ข่าว
ภาค9ชี้2มือบึ้มตามภาพวงจรปิด ทหารเคลียร์ซากรถในลีการ์เด้นส์

วันที่ 6 เม.ย. ความคืบหน้าการสอบสวนเหตุลอบวางระเบิดโรงแรมลีการ์เด้นส์ พลาซ่า อ.หาดใหญ่ หลังจากเจ้าหน้าที่ได้มีการออกหมายจับสองผู้ต้องตามภาพที่กล้องวงจรปิด บันทึกภาพไปแล้ว ล่าสุดเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 9 และตำรวจภูธร จ.สงขลา ได้นำภาพนายเสรี แวมามุ อายุ 26 ปี อยู่ ม.6 ต.ปากบาง อ.เทพา จ.สงขลา และ นายรุสลัน ใบมะ อายุ 31 ปี อยู่ม.6 ต.บ้านนา อ.จะนะ จ.สงขลา มาตรวจสอบและมั่นใจว่าเป็น 2 ผู้ต้องหาตามภาพจากกล้องวงจรปิดและกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการจับกุมตามหมายจับที่ได้ออกไปแล้ว โดยทั้งสองคนอยู่ในเครือข่ายเดียวกันกับนายเจะหมะ วานิ หรือมาค่อม หรือไคโร แกนนำแนวร่วมในจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นผู้สั่งการในการก่อเหตุครั้งนี้

ส่วนผู้ต้องสงสัยที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวได้เมื่อวันที่ 5 เม.ย. และนำตัวไปสอบสวนยังเซฟเฮ้าส์ พบว่าเป็นผู้ต้องหาก่อเหตุขับรถพื้นที่ อ.จะนะ ขณะนี้ได้ถูกส่งตัวไปสอบสวนที่ค่ายสิรินธร จ.ปัตตานี เนื่องจากพบว่า มีประวัติเกี่ยวข้องกับความมั่นคง

พล.ต.ต.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้เรียกประชุมหัวหน้าสถานีตำรวจทุกอำเภอในพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อวางมาตรการรักษาความปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์โดยจะมีการส่งหน่วย ปฏิบัติการพิเศษเข้ามาเสริมกำลังกับตำรวจ ทหาร อส.อีก 1 กองร้อย ระดมกำลังทหารเร่งเคลียร์ซากรถยนต์ลานจอดชั้นใต้ดินโรงแรมลีการ์เดนส์พลาซ่า เป็นซากรถที่ได้รับความเสียหายจากคาร์บอมบ์ลานจอดรถชั้นในดินโรงแรมลีการ์เดนส์ พลาซ่า หาดใหญ่

ล่าสุดทาง พ.อ.ปกรณ์ จันทรโชตะ รอง เสธ.มบท.42 ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ทหารจาก มทบ. 42 และทหารช่าง กว่า 60 นาย มาช่วยกันนำรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายที่อยู่ภายในลานจอดรถชั้นใต้ดินทุกชั้นของโรงแรมลีการ์เดนส์ พล่าซ่า ขึ้นมาเพื่อทำการตรวจสอบก่อนส่งมอบให้เจ้าของรถมาแสดงเอกสารรับไป ซึ่งในวันนี้จะมีการดำเนินการนำซากรถขึ้นมาจากลานจอดรถชั้นใต้ดินให้หมด เพื่อทำการเคลียร์พื้นที่

โดยมีบรรดาเจ้าของรถยนต์ทั้งชาวไทยและมาเลเซียจำนวนมาก ส่วนใหญ่ได้เตรียมเอกสารของรถยนต์มาแสดงกับทางเจ้าหน้าที่ เพื่อขอรับรถยนต์กลับไปซ่อมแซม ซึ่งเจ้าของรถบางราย ได้ช่างมาด้วย เพื่อทำการซ่อมแซมในเบื้องต้นให้รถยนต์สามารถขับขี่ออกไปได้ โดยเจ้าของรถยนต์ชาวมาเลเซียบางราย ได้ขอรับรถ

ส่วนรถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย และไม่มีเจ้าของมาแสดงเอกสารเพื่อขอรับรถยนต์ ทางเจ้าหน้าที่จะนำรถยนต์ดังกล่าว ขึ้นรถบรรทุก เพื่อนำไปจอดเอาไว้ ที่ค่ายเสนาณรงค์ ไว้เป็นการชั่วคราว เพื่อรอทางเจ้าของรถยนต์นำเอกสารมาแสดงและขอรับรถยนต์กลับไป


ททท. เตรียมจัด "Miracle Year" รับนักท่องเที่ยวสู่ประเทศไทย

งานโปรโมทการท่องเที่ยวประเทศไทยของ ททท. มีผลตรงความคาดหมาย จากการแถลงข่าวร่วมกันของนายอักกพล พฤษะวัน ที่ปรึกษาระดับ 11 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นางจุรีรัตน์ คงตระกูล ผู้อำนวยการภูมิภาคอเมริกา และนายชาญชัย ดวงจิตต์ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานลอสแอนเจลิส ซึ่งได้ร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับการจัดงาน Thailand Tourism Update 2012 หลังจากที่ได้มีการเปิดการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไทย ซึ่งมีการนัดหมายที่ Starlite Room Castaway เมืองเบอร์แบงค์ แคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา โดยให้ชื่องานว่า "Thailand As Amazing As You Remember" ในงานนี้มีบุคคลในวงการท่องเที่ยวชาวอเมริกัน ผู้แทนจากสมาคม ชมรม กลุ่มชาวไทย มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก

โดยเนื้อหาสาระเป็นที่น่าสนใจ ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้ประสบวิกฤตการณ์ร้ายแรง หลายต่อหลายเรื่อง เนื่องจากมีอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงปลายปี 2554 การได้รับข่าวสารเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังตัวจากการก่อการร้ายของกลุ่มก่อการร้ายที่เป็นที่น่าสงสัยว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาในประเทศไทย ดังนั้นข้อมูลข่าวสารอันเป็นไปในทางลบก็จะมีผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศไทยในระยะหนึ่ง ดังนั้นตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา คณะของ ททท. ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ร่วมกันหามาตรการหลายอย่างเพื่อดำเนินการเสริมสร้างความพร้อมที่จะรับรองนักท่องเที่ยว โดยมีการฟื้นฟูบูรณะแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและสถานที่ที่สวยงาม มีการเชิญสื่อมวลชนจากทั่วโลก เดินทางไปทัศนศึกษา สำรวจพื้นที่ประเทศไทยในช่วงเดือนธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา โดยเชิญชวนร่วมงานประเพณีสำคัญๆ ในช่วงเวลาต่างๆ ของปีเพื่อแสดงให้เห็นความพร้อมที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยว สร้างความมั่นใจในความปลอดภัย ในส่วนตลาดนักท่องเที่ยวจากประเทศสหรัฐอเมริกา ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวที่เดินทางออกไปในต่างประเทศ ประมาณ 63-65 ล้านคน โดยมีอัตราเพิ่มเฉลี่ยปีละ 3-5% และมีการเดินทางไปแถบยุโรปประมาณ 14-15 ล้านคน และประเทศแถบแคริเบี้ยนเป็นลำดับ และประเทศแถบเอเชีย เป็นลำดับ 3 ประมาณ 6.5 ล้านคน และนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกาที่เดินทางไปแถบภูมิภาคเอเชียประมาณปีละ 6.5 ล้านคน นั้นมีการกระจายตัวไปในภูมิภาคต่างๆ ดังนี้ จีน 2.120 ล้านคน ฮ่องกง 1.212 ล้านคน ไทย 0.681 ล้านคน และเวียดนาม 0.440 ล้านคน อย่างไรก็ดีตามภูมิประเทศของประเทศไทยเราก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม มหัศจรรย์ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายภูมิภาคในโลกเป็นที่รู้จักกันดีทั่วไปอยู่แล้ว และก็เป็นที่คาดหมายว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มดีขึ้นในปีนี้และปีต่อไป ดังนั้นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้มีการเตรียมโปรโมทให้เป็นปี Miracle Year Amazing Thailand 2012 ซึ่งประเทศไทยมีพื้นฐานมรดกแห่งวัฒนธรรม ความงดงามทางธรรมชาติ ทั้งในภาคเหนือ ใต้ ตะวันออก มีองค์พระประมุข พระบรมราชินีนาถ และพระบรมราชวงศ์ เป็นที่รู้จักทั่วโลก ในพระอัจฉริยะ พระปรีชาสามารถ และทรงพระกรุณาธิคุณ ชาวไทยที่อยู่ในต่างถิ่นต่างก็หวังและปรารถนาให้การดำเนินงานในทุกนโยบายเพื่อการโปรโมทการท่องเที่ยวในประเทศไทยบรรลุตรงตามเป้าหมายและประสบผลสำเร็จด้วยดีทุกประการ เพื่อให้เมืองไทยเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวดังเช่นความตั้งใจของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

“เทือกเทือก- จตุพร” ดวลเดือดกลางสภา

สภาเดือดถกผลวิจัย ปรองดองประชาธิปัตย์-เพื่อไทยงัดข้อประท้วงกันวุ่นต้องสั่งพักการประชุม "เทพเทือก" ร่ายยาวขอให้ขยายเวลาศึกษาแนวทางปรองดอง เรียกร้อง "บิ๊กบัง" ให้โอกาสคนไทย ซัดน่วมทักษิณพร้อมสมุนบริวารเสื้อแดงทำให้เกิดปัญหา อ้างอยากปกครองแบบประธานาธิบดี สร้างรัฐไทยใหม่ "จตุพร" ลุกขึ้นซดกลับทันควันไม่มีทักษิณก็แตกแยกอยู่ดี เพราะประชาธิปัตย์ตั้งนายกฯ ในค่ายทหารทั้งๆ ที่ไม่ชนะเลือกตั้ง จนมีประชาชนออกมาเรียกร้องให้ยุบสภา แต่กลับถูกปราบปรามจนบาดเจ็บ-ล้มตาย

เวลา 15.20 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า สถาบันพระปกเกล้าเสนอว่าอย่ารีบร้อน และอย่าเอารายงานส่งไปให้รัฐบาลดำเนินการออก พ.ร.ก.หรือพ.ร.บ.นิรโทษกรรมทันที เพราะจะ นำไปสู่สงครามความขัดแย้ง ความปรองดองไม่เกิด พร้อมเสนอให้กมธ.รับงานไปทำต่อ แต่ถ้าประธานไม่อยากทำก็ได้ เพราะเห็นว่าทำมานานแล้วหมดท่าแล้ว ตั้งแต่ทำงานมาจากพล.อ.สนธิ วันนี้เหลือราคาน้อยว่าพลทหารแล้ว

นายสุเทพกล่าวว่า กมธ.ปรองดองควรเสนอรัฐบาลด้วยว่าขอให้ทุกองค์กร สถาบันการศึกษา เปิดเวทีการเมืองภาคพลเมือง ขณะที่พรรคการเมืองทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ไปเดินสายจัดเวทีรับฟังแนวทางการสร้างความปรองดองจากประชาชน ไปซักซ้อมทำความเข้าใจให้ชัด หากชัดเจนกันทั้งประเทศก็ทำประชามติว่าเอาหรือไม่เอาวิธีนี้ จะแถมยกร่างกฎหมายนิรโทษกรรมไปโชว์กับประชาชนก็ยังได้ ถ้าทำแบบนี้เกิดความสงบสุขในบ้านเมืองแน่นอน แต่ถ้าไม่ทำเกิดสงครามกลางเมืองแน่นอนเช่นกัน จะมีหลายคนตามเจ้านายไปอยู่ต่างประเทศหากเป็นผู้แพ้ หรือพวกตนจะได้ถูกจับเข้าไปอบรมสัมมนาและให้ออกไปทำนา เหตุร้ายเกิดแน่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่คุ้มกับสภานี้จะต้องอนุญาตหรือรับทราบสิ่งที่กมธ.เสนอมา

นายสุเทพกล่าวว่า ทันทีที่พูดเรื่องปรองดองประชาชนตั้งคำถามดังนี้ 1.เป็นการปรองดองระหว่างใครกับใคร 2.คู่กรณีที่จะให้ปรองดองกันนั้นไม่พอใจเพราะอะไร อาฆาตด้วยอะไร และ 3.การบรรลุความปรองดองอย่างที่ตั้งเป้าไว้ไม่ได้มาฟรีๆ ต้องลงทุน ต้องเสียสละ คำถามมีว่าแต่ละฝ่ายเสียสละอะไรบ้าง ประเทศจะต้องขาดดุลอะไรบ้างเพื่อให้เกิดความปรองดองคราวนี้ ถ้าประชาชนคิดว่าคุ้มผลประชามติออกมาก็จะท่วมท้น ถ้าไม่คุ้มก็ต้องจบเพราะประชาชนไม่เอา มีวิธีการนี้เท่านั้นที่จะทำให้กระบวนการปรองดองเป็นจริงขึ้นได้

นายสุเทพกล่าวว่า ต้องบอกเหตุบอกผลด้วยว่าถ้าจะปรองดองกันต้องยอมอะไรกับพ.ต.ท. ทักษิณบ้าง ต้องบอกกับประชาชน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ และระบอบทักษิณ ญาติพี่น้อง รวมไปถึงสมุนบริวารมีอีกจำนวนมาก ทั้งกองกำลังติดอาวุธหรือที่เรียกกันว่าแก้ว 3 ประการ พรรคการเมือง และมวลชนจัดตั้ง เขาบาดเจ็บล้มตาย โกรธเรื่องอะไร ต้องพูดถึงคนกลุ่มนี้ด้วย มองว่าความขัดแย้งในบ้านเมือง มี 2 หมวด คือความขัดแย้งมาจากอุดมการณ์และแนวความคิดทางการเมืองของระบอบทักษิณและคนเสื้อแดง แตกต่างจากอุดมการณ์และความคิดทางการเมืองของกลุ่มคนที่เหลือทั้งหมด

นายสุเทพกล่าวว่า แนวความคิดทางการเมืองฝ่ายนี้คิดจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองการเมืองของไทย สถาปนารัฐไทใหม่ เลยเถิดไปถึงระบอบประธานาธิบดีและให้มีพรรคการเมืองพรรคเดียว คือพรรคเสื้อแดง ตนอยากเห็นความปรองดองเหมือนกับคนไทยทั้งประเทศเพราะได้รบกับเสื้อแดงและเสื้อดำมาจนเบื่อแล้ว แต่การปรองดองต้องให้ชัดว่าปรองดองกับใครบ้าง และใครต้องเสียสละอะไรบ้าง แต่อยู่ๆ พล.อ.สนธิ จะมาประกาศให้ปรองดองคงจะไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่คมช. ถ้าอย่างนั้นต้องกลับไปสวมเครื่องแบบแล้วยึดอำนาจใหม่

นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องรัฐไทยใหม่ไม่ใช่ตนพูดขึ้นเอง ตนเป็นรองนายกฯ มีการข่าว นาย สุเทพชูเอกสารที่มีข้อความ "รัฐไทยใหม่ ทักษิณ จงเจริญ" "ชัยชนะแดงทั้งแผ่นดิน" "ประธานา ธิบดี ทักษิณ ชินวัตร รัฐไทยใหม่" "3 ปีต้านอมาตยา สถาปนารัฐไทยใหม่" เป็นต้น ซึ่งเป็นป้ายข้อความของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้ระหว่างการชุมนุมทางการเมือง

การอภิปรายของนาย สุเทพเกิดความวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก ส.ส. ทั้งจากพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ต่างลุกขึ้นประท้วง จนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นมาไกล่เกลี่ยว่าการอภิปรายของนายสุเทพจะไม่มี ส.ส.เพื่อไทยประท้วง แต่ถ้าตนอภิปรายก็ขอให้ส.ส.ประชาธิปัตย์ไม่ประท้วงด้วย แต่บรรยา กาศในที่ประชุมยังคงคุกรุ่น จนนายเจริญ จรรย์โกมล ประธานในที่ประชุมสั่งพักการประชุมในเวลา 16.20 น. นาน 5 นาที

หลังพักการประชุม 7 นาที นายสมศักดิ์ขึ้นทำหน้าที่ประธาน กล่าวว่า อยากคุยและเปิดใจกับนายสุเทพ ในฐานะพี่ เพราะการถกเรื่องปรองดองในสภา ตนอยากเห็นบรรยากาศปรองดองจริงๆ ถ้าหยิบยกรื้อฟื้นความหลังมากล่าวจะกลายเป็นการชวนกันทะเลาะ ในเมื่อยืนยันจำเป็นต้องพูดตนก็จะถือเป็นการอนุโลม เพราะส่วนตัวตนไม่เห็นด้วยที่เอาข้อเท็จจริงที่ยังไม่สรุปมากล่าว เพื่อให้ฝั่งตรงข้ามเสียหาย ก็จะเกิดความวุ่นวาย จะทำให้การประชุมไม่สามารถถดำเนินการได้ แต่ครั้งนี้จะใช้หลักการอนุโลมให้ได้อภิปรายเต็มที่ และเห็นด้วยกับนายจตุพร ที่ลุกมาหารือ ถือเป็นสัญญาสุภาพบุรุษ แต่ห้ามใช้คำหยาบ จริงเท็จอย่างไรให้ประชาชนตัด สินเอง ขอให้ทุกคนยึดกติการ้อยเปอร์เซ็นต์ ประธานวินิจฉัยขอให้เป็นเด็ดขาดที่สิ้นสุด เหมือนกรรมการให้ใบแดงต้องออกอย่างเดียว

จากนั้น นายสมศักดิ์เปิดโอกาสให้ส.ส.ฝ่ายค้านรัฐบาลหารือหาทางออกของการอภิปราย โดยที่นายสุเทพยืนยันเคารพกฎเกณฑ์กติกา ทำตามระเบียบการประชุม ไม่พูดจาใส่ร้ายโกหก หยาบคายไม่ทำ นายจตุพรก็ลุกขึ้นย้ำขอให้นายสุเทพ อภิปรายได้อย่างเต็มที่ ฝ่ายรัฐบาลจะไม่มีใครยกมือประท้วง เมื่อตนอภิปรายก็ห้ามไม่ให้ประท้วงด้วย

นายสุเทพชี้แจงทันทีว่า เราเป็นส.ส. ใครทำผิดก็ต้องลุกขึ้นประท้วง เราไม่มีสิทธิไม่ชอบ ตนจริงใจที่จะปรองดองแต่ต้องการให้คนทั้งประเทศเห็นด้วย จะให้ตนไปปรองดองกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นายจตุพร ตนไม่ปรองดองด้วยแน่ ที่นี้ไม่ใช่ข้างถนนหรือราชดำเนิน ตรงนี้รัฐสภา จะขอให้เวลาอภิปรายในเหตุผล

นายจุรินทร์หารือว่า ปัญหาอุปสรรคที่มีคือประธานยึดข้อบังคับถูกเพียงครึ่งเดียว ประธานมีหน้าที่สองหลักใหญ่ 1.ยึดข้อบังคับ และเปิดโอกาสให้สมาชิกประท้วงได้เต็มที่ 2.ประธานต้องยึดหลักรัฐธรรมนูญ ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลางจึงจะได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายและเดินหน้าได้ ขณะที่นายสมศักดิ์ชี้แจงว่า ตนยึดหน้าที่ 2 หลักโดยตลอด แม้กระทั่งนาเจริญ ต้องยึดคำตัดสินของประธาน ถ้าไม่ยึดมันเดินไม่ได้ ตนยอมให้สมาชิกด่าเพราะตนไม่เคยเข้าประชุมพรรค ต้องการรักษาเกียรติศักดิ์สถาบันหนึ่งในสามอำนาจ

เวลา 17.14 น. นายสุเทพอภิปรายต่อว่า ตนมีจิตใจอยากปรองดอง ถ้าปรองดองได้อยากให้ความร่วมมือ สถาบันพระปกเกล้าทำแถลง การณ์เสนอกมธ.ชุดนี้เสนอสภา ขอเพียงให้รับทราบและขยายเวลาอนุกมธ.ออกไปเพื่อนำรายงานไปพูดคุยหาทางออกร่วมกับพรรคการ เมือง ประชาชนทั่วประเทศ ตนเห็นด้วยกับสถาบันพระปกเกล้า 1.ต้องชัดเจนว่าปรองดองระหว่างใครกับใคร คู่กรณีต้องให้ชัด 2.ต้องให้ชัดเจนคู่กรณีโกรธกันเรื่องอะไร 3.บอกให้ประชาชนเข้าใจ ทุกฝ่ายต้องเสียสละ บอกให้ชัดใครได้ประโยชน์ เสียประโยชน์ ซึ่งคู่กรณีปรากฏในรายงานว่าพ.ต.ท.ทักษิณเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดแก้ว 3 ประการ พรรคการเมือง มวล ชน กองกำลัง

นายสุเทพกล่าวว่า สาเหตุความขัดแย้งถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม 1.อุดมการณ์ความคิดทางการเมืองที่ไม่เหมือนกัน 2.พฤติกรรมของคนที่ทำผิดกฎหมายที่เป็นเหตุให้คนอื่นโกรธเคือง พยายามเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นรัฐไทยใหม่ มีประธานาธิบดีปกครองประเทศ มีหมู่บ้านเสื้อแดง สาเหตุเพราะพ.ต.ท.ทักษิณ โดนคำพิพากษา 2 ปี ไม่ปรารถนาจะติดคุกจึงหนีไปต่างประเทศ พร้อมสมุนบริวารโกรธศาล กล่าวหาตัดสินไม่เป็นธรรม สองมาตรฐาน แต่ประชาชนคนอื่นบอกว่ามีเหตุผล จึงเป็นสาเหตุของความ ขัดแย้งที่จะต้องคลี่คลาย ในคำพิพากษาพ.ต.ท. ทักษิณ ปฏิบัติหน้าที่และใช้สถานะนายกฯ เอื้อประโยชน์ให้บริษัทชินคอร์ป ทำให้ร่ำรวย ถ้า ปรองดองกันเราต้องปรับเรื่องนี้กันก่อน

นายสุเทพกกล่าวว่า อยากให้พล.อ.สนธิให้โอกาสประเทศไทย คนไทย ลุกขึ้นเสนอให้ขยายระเวลาการทำงานของคณะกมธ.ว่า ถ้าสังคมเข้าใจกันและมีความไม่ปรองดองกัน มีกฎหมาย บอกให้สถาบันพระปกเกล้าที่เสนอกลับไปทำรายงาน ทำประชามติ ตนจะยกมือให้ แต่ถ้าไม่ทำตนสู้แน่นอนและจะเดินสายให้ประชาชนลุกขึ้นมาสู้ กมธ.โปรดรับฟังความคิดเห็น พร้อมย้ำให้ทุกองค์กร สถาบันการศึกษา เปิดเวทีการเมืองภาคพลเมือง เพื่อไท

จากนั้น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทุกคนอยากเห็นความสามัคคี ใช้ความอดทนและความเข้าใจ แต่นับตั้งแต่เราถูกยึดอำนาจย่อมแสดงความไม่พอใจพล.อ.สนธิได้ แผนบันได 4 ขั้นตั้งแต่ยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ จนได้นายกฯในค่ายทหาร เห็นแล้วว่าแต่ละคนสภาพอย่างไร ไม่มีพ.ต.ท. ทักษิณ ประเทศก็แตกแยกอยู่ดี

นายจตุพรกล่าวว่า ความเห็นที่สถาบันพระปกเกล้าเสนอให้คตส.ยังคงอยู่ ตนไม่ขัดข้องการดำรงอยู่ของคตส. แต่ขอเสนอกมธ.ปรองดอง ให้ตั้งคตส.ตรวจสอบนายกฯ ทุกคนที่ผ่านมา รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ โดยเลือกคนที่เป็นปฏิปักษ์กับนายกฯ คนนั้นๆ มาเป็นคตส. นายกฯ 28 คนที่ผ่านมา มีนายกฯ แค่คนเดียวที่ถูกคตส. ดำเนินการซึ่งไม่ยุติธรรม คดีซื้อที่ดินรัชดาฯของคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ที่สุดท้ายการทำนิติกรรมจบ แต่พ.ต.ท.ทักษิณกลับยังมีโทษจำคุก แต่คดีที่ดินส.ป.ก.ที่ภูเก็ต ใช้เวลา 10 ปีกว่าจะตัดสินให้คืนที่ตกเป็นของแผ่นดิน แต่นักการเมืองที่เอาที่หลวงไป ยังมายืนลอยหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาอยู่ได้ เหล่านี้คือความอยุติธรรม

"ขณะนี้มีความพยายามอธิบาย สร้างกระ แสความรู้สึกให้เกิดขึ้นว่าหากนำรายงานของสถาบันพระปกเกล้าเข้ามาที่สภาและส่งไปยังรัฐบาล แผ่นดินจะลุกเป็นไฟ พยายามสร้างกระแสกดดันจนสถาบันเริ่มเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น ความจริงการจะเอาสถาบันใดมาตั้งคำถามกับคน 47 คน ก็จะได้คำตอบเดียวกันเพราะต่างขัดแย้ง ความปรองดองคนในชาติไม่ได้อยู่ในรายงาน หากยังไม่มีพื้นที่หัวใจต้องการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น ผมขอให้สถาบันฯ ถอนรายงานไปเลย เพราะมองไม่เห็นว่าประเทศจะปรองดองได้อย่างไร มีการอธิบายเลยเถิดว่าจะเกิดสงครมกลางเมือง มันจะเป็นไปได้อย่างไร ทั้งที่ คอป.ก็เผยแพร่แนวทางปรองดองหลักไปก่อนแล้ว ดังนั้นอย่าเข้าใจว่ารายงาน 1 ฉบับจะสร้างความร้าวฉานหรือพลิกแผ่นดิน เพราะไม่ทรงอำนาจขนาดนั้น" นายจตุพรกล่าว

นายจตุพรกล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายสุเทพอธิบายว่าพวกตนต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประธานาธิบดี สถาปนารัฐไทยใหม่ เพราะเคยกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะกลับมาเป็นประธานาธิบดี ขอเรียนว่าเป็นเพียงการกล่าวหาซึ่งใครก็ทำได้ ซึ่งตนอยากรู้ว่านาย สุเทพต้องการทำลายพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อขึ้นเป็นประธานาธิบดีเสียเองหรือไม่ มีแต่พวกขี้แพ้ไม่มีความดีของตัวเองที่คิดแบบนี้ จึงแพ้ในทุกสนามการเมือง ต่อให้ชูมือสองข้างก็แพ้ ดังนั้นจึงพยายามเอาสถาบันมากล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนี้ เรื่องการนิรโทษกรรมนั้นขอให้นิรโทษ กรรมทุกคนไปเลย เหลือเพียงตน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเท่านั้น และมาเริ่มต้นคดีก่อการร้ายและใช้บงการฆ่าขึ้นมาใหม่ให้พร้อมกันเลย ดูว่าจะเป็นอย่างไร

"วันนี้มีอยู่พวกเดียวที่กลัวการปรองดอง เพราะกลัวจะเกิดประชาธิปไตย คิดแบบนี้ชาตินี้ก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล เลยไม่ยอมปรองดองเสียที ดังนั้น ขอให้เป็นการต่อสู้ระหว่างพวกตน แต่อย่าเอาสถาบันลงมา ขอฝากไปยังกรรมาธิการปรองดองว่าสถาบันกษัตริย์จะแข็งแรงที่สุด นักการเมืองจะละเลงสกปรกอย่างไรก็เป็นเรื่องของนักการเมือง ส่วนเรื่องความสมานฉันท์ของคนที่มีความเห็นต่าง คงต้องใช้เวลาอีกนาน" นายจตุพรกล่าว

17จว.ทำตายเป็น 0 ได้ 1 ล้าน มูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรมหนุน

นายดำรง พุฒตาล ประธานมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า ตามที่มูลนิธิได้จัดโครงการรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน สงกรานต์ปลอดภัย ตายเป็นศูนย์ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2555 นั้น นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มูลนิธิรัฐบุรุษพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาอุบัติเหตุจราจร และได้ให้การสนับสนุนโครงการสงกรานต์ปลอดภัยตายเป็นศูนย์ มอบรางวัลเป็นขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องชีวิตคนไทยจากอุบัติเหตุจราจรในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2555

ทั้งนี้ การดำเนินการครั้งนี้ จะมีการแบ่งกลุ่มจังหวัดเป็น 4 กลุ่ม ทั้งนี้ โดยอาศัยฐานข้อมูลอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ย้อนหลัง 6 ปี (2549-2554) ได้แก่ 1.กลุ่มโซนสีแดง หรือกลุ่ม ความเสี่ยงสูงเช่น ร้อยเอ็ด จันทบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชลบุรี สระบุรี อยุธยา เพชรบูรณ์ ลพบุรี นครสวรรค์ เชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น เชียงราย พิษณุโลก และ กรุงเทพฯ รวม 17 จังหวัด ถ้าทางจังหวัดสามารถบริหารจัดการร่วมกันกับทุกภาคส่วนไม่ให้มีผู้เสียชีวิต จะได้รับโล่เกียรติยศพร้อมเงินรางวัลจากมูลนิธิรัฐบุรุษพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ 1 ล้านบาท 2. จังหวัดที่อยู่ในโซนสีเหลือง กลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลาง 13 จังหวัด เช่น กาญจนบุรี นครปฐม อุดรธานี อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ระยอง ฯลฯ ถ้าทางจังหวัดบริหารจัดการไม่ให้มีคนตายได้ จะได้รับโล่เกียรติยศ พร้อมเงินรางวัล 300,000 บาท 3.กลุ่มโซนสีเขียว ความเสี่ยงต่ำ 22 จังหวัด เช่น กาฬสินธุ์ น่าน สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ฯลฯ ถ้าทางจังหวัดบริหารจัดการไม่ให้มีคนตายได้จะได้รับโล่เกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 100,000 บาท และ 4. กลุ่มโซนสีขาว ความเสี่ยงต่ำมาก 25 จังหวัด เช่น ปัตตานี ยะลา ยโสธร ตราด บึงกาฬ ฯลฯ ถ้าทางจังหวัดบริหารจัดการไม่ให้มีคนตายได้จะได้รับโล่เกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 50,000 บาท

ประธานมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นจิตอาสาร่วมรณรงค์ลดอุบัติเหตุจราจรในเทศกาลสงกรานต์ โดยเริ่มจากตัวท่านเองและเตือนคนรอบข้าง ทั้งนี้ เพื่อให้เทศกาลสงกรานต์ปีนี้มีอัตราการตายเป็นศูนย์ ดังที่ทุกคนคาดหวังไว้.