ข่าว
“หญิงหน่อย” ยังนิ่ง ไม่มีท่าทีซบขั้วคสช.

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีมีกระแสข่าวว่าจะมีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี(ครม.) เศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เนื่องจากทำงานไม่มีประสิทธิภาพและจะมีการดึงคนจากพรรค พท. อาทิ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เพื่อเข้าร่วมคณะรัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ว่า เท่าที่ทราบขณะนี้คุณหญิงสุดารัตน์ยังไม่มีท่าทีการเคลื่อนไหวว่าจะย้ายไปอยู่ขั้ว คสช. เพราะหากมีท่าทีจริง ณ เวลานี้ ต้องมีการเตรียมเอกสารหรือบัญชีทรัพย์สินต่างๆ เพื่อยื่นต่อ ป.ป.ช.บ้างแล้ว แต่ขณะนี้ยังนิ่งอยู่

แต่ทั้งนี้ ยอมรับว่าคุณหญิงสุดารัตน์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับระดับบิ๊กของ คสช. มีการพูดคุยเจรจาอยู่เสมอ หากถามว่าคุณหญิงสุดารัตน์จะเลือกฝ่ายใดระหว่างพรรค พท.และรัฐบาล คสช. เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก เพราะคุณหญิงสุดารัตน์มีวิธีคิดและเทคนิคอยู่พอตัว ขณะเดียวกันคุณหญิงก็สามารถอยู่ได้ทั้งสองขั้ว แต่หากจะผันตัวจากพรรค พท. แล้วออกไปร่วมงานกับ คสช.จริง คนที่สามารถเจรจาเพื่อให้คุณหญิงสุดารัตน์อยู่พรรค พท.ต่อนั้น คงมีเพียง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เท่านั้น ส่วนท่าทีของ ส.ส.กทม.หากมีการเปลี่ยนแปลงจริงคงมีทั้งฝั่งที่เลือกคุณหญิงสุดารัตน์ และฝั่งยังปักหลักกับพรรค พท.

ด้านแกนนำพรรค พท. ระบุว่า หากจะมีการดึงตัว ส.ส.จากพรรค พท.เพื่อไปร่วม ครม.กับ คสช.จริง ก็เป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะตัดสินใจ

บิ๊กตู่ บ่นเหนื่อย-ปัญหาเยอะ เปรียบตัวเองอัศวิน ขี่ม้าขาเป๋

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 16 กรกฎาคม ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานเปิดเวทีสัมมนาระดับชาติ แนวทางการพัฒนาธุรกิจไทยอย่างยั่งยืน เดินหน้าพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างต่อเนื่อง (ทีเอ็มเอ) โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ทุกคนต้องคิดและสร้างความเข้าใจว่าก่อนหน้าที่จะเข้ามาบริหารประเทศนั้นเกิดอะไรขึ้น และเมื่อเข้ามาแล้วได้ทำอะไรไปบ้าง หลายอย่างที่ทำไปอาจจะไม่สามารถเกิดได้ในวันนี้หรือพรุ่งนี้ เพราะมีทั้งเรื่องการเมือง และเรื่องกฎหมายต่างๆ ทำให้การเดินหน้าประเทศมีปัญหาบ้าง รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณก็ยังมีปัญหา และปัญหาความไว้เนื้อเชื่อใจก็ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่ทำให้ทำงานไม่ได้คือเรื่องของการเมือง และเรื่องอุปสรรคต่างๆ บางครั้งทำให้งงเหมือนกัน แม้จะคิดหรือสั่งการไปแล้ว แต่บางครั้งก็ทำจริงไม่ได้ ซึ่งทุกฝ่ายต้องช่วยกัน วันนี้เรื่องผลประโยชน์ไม่คุยด้วยกับใครทั้งสิ้น แม้แต่เพื่อนก็ยังไม่คุย โกรธกันไปก็เยอะ เพื่อนทิ้งไปก็เยอะ ครอบครัวก็เหนื่อยและเป็นห่วง แต่ก็ทำไงได้ ทำเพื่อประเทศ ไม่ใช่อัศวินม้าขาว แต่เป็นม้าขาเป๋ เพราะมีปัญหาประเดประดังเข้ามา วิ่งขาจะเปื่อยอยู่แล้ว แต่ทุกคนต้องช่วยสร้างความเข้าใจ อย่าคิดว่าใช้มาตรา 44 ได้หมดทุกเรื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเปิดสัมมนาได้เดินทางกลับทำเนียบรัฐบาล ทันทีที่เห็นผู้สื่อข่าวดักรอสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ มองมาที่กลุ่มผู้สื่อข่าวพร้อมกับกล่าวว่า ไม่มีอะไรมั้ง จะสัมภาษณ์เรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องการเมืองไม่ตอบ ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อเสริมทัพด้านเศรษฐกิจให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สื่อไปเขียนกันเองทั้งนั้น เมื่อถามว่า ตกลงไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรีตามที่เป็นข่าวใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวทันทีว่าไม่รู้


'บิ๊กตู่' ลั่นคนโกงต้องไม่มีที่ยืน งัด ม.44 วางกลไกปราบปราม

เมื่อเวลา 20.15 น. วันที่ 17 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงแนวทางของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ว่า เรื่องการต่อต้านการทุจริตถือเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาล และ คสช.ให้ความสำคัญ ซึ่งการที่จะแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยการปลูกฝังจิตสำนึกและค่านิยมให้กับประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนให้เห็นว่าการโกงเป็นเรื่องน่ารังเกียจ คนโกงต้องไม่มีที่ยืนในสังคม และเป็นรากฐานสำคัญเพื่อทำให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ

ทั้งนี้ ยืนยันว่า รัฐบาลนี้มีความจริงจังที่จะดำเนินการลงโทษคนที่ทุจริตอย่างเป็นรูปธรรมตาม ขั้นตอนของกฎหมาย พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวถึงมาตรการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการทุจริตด้วยว่า รัฐบาลได้ปฏิรูปการให้บริการภาครัฐเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมความเข้มแข็ง ให้เข้าถึงบริการภาครัฐ ให้ “เร็วขึ้น ง่ายขึ้น แต่ถูกลง” โดยได้ออก พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค.นี้ โดยหน่วยงานภาครัฐจะต้องจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนที่อธิบายรายละเอียดของการบริการไว้ หากการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐไม่เป็นไปตามคู่มือฯ ก็แสดงถึงการส่อทุจริต หรือไม่มีประสิทธิภาพ ก็สามารถร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรม–ศูนย์รับเรื่องราวร้องเรียน พร้อมทั้งยกระดับการบังคับใช้มาตรการทางปกครองทางวินัยอย่างเด็ดขาด

พร้อมย้ำ ที่ผ่านมามาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวได้ถูกนำมาใช้เพื่อเข้าไปบริหารดำเนินการและสนับสนุน การทำงานของ 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

“สำหรับผู้ที่ถูกปรับย้ายออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้มีการสอบสวน โดยเรายังถือว่าไม่มีความผิดใดๆ เมื่อสอบสวนเสร็จมีความผิดจริงก็ต้องรับโทษทั้งทางวินัยและทางอาญา แต่หากไม่ผิดก็สามารถกลับมารับราชการได้เหมือนเดิม”

นอกจากนี้ รัฐบาลได้ใช้มาตรการทางภาษีเป็นเครื่องมือการตรวจสอบเชิงรุกสำหรับ ผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริต ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกล่าวหา หรือในส่วนของเอกชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการกระทำผิด จะมีการตรวจสอบตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และตามประมวลรัษฎากรตรวจสอบบุคคลผู้มีเงินได้เสียภาษีว่าครบถ้วน-ถูกต้อง หรือไม่ พร้อมทั้งปรับปรุง แก้ไข และยกระดับกฎระเบียบในการจัดซื้อจัดจ้างเดิมมีเพียงระเบียบสำนักนายก รัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ให้เป็น พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และป้องกันการทุจริต ไม่ให้นักการเมืองทุจริต หรือข้าราชการคอร์รัปชัน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้การเดินหน้าของรัฐบาลและ คสช.ได้เดินหน้ามาสู่ระยะที่ 2 เหลือระยะที่ 3 ที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งเป็นเรื่องของการมีรัฐบาลในโอกาสต่อไป เมื่อมีความพร้อมของรัฐธรรมนูญ การทำประชามติ และการเลือกตั้งก็เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้วเดิม อย่าให้มีความขัดแย้งกันอีกต่อไป ในเรื่องของโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งมีผลในเรื่องเศรษฐกิจการลงทุนของประเทศ อยากให้รัฐมนตรี ข้าราชการทุกกระทรวงทุกฝ่ายได้ไปเร่งรัดการดำเนินการ ที่ผ่านมานั้นเราได้แก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ให้ทันสมัย ลดขั้นตอนลดระยะเวลาต่างๆ ไปเรียบร้อยหมดแล้ว วันนี้ก็ต้องมาจับต้องว่ากิจกรรมที่สั่งไปแล้วทั้ง 5 กลุ่มงานคืบหน้าถึงไหน ภายในเดือนกันยานนี้ต้องรายงานให้ตนทราบ เพื่อพิจารณาการดำเนินการในระยะต่อไป

นายกฯ ยังกล่าวฝากไปถึงภาคประชาชนและภาคประชาสังคมด้วยว่า วันนี้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ค่อนข้างจะทำได้ยาก ในส่วนขอโครงการที่มีขนาดใหญ่ และมีผลในเรื่องของการลงทุน เช่น การบริหารจัดการพลังงาน, ขยะ, โรงไฟฟ้า หรือท่าเรือ ซึ่งอาจมีผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่ แต่หากโครงการเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้ การจ้างงานสร้างอาชีพก็เกิดไม่ได้ ถ้าโครงการเหล่านี้เกิดได้ในพื้นที่ ก็ได้สั่งการไปแล้วว่าขอให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์ก่อน จะมีการดูแลเยียวยาให้เหมาะสม เมื่อใดก็ตามที่มีประโยชน์เกิดขึ้นอยู่ตรงนั้น ประชาชนเหล่านั้นจะต้องได้รับประโยชน์เป็นอันดับแรก มีสิทธิต่างๆมากกว่าคนอื่นในการที่จะได้รับผลตอบแทน หรือจะประกอบการอะไรต่างๆ

“หลายเรื่องเราต้องทำนะครับ ถ้าไม่ทำวันนี้ วันหน้าก็เกิดขึ้นไม่ได้ วันนี้ทุกคนก็บ่นว่า เศรษฐกิจมันไม่ดี การลงทุนมันไม่เกิด ก็วันนี้ผมไล่ดูแล้ว ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่งบประมาณอย่างเดียว งบประมาณจัดไปแล้ว แต่มันทำไม่ได้ การทำประชาพิจารณ์ก็ไม่ผ่าน EIA EHIA จะทำยังไง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ โรงไฟฟ้า โรงงานขยะ แล้วก็ในส่วนของการลงทุนสาธารณูปโภคต่างๆ ถนนหนทาง เพราะฉะนั้น ขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ต้องเผื่อแผ่แบ่งปัน ไม่ใช่บอกว่ามันเกิดตรงนี้พื้นที่เดือดร้อน แต่ตรงนี้ต้องเกิดประโยชน์กับทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว.


คาด2รมต. ถูกปรับออก ดึง′สรอรรถ′แทน′ปีติพงศ์′

กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.เพื่อเสริมทัพด้านเศรษฐกิจมีออกมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนายกรัฐมนตรีจะออกมาปฏิเสธแล้ว เมื่อวานนี้รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญๆ ที่มีชื่อในโผถูกปรับออก ออกมาปฏิเสธถึงกระแสข่าวดังกล่าวกันหมด

แต่อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ล่าสุด นายกรัฐมนตรี ยินยอมปรับ ครม. 2 กระทรวงหลักที่ทำงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย คือ กระทรวงการคลัง จะให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ หัวหน้า คสช. หรือ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แทนนายสมหมาย ภาษี

ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีแนวโน้มให้นายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีตรัฐมนตรีเกษตรฯ ที่มีความสนิทสนมกับพลเอกประวิตร เข้ามาเป็น รัฐมนตรีเกษตรฯ แทนนายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รายงานข่าวยังระบุอีกว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้ไม่มีการปรับแม่ทัพหรือนายทหาร คสช. ที่ไปนั่งคุมกระทรวงต่าง ๆ ทั้งนี้คาดว่าการปรับ ครม.จะมีขึ้นช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้


'ไร่ส้ม'จ๋อย-'สรยุทธ'แห้ว ชวดได้เงิน'อสมท'55ล.

วันที่ 17 ก.ค. ที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองสูงสุดได้กลับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ยกฟ้องในคดีที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง ที่ขอให้สั่งบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) จ่ายเงินคืนค่าส่วนลดโมษณาในรายการ "คุยคุ้ยข่าว" ร้อยละ 30 หรือประมาณ 138 ล้านบาท เนื่องจากในสัญญาร่วมงานกัน ไม่ได้กำหนดว่าเป็นหน้าที่ของ บมจ.อสมท.ต้องเป็นผู้ชำระ เพราะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นของ อสมท.ในฐานะที่เป็นเจ้าของสถานี แต่กำหนดว่าบริษัท ไร่ส้ม ต้องชำระหากโฆษณาเกินเวลา และบริษัทดังกล่าวได้ชำระตามหนังสือที่อสมท.แจ้งไปทุกครั้ง โดยไม่เคยโต้แย้งหรือฟ้องศาล ซึ่งเท่ากับยอมรับ

ส่วนกรณีที่อสมท.ขอให้ศาลฯสั่งบริษัท ไร่ส้ม ชำระส่วนลดทางการค้ากว่า 55 ล้านบาทนั้น ศาลฯเห็นว่าบริษัทดังกล่าวไม่จำเป็นต้องจ่าย เพราะอสมท.ฟ้องเรียกเก็บเงินนี้จากเจ้าหน้าที่ที่ให้ค่าส่วนลดโดยไม่ชอบแก่บริษัท ไร่ส้ม แล้ว. คดีนี้บริษัทไร่ส้มฯ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2551 และศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ก.ย.2556 ว่าบริษัทอสมท. ผิดจริง และให้จ่ายเงินให้กับบริษัทไร่ส้ม เป็นเงิน 55.777 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับจากวันถัดจากวันฟ้องจนชำระเสร็จสิ้นโดยให้ชำระเสร็จสิ้นภายใน 90 วัน นับแต่คดีถึงที่สุด แยกเป็นเงิน ชำระค่าส่วนลดทาง การค้าในอัตรา 30% จากยอดเงิน 138 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าโฆษณาเกินเวลาที่ อสมท.ได้จากบริษัทไร่ส้ม จำนวน 49 ล้านบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ย 6.48 ล้านบาทเศษ รวมเป็น เงิน 55,523,763 ล้านบาท ชำระค่าโฆษณาส่วนเกินที่ อสมท ใช้เวลาเกินส่วนแบ่งตามข้อตกลง เป็นเงิน 245,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 8,255 บาท รวมเป็นเงิน 253,255 บาท จากที่เรียกไปทั้งหมดกว่า 166 ล้านบาท สำหรับการฟังคำพิพากษาในวันนี้ นายสรยุทธไม่ได้เดินทางมาฟังคำตัดสินด้วยตัวเอง ส่งเพียงทนายความมารับฟังคำตัดสินเท่านั้น จึงถือว่าเป็นการปิดฉากคดีนี้ที่มีการต่อสู้กันมานานถึง 8 ปีนับตั้งแต่ปี 2551“

นี่สิคนจริง "หญิงเเย้ นนทพร" แฉภาพตัวเองก่อนศัลยกรรม

เป็นพริตตี้สาวอันดับต้นๆในวงการที่ยอมรับเเบบไม่มีกั๊กว่าความสวยที่เห็นทุกวันนี้มาจากการผ่านมีดหมอมาโดยทั้งสิ้นสำหรับหญิงแย้ นนทพร ธีระวัฒนสุข ผู้ที่โด่งดังในโลกออนไลน์ แถมยังเป็นไอดอลให้กับสาวๆหลายคนอีกด้วย

ล่าสุด จู่ๆ ไม่รู้เกิดอารมณ์คิดถึงวันวานหรือเปล่า หญิงเเย้ก็เลยขุดภาพในอดีตของตัวเองเมื่อ 20 ปีที่เเล้วขึ้นมาเปรียบเทียบกับภาพปัจจุบัน พร้อมแคปชั่นฮาๆ ว่า "ผ่านมา 20 ปี ผมยาวขึ้นแค่นิดหน่อยเอง.."

ซึ่งหลังจากภาพดังกล่าวได้ถูกโพสต์ออกไป บรรดาเเฟนคลับเเละชาวเน็ตทั้งหลายต่างเข้ามากดไลค์เเละรัวคอมเม้นท์กันอย่างสนุกสนาน พร้อมชื่นชมหญิงเเย้ว่าเป็นสาวที่กล้าเปิดเผยตัวตนจริงๆ เเบบไม่มีหมกเม็ดจริงๆ