายสุพจน์ไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินต่างๆได้ จึงชี้มูลความผิดว่า นายสุพจน์มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ โดยนายสุพจน์ได้ยื่นคัดค้านคำร้อง อ้างว่า ทรัพย์สินนั้นผู้คัดค้านได้มีมาแต่เดิม และได้มากว่า 10 ปี การขอให้ทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดินเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ทำให้ผู้คัดค้านได้รับความเสียหาย ซึ่งผู้คัดค้านเคยยื่นบัญชีแสดงต่อคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.ไปแล้ว ป.ป.ช.ไม่แสดงความเห็นคัดค้านแต่อย่างใด โดยก่อนนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า ข้อกล่าวอ้างของนายสุพจน์ เลื่อนลอย รวมทั้งการโต้แย้งและคัดค้านของนายสุพจน์ไม่อาจจะนำมารับฟังได้ เช่น การอ้างว่า เข้ารับราชการตั้งแต่ พ.ศ.2520 จนกระทั่งถึงวันยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2545 มาคิดคำนวณแล้วจะเป็นเงินประมาณ 5,000,000 บาทเศษ ก็น่าเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะเหตุใดนายสุพจน์ จึงมีทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วจะมีทรัพย์สินรวมกันจนถึงวันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติว่า ร่ำรวยผิดปกติเมื่อปี พ.ศ.2545 มีมูลค่าสูงถึงที่ศาลนำมาวินิจฉัยจำนวน 46 ล้านบาทเศษ ศาลจึงพิพากษาให้ทรัพย์สินตามคำร้องของอัยการสูงสุด 19 รายการ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 46,141,038 .83 บาท ของนายสุพจน์ และที่มีชื่อของภรรยา, บุตรสาว และบุตรเขยของนายสุพจน์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นนั้น ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 โดยให้นายสุพจน์ส่งมอบทรัพย์สินต่อกระทรวงการคลัง จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ เห็นว่าทรัพย์ตามคำร้องได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ และเกิดจากความร่ำรวยผิดปกติ จึงต้องสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทรัพย์สินรวม 46,141,038.83 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน โดยนำบัญชีเงินฝาก 3 บัญชี ที่ปิดแล้วจำนวน 15,857,548.69 บาท หักออกจากมูลค่าทรัพย์สิน ที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย เมื่อฟังได้ว่านายสุพจน์ ผู้คัดค้านที่ 1 ร่ำรวยผิดปกติ แม้ภายหลังมีการปิดบัญชีดังกล่าวแล้ว ก็ต้องนำเงิน 15,857,548.69 บาท มารวมอยู่กับทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติด้วย
ส่วนรถยนต์ยี่ห้อ โฟล์คสวาเก้น มูลค่า 3 ล้านบาท แม้ไม่มีชื่อของนายสุพจน์เป็นเจ้าของ แต่ฟังได้ว่ามีการมอบรถให้นายสุพจน์ใช้อย่างถาวร จึงเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ เมื่อนำทรัพย์สินดังกล่าวกับมูลค่าทรัพย์สินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จะรวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้รถยนต์ยี่ห้อ โฟล์ค ราคา 3 ล้านบาท รวมกับทรัพย์สินอื่นตามคำสั่งศาลชั้นต้น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ภายหลังนายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความของนายสุพจน์ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้มีการพิจารณาเพิ่มทรัพย์สินให้ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งขณะนี้ได้ขอคัดค้านคำพิพากษาฉบับเต็ม เพื่อตรวจดูรายละเอียดที่จะพิจารณาประเด็นยื่นฎีกาต่อสู้ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ป.ป.ช.ได้มีมติเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 24 ก.ค.55 ว่านายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินซึ่งไม่สามารถชี้แจงที่มาได้จำนวน 64,998,587.52 บาท จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน.
เมื่อ 13 พ.ย. ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ นักแสดงสาวชื่อดัง มาร่วมงาน The King & Queen of Filorga Filorga Clinic ได้ปฏิเสธเรื่องคลิปหลุดสุดสยิวที่มีคนไปแอบอ้างว่าเป็นดาราสาวคนดัง
โดยเจนี่เผยว่า "ไม่ใช่แน่นอนค่ะ"
ส่วนตัวมีโอกาสได้เห็นคลิปที่ว่าบ้างหรือยัง
ในส่วนของแฟนคลับเขาก็ออกมาปกป้องเราว่าไม่ใช่เราแน่นอน
"ไม่ใช่ค่ะ"
เจนี่มีอะไรอยากจะบอกกับทางแฟนคลับบ้างไหม
"จริงๆ เจนี่มองว่าเรื่องนี้มันเป็นอะไรที่ไร้สาระนะคะ"
ภาพจากคลิปหลุดที่มีการแชร์ว่อนเน็ต
คิดไหมว่าคนที่เขาข่าวปล่อยออกมา เขาตั้งใจที่จะดิสเครดิตเราหรือเปล่า
"เจนี่ถือว่าเป็นเรื่องของเขาค่ะ ยังไงคนดูก็รู้อยู่แล้ว"
เหมือนช่วงนี้ศิลปินดาราจะโดนกระแสลักษณะนี้บ่อย
"มันก็เป็นปกตินะ ที่ต้องเจอเรื่องอะไรพวกนี้ เจนี่ก็ถือซะว่าทุกคนก็โดนกันถ้วนหน้าค่ะ (หัวเราะ)"
เราตั้งใจจะฟ้องไหมเพราะมันก็ทำให้คนเข้าใจผิด
"ไม่หรอกค่ะ"
ล่าสุดเห็นว่าเราเพิ่งจะไปสักยันต์มาด้วย
"เจนี่ขอไม่พูดถึงนะคะ ขอไม่พูดถึงเลย โอเคนะ"
สำหรับรอยสักนี้เราตั้งใจให้มันเป็นเรื่องของงานหรือความสวยความงาม
"ขออนุญาตที่จะไม่ตอบนะ (หัวเราะ)"
วันเกิดของกึ้งที่ผ่านมา หลายคนเห็นว่ามีแค่นานาไปร่วมงานคนเดียว ก็เลยมีข่าวลือว่าแก๊งนางฟ้าคนอื่นไม่ชอบกึ้งหรือเปล่า
"ไม่เกี่ยวค่ะ เจนี่ขอไม่พูดเรื่องนี้แล้วกัน เพราะเจนี่เพิ่งจะพูดไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอง"
กูเกิลได้โพสต์รูปภาพมอเตอร์ไซค์ตำรวจกำลังเรียกตรวจรถขับเคลื่อนอัตโนมัติของกูเกิลในวันพฤหัสบดี (12 พ.ย.) เนื่องจากเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ดูจะระมัดระวังเกินไป
“ช้าเกินไปเหรอ?” ทีมงานรถขับเคลื่อนอัตโนมัติของกูเกิลระบุในข้อความที่โพสต์คู่กับรูปดังกล่าวในหน้าเพจของตนบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก “กูเกิลพลัส”
“พนันได้เลยว่าคนทั่วไปคงไม่เจอเรียกตรวจเพราะสาเหตุนี้บ่อยนัก”
ตำรวจในซิลิคอนวัลเลย์ เมืองที่มีทิวทัศน์เห็นภูเขาและเป็นบ้านของกูเกิล ได้อธิบายผ่านข้อความออนไลน์ว่า เจ้าหน้าที่พบเห็นรถติดยาวเหยียดด้านหลังของรถขับเคลื่อนอัตโนมัติที่แล่นด้วยความเร็ว 24 ไมล์ต่อชั่วโมง บนถนนที่มีการจำกัดความเร็วไว้ที่ 35 ไมล์ต่อชั่วโมง
“ตอนเจ้าหน้าที่ไปถึงรถคันที่แล่นช้า เขาก็ได้รู้ว่ามันเป็นรถขับเคลื่อนอัตโนมัติของกูเกิล ในกรณีนี้ ถือว่ารถคันดังกล่าวสามารถใช้เดินทางบนถนนเส้นนั้นได้ตามกฎหมาย” กรมตำรวจระบุ
ทั้งนี้ กฎหมายของแคลิฟอร์เนีย ยอมให้รถขับเคลื่อนอัตโนมัติสามารถใช้งานบนถนนที่มีการจำกัดความเร็วไว้ที่ 35 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือต่ำกว่า
ตำรวจระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่ผู้เรียกตรวจนั้นได้คุยกับเจ้าของรถเรื่องที่เขาทำให้การจราจรติดขัด
กูเกิลได้จำกัดความเร็วสูงสุดของรถขับเคลื่อนอัตโนมัติไว้ที่ 25 ไมล์ต่อชั่วโมง ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย
“เราต้องการให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรและเข้าถึงได้ แทนที่จะเป็นรถที่วิ่งเร็วจนน่ากลัวตามท้องถนนในย่านที่อยู่
“หลังจากขับขี่แบบอัตโนมัติเป็นระยะทาง 1.2 ล้านไมล์ (ซึ่งเทียบเท่ากับการขับรถนาน 90 ปีของมนุษย์) เราภูมิใจที่จะบอกว่าเราไม่เคยโดนใบสั่งเลย!” กูเกิลระบุ
กลุ่มคนร้ายบุกโจมตีอย่างน้อย 4 จุด ทั้งในและรอบนอกกรุงปารีส เมืองหลวงฝรั่งเศส เมื่อคืนวันศุกร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 40 ศพ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 13 พ.ย. ว่า เกิดเหตุกลุ่มคนร้ายพร้อมอาวุธครบมือ รวมถึงคาลาชนิคอฟ หรือ ปืนกลมืออาก้า และระเมิดมือ บุกโจมตีสถานที่อย่างน้อย 4 จุด ทั้งในและชานกรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส เมื่อคืนวันศุกร์ และเกิดการยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคง เสียงดังลั่นสนั่นเมือง
รายงานเบื้องต้นระบุ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 40 ศพ ได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน รายงานระบุ จุดแรกคนร้ายบุกโจมตีบาร์แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในเขต 11 ของปารีส พยานเผยได้ยินเสียงปืนดังรัว และเสียงระเบิด ตำรวจสั่งปิดพื้นที่ห้ามผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าเขต และอพยพประชาชนออกจากบาร์และร้านอาหารทั้งหมด ที่อยู่ในพื้นที่เขต 10 และเขต 11 ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจยอดนิยม ของกลุ่มคนหนุ่มสาวและนักท่องเที่ยว
จุดที่ 2 คนร้ายบุกโจมตีโรงละครบัตตากล็อง ในเขต 11 ขณะรายงานกลุ่มคนร้ายควบคุมตัวประกันในโรงละครประมาณ 100 คน และเจ้าหน้าที่กระจายกำลังรายล้อมอยู่ด้านนอก
การโจมตีจุดที่ 3 และ 4 อยู่ใกล้สนามสต๊าด เดอ ฟรองซ์ ในย่านแซงต์ เดอ นีส์ ชานกรุงปารีส ซึ่งกำลังมีการแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตร ระหว่างทีมชาติฝรั่งเศสเจ้าบ้าน กับทีมชาติเยอรมนี ที่ไปเยือน และประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศส เข้าชมการแข่งขันด้วย โดย 2 จุดนี้มีเสียงปืนและเสียงระเบิดดังสนั่นเป็นระยะ หลังเกิดเหตุออลลองด์รีบออกจากสนาม ตรงไปที่กระทรวงมหาดไทย เพื่อบัญชาการเจ้าหน้าที่ในการรับมือกับสถานการณ์ เจ้าหน้าที่กล่าวว่า รายงานเบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์อย่างน้อย 40 ศพ บาดเจ็บอีกหลายสิบคน แต่ยังไม่แน่ชัดว่าผู้เสียชีวิตเป็นประชาชน คนร้าย หรือเจ้าหน้าที่กี่คน และยังไม่ทราบที่มาที่ไปของกลุ่มผู้ลงมือ รวมทั้งเหตุจูงใจ. “