เมื่อเวลา 20.15 น. วันที่ 27 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวตอนหนึ่ง ในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ว่า กรณีมีข่าวเรื่องการดูด ส.ส.พรรคการเมือง ซึ่งตนไม่ใช่นักการเมือง ตนทำงานทางการเมืองให้ตอนนี้ แต่ทุกคนทราบดีว่า การดูดมีมายาวนานแล้ว ไม่ใช่มาบอกแต่คสช.ดูด ตนก็อยู่ตรงนี้อยู่ เป็นรัฐบาลอยู่ตรงกลางตรงนี้ ที่ต้องอำนวยการให้เกิดการเลือกตั้งให้ได้ เป็นหน้าที่ของตนขณะนี้ ฉะนั้นการดูดมีทุกพรรคการเมืองมายาวนานแล้ว เป็นครรลองของประชาธิปไตยของไทยตลอดมา หลายคนอาจจะอ้างว่าทำด้วยอุดมการณ์ ด้วยนโยบายเพื่อชาติและประชาชนคำว่า “ดูด ส.ส.” คงเป็นภาษาของสื่อฯ เป็นการตลาด
ทั้งนี้พี่น้องประชาชนควรใช้วิจารณญาณว่า อะไรคือการทำเพื่อส่วนรวม อะไรที่เป็นการทำเพื่อพวกพ้อง หากมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญเช่นเดียวกันแล้ว ก็น่าจะช่วยกันทำงานได้ เราไม่อาจมองข้ามกันได้ เราจะต้องทำให้นักการเมืองทุกคนที่เข้าสู่ระบบเลือกตั้ง ครั้งหน้านี่เป็นคนที่มีคุณธรรม จริยธรรม มีธรรมาภิบาล ไม่ว่าจะนักการเมืองเก่า นักการเมืองใหม่ หรือคนที่เคยทำผิดกฎหมาย มีคดี ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม หรือเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง แตกแยกของคนในชาติ คนเหล่านี้ใครควรจะได้รับการเลือกตั้งหรือใครไม่ควรจะได้รับการเลือกตั้ง ก็เป็นเรื่องของประชาชนพิจารณา ตนไปชี้นำไม่ได้
อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะนำพาประเทศของเราไปสู่ทางออกของปัญหาตามแนวทางสันติวิธี ไม่อยากให้ขัดแย้งกันอีก เพราะต้องแก้ไขด้วยกัน รัฐบาลหรือ คสช. จะไปสั่งให้เลิกทะเลาะกันมันเป็นไปไม่ได้ เพราะอยู่ที่ใจของแต่ละคน เพราะฉะนั้นเราน่าที่จะปฏิรูปการเมืองทีละขั้นหรือไม่ วันนี้เราไปตั้งหลักกันที่การเลือกตั้งก่อนเพราะฉะนั้น วันนี้ตนสร้างสภาวะแวดล้อมเตรียมการทั้งหมดให้พร้อมที่จะไปสู่การเลือกตั้ง รักษาความสงบ เรียบร้อย ก็อย่าให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นมาระหว่างการเลือกตั้งอีกเลย
นอกจากนี้ถ้าเอาการเลือกตั้งมาเป็นตัวตั้ง ต้องหาวิธีว่าจะทำอย่างไร ที่จะทำให้ได้นักการเมืองที่มีคุณภาพ โดยปัจจุบันจากความเคลื่อนไหวของนักการเมืองที่ติดตามศึกษาอยู่ ซึ่งพรรคการเมือง มีอยู่ 3 ทางด้วยกัน อันที่ 1 คือการเคลื่อนไหวของนักการเมืองใหม่ทั้งหมด อันที่ 2 นักการเมืองเดิม อาจจะที่มีคุณภาพ หลายพรรคต่างๆ ก็มาช่วยกัน และอันที่ 3 คือนักการเมืองจากทุกพรรค ทุกกลุ่ม เดิมๆ ที่ไม่ได้แยกย้ายพรรคอะไร พวกนี้จะเข้ามาเลือกตั้งเหมือนเดิม วิธีการเดิมๆ อาจจะไม่เปลี่ยนแปลง วิธีการทำงานหรือเปล่า ตนไม่แน่ใจเพราะฉะนั้นหลายคนอย่างที่บอกไปแล้วว่า จำเป็นต้องสังกัดพรรคด้วยเหตุผล ความจำเป็น คือ เมื่อจะเข้ามาต้องมีการสนับสนุนและอยากจะเข้ามามีส่วนร่วมในรัฐบาล แต่เพียงอย่างเดียว อันนี้คงไม่ดี
“วันนี้ต้องแก้ไขใหม่ ลองไปคิดดูสิว่าเราฝืนข้อเท็จจริงไม่ได้ เรามีนักการเมืองแบบไหนบ้างในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเก่า จะใหม่ จะดี ไม่ดี ก็มีอยู่เท่านี้เราอาจจะต้องใช้วิธีผสมกันหรือเปล่า 1 หรือ 2 เราต้องยอมรับความจริงตรงนี้นักการเมืองใหม่เข้ามาน้อยมาก เราน่าจะอยากได้คณะรัฐมนตรีที่ควรมีนักการเมืองใหม่เข้ามาเติม มาเสริม แล้วมีนักการเมืองเก่าที่ดีๆ หวังดีกับประเทศชาติจริงๆ เข้ามาทำงาน ด้วยความสมัครใจ ทำเพื่อชาติ เพื่อพี่น้องประชาชน มากกว่าทำเพื่อพรรคอย่างเดียว”
พร้อมย้ำเราทุกคนประชาชนจะต้องศึกษานโยบาย ท่าที แนวโน้ม การให้ความสำคัญกับพรรคการเมืองที่มีเจตนารมณ์ ยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปอย่างแท้จริง ที่ต้องอาศัยเวลาในการปฏิรูป ระยะสั้น กลาง ยาว ต่อไปเรื่อยๆ ตามแผนแม่บท แผนปฏิบัติการ ซึ่งต้องคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณ และรายได้แผ่นดินด้วย ปัจจุบันนั้นเราก็ยังมีปัญหาอยู่พอสมควรในเรื่องการจัดหารายได้เพิ่มเติม ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนให้มากยิ่งขึ้น ในเรื่องการศึกษา สาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐาน สังคมผู้สูงวัย แรงงาน ซึ่งก็คงจะต้องทำเพิ่มเติม
ทั้งนี้อย่าไปหลงเชื่อว่าการเลือกตั้งอย่างเดียวนั้นไม่ต้องคำนึงถึงบริบทต่างๆ ทำเหมือนเดิม เลือกเหมือนเดิม ไม่เลือกก็ได้ เราจะไม่สามารถแก้ปัญหาในอดีตได้เลย เราไม่สามารถจะวางรากฐานการพัฒนาในอนาคตได้ ถ้าเราคิดแบบเดิม เราควรให้ความสำคัญในเรื่องนโยบายต่างๆ ของแต่ละพรรคด้วย เพื่อจะให้เกิดการสร้างความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ จะต้องส่งเสริมการเคารพกฎหมาย แก้ไขประเด็นความขัดแย้ง ไม่สร้างความวุ่นวายแตกแยก ไม่อำนวยประโยชน์แก่คนบางกลุ่ม บางพวก เป็นการเฉพาะ หรือบางพื้นที่เพราะว่าจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียม ในวันข้างหน้าอีกด้วย
“ลองพิจารณาคำกล่าวของผู้นำประเทศหนึ่งที่กล่าวว่า ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ก็ขอเพียงจับหนูได้ ก็คือแมวที่ดี เนื่องจากในการแก้ปัญหาเดียวกันแต่ต่างพื้นที่ ต่างสภาพ แวดล้อม วิธีการย่อมแตกต่างกัน ในรายละเอียดไม่มีสูตรตายตัว เพียงแต่ว่าเราเองนั้นต้องทำให้ทั้งแมวขาว แมวดำของเรา ไม่ทะเลาะกันเอง ไม่กัดกันเอง แล้วเป็นแมวสะอาด ไม่มีเชื้อโรค ไม่อย่างนั้นก็ไปปราบหนูไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้บ้านเมืองเราสะอาด ต้องใช้แมวที่สะอาดนะ ฝากช่วยกันคิดดู” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในที่สุด
เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 61 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณี ครม.สัญจรที่กลุ่มจังหวัดอีสานใต้ ท่ามกลางกระแสดูดนักการเมืองเข้าร่วมรัฐบาล คสช.ว่า รัฐบาลทำระบบสัญจรมานานแล้ว ไม่ได้เพิ่งทำ แต่คงต้องรอดูรูปแบบว่า ทำเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน หรือตอบสนองประชาชนให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ก็ถือเป็นเรื่องดี ไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่า ทราบหรือไม่ที่มีการระบุมีการระดมทุนถึง 4 หมื่นล้าน เพื่อใช้ในการตั้งพรรคเพื่อสนับสนุนทหาร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ต้องไปถามคนที่พูดเรื่องนี้ ตนทราบเพียงว่า ได้รับคำยืนยันว่ามีคนในรัฐบาล มีความพยายามจะสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มทุนเข้ามาสนับสนุนพรรคการเมือง แต่เราไม่ติดใจ และยืนยันจะสู้ตามแนวทางที่ถูกต้อง แม้จะเสียเปรียบ ส่วนคนที่ทำอะไรโดยไม่อาย ก็มักจะได้เปรียบเป็นธรรมดา จึงขอเรียกร้องให้มีการแข่งขันกันอย่างเสมอภาค แล้วประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบในผลการเลือกตั้ง และเมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ก็ควรที่จะเคารพเจตนารมณ์ของประชาชน โดยแม้จะมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการเลือกนายกรัฐมนตรี แต่หากไม่ฟังเสียงประชาชน เชื่อว่าที่สุดในอนาคตอาจจะมีปัญหาตามมาแน่ เพราะหากเริ่มต้นการเข้าสู่อำนาจที่ไม่สุจริตแล้ว จะเกิดปัญหาความขัดแย้งตามมาแน่นอน
"เวลาเขามาทาบทาม เขาก็จะบอกว่าไปอยู่กับเขาเถอะ เพราะถ้าอยู่ที่นี่ไม่มีใครสนับสนุนเรื่องทุน แต่อยู่กับเขาเขาดูแลได้ดีกว่าที่นี่ ซึ่งแม้จะมีกระแสทาบทามอดีต ส.ส.ไปสังกัดพรรคใหม่ แต่ผมยังมั่นใจว่าอดีต ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ ยังพร้อมที่จะทำงานกับพรรค และยังไม่มีใครมาบอกว่าจะไปอยู่ที่อื่น ยกเว้น 1-2 คน ที่มีเหตุผลส่วนตัว เพราะญาติพี่น้องไปตั้งพรรคแล้วต้องไปช่วย แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ก็ต้องเคารพการตัดสินใจ ซึ่งขณะนี้พรรคเองมีคนรุ่นใหม่อายุ 25-30 ปีเศษ ที่ต้องการเข้ามาทำงานการเมือง และพร้อมที่จะอยากจะมาช่วยพัฒนาบ้านเมือง โดยพรรคเตรียมพร้อมที่จะปฏิรูปพรรค ให้สมาชิกมีส่วนร่วมโดยตรงในการหยั่งเสียงโหวตเลือกหัวหน้าพรรค" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ เจ้าของฉายาโหร คมช.ระบุว่า รัฐบาลหน้าจะเป็นรัฐบาลแห่งชาติ แต่พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายค้าน ทั้งสองพรรคจะจับมือกันตรวจสอบรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเป็นฝ่ายค้านคงไม่ต้องจับมือกัน และพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันเราทำงานตามอุดมการณ์และแนวทางของพรรค แต่ขณะนี้ยังไม่อยากให้พูดอะไรล่วงหน้า เพราะยังไม่มีการเลือกตั้ง เป็นแต่การคาดการณ์ทั้งสิ้น จึงยังไม่มีใครทราบว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างอยู่ที่การเสนอนโยบายในการพัฒนาประเทศให้ประชาชนเลือก และมีสิ่งที่น่ากังวลกว่า คือ เศรษฐกิจ ปากท้อง ค่าครองชีพของประชาชน ที่ลำบากและความเป็นอยู่แย่ลง แม้ตัวเลขเศรษฐกิจของรัฐจะดีขึ้น แต่ข้อเท็จจริงสวนทางกัน จึงต้องมีดูว่าการใช้จีดีพีวัดมูลค่าเศรษฐกิจของชาติ มันสะท้อนความเป็นจริงที่ชาวบ้านกำลังเผชิญอยู่หรือไม่ หรือต้องมาทบทวน
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่เตรียมนัดชุมนุมใหญ่ในเดือน พ.ค.นี้ว่า เราต้องเคารพสิทธิของคนที่ต้องการแสดงออกที่มีความเห็นต่าง ขณะเดียวกันคงไม่มีใครอยากเห็นความวุ่นวายเกิดขึ้น เพราะเกรงจะมีความสุ่มเสี่ยงที่บ้านเมืองจะหันเหไปทางอื่น แทนที่จะกลับสู่เส้นทางการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตย
เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2551 แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคง เปิดเผยว่า พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ในฐานะเลขาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งการให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย(กกล.รส.)ติดตาม และให้ควบคุมสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งในเดือนพ.ค.นี้ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยเพื่อไม่ให้มีมือที่สามมาก่อกวนและไม่ให้สกัดการชุมนุม
แหล่งข่าวยังระบุว่า ผบ.ทบ.ไม่ได้กังวลการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง แต่กังวลกลุ่มสนับสนุนจะออกมาสร้างสถานการณ์ จึงสั่งกำลังกกล.รส.ทั้งหมดติดตามสถานการณ์ดูแลให้เกิดความเรียบร้อย ส่วนการปฏิบัติงานในพื้นที่ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.ต้องการให้ใช้กำลังกฎหมายปกติดูแลการชุมนุมมากกว่ากำลังทหาร แต่ในขณะเดียวกันกำลังกกล.รส.ทั้งหมดต้องเตรียมพร้อม หากสถานการณ์บานปลายเกินกว่าตำรวจจะควบคุมได้ ทหารต้องพร้อมออกมาทำหน้าที่
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้จากข้อมูลด้านการข่าวยังไม่พบจะมีการสร้างสถานการณ์แต่อย่างใด
ทางด้านนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว แกนนำเครือข่ายคนอยากเลือกตั้ง กล่าวยืนยันว่า จะจัดการชุมนุมต่อไปในวันที่ 5 พฤษภาคม ที่ ม.ธรรมศาสตร์ โดยจะทำการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล คสช. เพราะสนช.ที่มาจากการแต่งตั้งโดย คสช.ไม่ทำ ส่วนวันที่ 19-22 พฤษภาคม จะเป็นการชุมนุมต่อเนื่อง ครบรอบการยึดอำนาจ 4 ปี
สำหรับกิจกรรมการชุมนุมในวันเสาร์ที่ 5 พ.ค. จะเริ่มตั้งแต่เที่ยงวันยันสามทุ่ม ที่ลานปรีดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยจะมีเปิดตลาดนัดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หยุดระบบคสช. หยุดระบบการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตามในวันที่ 2 พ.ค.นี้ จะมีการจัดเวทีเวนาเรื่อง”สิทธิในการประท้วง :หลักการปกป้องสิทธิมนุษยชนในการประท้วง" ในเวลา 9.00 - 12.00 น.ห้อง ร.102 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเซฟบุ๊ก Clipโหด18+ ได้เผยแพร่คลิปของ‘เสี่ยโป้’ ที่ได้ไลฟ์เฟซบุ๊กส่วนตัวขณะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โคกคราม เข้าควบคุมตัวภายในบ้านพักของกานต์ วิภากร อดีตภรรยาของเสก โลโซ ซึ่งเสี่ยโป้ยังติดค้างเงินอยู่ 60 ล้าน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมตัวลูกน้องเสี่ยโป้ พร้อมของกลางอาวุธปืน 1 กระบอก
จากนั้นพยายามจะเชิญตัวเสี่ยโป้ไปสอบสวนที่โรงพัก แต่เสี่ยโป้ไม่ยอมไปโดยให้สาเหตุว่า ไม่ได้ทำผิดอะไรและในตัวไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย โดยจะขอรอทนายส่วนตัวมาถึงก่อน นอกจากนั้นเสี่ยโป้ ยังระบุด้วยว่า งานนี้ตนโดนวางงานถูกล่อมาที่บ้าน โดยมีหลักฐานเป็นเสียงบันทึกในโทรศัพท์ และพร้อมต่อสู้คดีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์
เมื่อ 27 เม.ย.61 สำนักข่าวต่างประเทศทั่วโลกเฝ้าติดตามการพบเจรจากันครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ กับ ประธานาธิบดีมุน แจ อินของเกาหลีใต้ ณ หมู่บ้านปันมุนจอม เขตปลอดทหารริมชายแดนของทั้งสองประเทศ ที่สร้างความปีติยินดีให้แก่ชาวโลก โดยเฉพาะชาวเกาหลีใต้และชาวเกาหลีเหนืออย่างยิ่ง เพราะหมายถึงการนำไปสู่สันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี ในขณะที่การเจรจาประวัติศาสตร์ที่สำคัญครั้งนี้ ซึ่งมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก เริ่มต้นขึ้นเมื่อคิม จอง อึน เดินผ่านเส้นแบ่งเขตแดนของสองประเทศ เข้าสู่แผ่นดินเกาหลีใต้ เมื่อเวลา 09.30 น. ของเช้าวันที่ 27 เมษายน 2561 ตามเวลาท้องถิ่น และจับมือกับประธานาธิบดีมุน แจ อิน ด้วยท่าทีที่เปี่ยมด้วยไมตรีต่อกัน
ด้วยความสำคัญของการพบเจรจาครั้งประวัติศาสตร์ ระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือและใต้ ซึ่ง คิม จอง อึน นับเป็นผู้นำโสมแดงคนแรกที่เหยียบแผ่นดินเกาหลีใต้ นับตั้งแต่สงครามเกาหลียุติลงเมื่อปี 1953 หรือ 65 ปีก่อน จึงทำให้ทางการเกาหลีใต้ ในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุม ได้มีความใส่ใจให้ความสำคัญอย่างยิ่งในพิธีการทุกขั้นตอน
นับตั้งแต่สถานที่จัดการประชุม ซึ่งจัดขึ้นที่ ตึกฟรีดอมเฮาส์ (Freedom House) หรือตึกเสรีภาพ ในหมู่บ้านปันมุนจอม ซึ่งเกาหลีใต้ได้มีการปรับปรุงตกแต่งเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างสองผู้นำ อาทิ โต๊ะการประชุม เลือกให้เป็นรูปทรงรี เพื่อต้องการลดระยะห่างระหว่างผู้เข้าร่วมประชุม มีความกว้าง 1,953 มม. ซึ่งเป็นปีของการยุติสงครามเกาหลี และมีความยาว 2018 มม. อันหมายถึงการเจรจาครั้งประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ ที่จัดขึ้นในปี ค.ศ.2018 ในขณะที่เก้าอี้ที่ใช้ในการประชุมนั้น หัวเก้าอี้ยังสลักเป็นรูปคาบสมุทรเกาหลี และภาพวาดตกแต่งภายในห้องประชุม ยังเป็นภาพวาดภูเขากึมกัง ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเกาหลีเหนือ ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของเกาหลีเหนือในจังหวัดคังวอน และทอดตัวยาวไปทางทิศตะวันออกของคาบสมุทรเกาหลี
สำหรับการประชุมครั้งนี้ จะมีทั้งในช่วงภาคเช้าและภาคบ่าย ซึ่งหลังจากจบการประชุมในภาคเช้าแล้ว คณะผู้แทนเจรจาทั้งสองฝ่าย นำโดยผู้นำเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ จะแยกกันรับประทานอาหารเที่ยง ก่อนจะมาร่วมปลูกต้นสนร่วมกัน ในบริเวณเส้นเขตแดน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งดินที่ใช้ในการปลูกต้นสนต้นนี้ยังเป็นดินที่นำมาจากภูเขาแป๊กตู ในเกาหลีเหนือ และภูเขาฮัลลา ในเกาหลีใต้ ในขณะนี้ น้ำที่ใช้รดต้นสนหลังปลูกเสร็จเรียบร้อยยังนำน้ำมาจากแม่น้ำแตดอง ในเกาหลีเหนือและแม่น้ำฮานในเกาหลีใต้ด้วย
จากนั้น ผู้นำเกาหลีเหนือ-ใต้และคณะจะมีการประชุมหารือกันในภาคบ่าย และมีการลงนามในข้อตกลงร่วมกัน ก่อนที่คณะผู้นำเกาหลีเหนือและใต้จะรับประทานอาหารเย็นร่วมกันสังสรรค์ด้วยความชื่นมื่น.