(24 พ.ค.) เมื่อเวลา 19.30 น. หลังจากตำรวจกองบังคับการปราบปราม ได้นิมนต์พระศรีคุณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พระครูสิริวิหารการสมจิตร จันทร์ศรี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยาวรวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และ พระอรรถกิจโสภณ เลขาเจ้าคณะกรุงเทพฯ วัดสามพระยาวรวิหาร มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรก ข้อหากระทำผิด พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค. – 4 มิ.ย. เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น จะต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีก ซึ่งท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้งหมดด้วย
นอกจากพระชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 5 รูปแล้ว พนักงานสอบสวนยังควบคุมตัวฆราวาส อีก 4 คนที่ถูกกล่าวหาร่วมกระทำผิดด้วยคือ “น.ส.ฑัมพร นิพนธ์พิทยา” มารดาของ ร.ท.ฐิติทัศน์ , น.ส.นุชรา สิทธินอก แม่บ้านร่วมรับโอนเงิน 25 ล้านบาท , นายธีระพงษ์ พันธุ์ศรี และนายทวิช สังข์อยู่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับบริษัท ดีดีทวีคูณ ที่รับผลิตสื่อให้กับวัดสระเกศ มายื่นฝากขังครั้งแรกด้วยเช่นกัน
ต่อมาเมื่อศาลพิจารณาคำร้องแล้ว อนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 9 รายได้ ต่อมาทนายความยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด เพื่อขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องทั้ง 9 รายๆ ละ 250,000 บาท รวมเงินประกันทั้งสิ้น 2,250,000 บาท
ล่าสุดเมื่อเวลา 20.20 น. หลังศาลอาญาคดีทุจริตฯ ใช้เวลาพิจารณานานนับชั่วโมง จึงมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัว ผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย โดยศาลพิเคราะห์แล้ว คดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์การกระทำความผิดมีผลกระทบต่อพุทธศาสนาและมีลักษณะเป็นขบวนการ โดยมีการแบ่งหน้าที่ยักย้ายเงินที่ได้มาผ่านทางธนาคาร จึงต้องมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด อยู่ในความครอบครองของผู้ต้องหากับพวก หากให้ปล่อยชั่วคราวแล้วเชื่อว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน เป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้าน จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จึงให้ยกคำร้อง
ภายหลังศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแล้ว ได้ทำการสึกพระชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 5 รูปจากความเป็นพระ โดยถอดผ้าเหลืองแล้วให้สวมชุดขาว โดยอดีตพระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป และฆราวาสอีก 4 รายถูกควบคุมตัวไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง ระหว่างการฝากขังนี้ทันที
(25 พ.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย และ ผู้ดำเนินรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ของ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ทางไทยทีวีสีช่อง 3 กับรายการชูวิทย์ตีแสกหน้า ทางไทยรัฐทีวี ได้โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ผู้ประกาศข่าวช่องเนชั่นทีวี กรณีคลิปตำรวจคอมมานโดกองปราบปราม บุกจับกุม พระสุวิทย์ ธีรธฺมโม หรือ อดีตพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ระบุว่า ตนดูคลิปบุกจับพระพุทธะอิสระ ผู้ต้องหาคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา มีประวัติเป็นแกนนำตั้งม็อบ ปิดถนน ล้อมศูนย์ราชการ ถือ ว. สั่งการ มวลชนขนาบซ้ายขวา ตอนนั้นใครไปแตะกรวยกั้นถนนที่แจ้งวัฒนะ เป็นถูกกระทืบ ความยิ่งใหญ่ยังไม่จางหาย เพราะเดินสายท้าทายไปทั่ว เชียร์สุดลิ่มทิ่มประตูนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกนก ตั้งคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของกองปราบในการบุกจับพระสุวิทย์ เลยขอโอกาสตอบตรงๆ แทน ว่า ทำไมถึงสองมาตรฐาน เทียบกับตำรวจที่ไปจับพระพรหมสิทธิ พระพรหมเมธี พระพรหมดิลก เพราะพระอีกสามรูปไม่เคยไปนำม็อบ ถือ ว. มีลูกน้องพกปืน รุมกระทืบตำรวจสันติบาลจนปางตาย ปล้นทรัพย์ ปิดล้อมถนน สร้างความวุ่นวาย และแอบอ้างสร้างพระ ส่วนภาพจู่โจมดุดัน ใช้รูปแบบกระโชกโฮกฮากหยาบถ่อย ให้ย้อนดูพระพุทธะอิสระ สมัย กปปส. ยังหยาบคายเสียกว่า ตำรวจตะโกนให้หมอบไม่เห็นว่าจะหยาบคายตรงไหน ส่วนที่ว่าดูจากคลิปไม่มีลูกศิษย์หลวงปู่ขัดขวางแม้แต่คนเดียว ขั้นตอนก็เป็นปกติของการจู่โจมตามหมายจับ ขืนชักช้าเดี๋ยวลูกศิษย์ขนมวลชน หรือการ์ดมาเต็มวัด ตำรวจจะกลายเป็นฝ่ายถูกกระทืบเสียแทน เหมือนสองตำรวจสันติบาลที่เคยโดน ใครจะกล้ารับประกัน
นายชูวิทย์ กล่าวว่า คดีอั้งยี่ ซ่องโจร ทำร้ายตำรวจสันติบาล ผ่านมา 4 ปี ทำไมเพิ่งขอศาลออกหมายจับเอาปี 61 นั้น จริงๆ ควรโดนไปเสียตั้งนานแล้ว แต่เรื่องไปค้างอยู่ที่ สน.ทุ่งสองห้อง ไม่มีใครเขากล้าแตะ เพราะรัศมีบารมียังดีอยู่ เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ แต่หลังๆ แต้มบุญสะสมไว้คงเหลือน้อย กองปราบ จึงจัดเต็มให้ น่าจะชม ดันไปด่า ตั้งข้อสงสัย ส่วนที่ว่าเคาะประตูไม่เปิด รอไม่ถึง 3 นาที ก็เอาค้อนทุบนั้น ยังดีที่เคาะประตู จับผู้ต้องหาตามหมายจับยังอุตส่าห์ให้เกียรติเคาะ ถ้าไปจับคนร้าย มือปืน จะเคาะหรือเปล่า อาจโดนยิงสวนมาใครจะรู้ ส่วนที่คอมมานโดต้องแย่งกันตะโกนให้หมอบ นายชูวิทย์ กล่าวว่า “อย่าดัดจริตไปเลย เป็นคอมมานโดไม่ตะโกนสิแปลก แต่ที่แปลกกว่าคือพระขึ้นเวที จับไมค์ กระทืบคน นี่สิครับเรื่องแปลกแท้เกินพระ”
นายชูวิทย์ กล่าวว่า คลิปนี้ถ่ายไว้โดยตำรวจนั้น ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐานมันแปลกอะไร ทีตำรวจเขาโดนกระทืบแล้วถ่ายคลิปมาโชว์ ลูกเมียเขาจะรู้สึกอย่างไร เห็นใจครอบครัวเขาไหม เคยไปถามเขาบ้างหรือเปล่า แล้วที่กองปราบ ต้องการให้ภาพดูแกรนด์อลังการ ทำไมต้องจับพุทธะอิสระ พร้อมพระคดีเงินทอนวัดนั้น ตำรวจเช็คบิลพร้อมกันแล้วมันมีปัญหาตรงไหน ดีเสียอีก จะได้มีข่าวให้นักข่าวอย่างนายกนกได้อ่าน ไม่อย่างนั้นบางวันมันไม่มีข่าวเอาเสียเลย ถึงขนาดต้องเอาข่าวจับงูเหลือม จิ้งจก 2 หัว หรือหมากัดกันมาเป็นข่าว
ส่วนที่ปฏิบัติการนี้ลับสุดยอด แต่ทำไม เจ้าคุณธงชัย (วัดสระเกศ) ไปโผล่สิงคโปร์นั้น นายกนก ก็สงสัยไปเสียทุกเรื่อง ใครรู้ก็ต้องหนีไปตั้งหลัก ลูกศิษย์ลูกหาเป็นตำรวจก็มี พระสุวิทย์ ยังเช็กหมายจับแทบทุกวัน เพราะคดียาวเป็นหางว่าว รู้ตัวก่อนก็เผ่นก่อน ดีที่พระสุวิทย์ไม่รู้ตัว เช็กหมายจับไม่ทัน โดนตลบมุ้งจับแต่เช้า จีวรยังไม่ทันนุ่ง ตอนนี้ต้องทำเป็นนิ่งในคุก เดี๋ยวรอดูอาทิตย์สองอาทิตย์อาการออก ไข้คุกถามหา ออกเยี่ยมไม่เว้นแต่ละวัน แล้วให้ทนายย่องไปขอประกันตัว สงสัยเสียเยอะแยะ ไม่เห็นสงสัยเลยว่า ทำไมนายสุวิทย์บวชแล้วทำตัวไม่เหมือนพระอย่าไปโทษตำรวจกองปราบเลย ป่านนี้นายสุวิทย์ได้ไปสงบจิตสงบใจทำวัตรในคุกเสียบ้าง
นายชูวิทย์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า อดีตพระที่ไปติดคุก เรือนจำจะให้เป็นผู้นำสวด ตอนพระสุวิทย์อยู่ข้างนอกคงไม่ได้สวด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าจะลืม ขอฝากไว้จากอดีตคนคุกเด็กวัด กรรมใดใครก่อไว้ ก็ต้องรับไป
วันที่ 24 พ.ค. ภายหลังศาลไม่ให้ประกันตัวพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ผู้ต้องหาที่ถูกนำตัวฝากขังในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ อั้งยี่ ซ่องโจร และอีกสำนวนคือ “ปลอมพระปรมาภิไธย”
ทั้งนี้ คดีมีการ ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.60 นายวิชัย ประเสริฐสุดสิริ ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ที่นำอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. และอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. มาประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องโดยไม่ได้รับพระราชทาน พระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 โดยนายวิชัย ผู้กล่าวหา ได้ตรวจพบทางเว็บไซต์ว่าพระเครื่องดังกล่าว มีการสร้างเมื่อช่วงเข้าพรรษาปี 2554 บรรจุปรอทเมื่อวันที่ 15 ส.ค.2554 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่สร้างพระสำเร็จ ผู้กล่าวหาเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, ปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 250, 252
โดยมีการสอบสวนพยานบุคคล พร้อมทั้งตรวจสอบไปยัง สำนักพุทธศาสนา ยืนยันตรงกันว่า ผู้ต้องหาไม่ได้รายงานขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ตามกฎระเบียบของมหาเถรสมาคม และจากการสอบสวนพยานบุคคลเจ้าหน้าที่ กรมราชเลขานุการในพระองค์ ยืนยันว่าผู้ต้องหาไม่ได้ขออนุญาตใช้พระปรมาภิไธยย่อ และอักษรย่อพระนามาภิไธย ตามพฤติการณ์และพยานหลักฐาน จึงยืนยันว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้สร้างพระนาคปรก อุดปรอท รุ่นหนึ่งในปฐพี ที่เป็นปัญหาในคดีนี้จริง โดยไม่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญอักษรพระปรมาภิไธย และอักษรพระนามาภิไธยย่อ ไปประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องดังกล่าว เหตุเกิดที่วัดอ้อน้อย ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ระหว่างปี 2554 – 15 ส.ค.2554
พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาฐาน “ปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 250, 252 ในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยขอให้การในชั้นศาล ขณะที่การฝากขังคดีนี้ พนักงานสอบสวนระบุว่า หากผู้ต้องหาขอปล่อยชั่วคราวในชั้นศาล ก็ขอให้เป็นดุลยพินิจของศาล
ทั้งนี้ ศาลอาญาพิจารณาคำร้องฝากขังทั้ง 2 คดีแล้ว ผู้ต้องหาไม่คัดค้าน อนุญาตให้ฝากขังได้ทั้ง 2 สำนวน
ก่อนที่ศาลจะพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง มีผู้ร่วมกระทำผิดหลายคน เกรงว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยาน จึงไม่อนุญาตให้ประกันตัว ทำให้พระพุทธะอิสระต้องสึกจากการเป็นพระทันที.
นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำเสื้อแดง เผยความรู้สึก กรณีที่อดีตคู่อริเก่า อย่างพระพุทธะอิสระ เข้ามาเป็นเพื่อนใหม่ร่วมแดนเดียวกันในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
"ทุกวันนี้ผมมีแต่ความเมตตา ไม่ได้ไปย้อนนึกถึงอดีตที่ใครเคยทำอะไรกับเราไว้ ยิ่งต้องเข้ามาอยู่ในคุก ยิ่งรู้ว่าเราต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำความเข้าใจเรียนรู้กัน ในฐานะที่ผมอยู่มาก่อน ผมเห็นความไม่แน่นอนของอะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะกับมนุษย์อย่างเราๆ วันนึงสูง วันนึงต่ำได้ เมื่อวันนี้โชคชะตานำพาให้ พระพุทธะอิสระ ต้องเข้ามาอยู่ด้วยกันที่นี่ ก็พร้อมจะดูแลอย่างดี ช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่ได้ประชดหรือมีความในอย่างอื่นแฝง" นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าว
ก่อนหน้านี้เคยถูกพุทธะอิสระ ยื่นถอนประกันตัว ไม่โกรธเหรอคะ?
ลืมไปหมดแล้ว อันไหนที่ยังจำก็พยายามลืม ไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องขุ่นมัวในใจ ทุกคนที่มาติดอยู่ในนี้ไม่ได้มีความสุขอะไร เราจึงต้องแสวงหาความเข้าใจซึ่งกันและกัน เมื่อวานรู้ว่าจะต้องมีคนเข้ามาอยู่ในเรือนจำก็ไปซื้อยาสีฟันและแปรงสีฟันรวมถึงของใช้ เพราะรู้ว่า ผู้ต้องขังที่ถูกส่งมาตอนกลางคืน คงไม่ได้เตรียมความพร้อมอะไรไว้ จึงซื้อของเตรียมไว้ให้ ตอนเช้าก็เตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว
ขณะที่ นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา ผู้ประกาศช่อง TV24 สถานีประชาชน ได้พูดด้วยว่า "เมื่อเช้านี้พี่โต๋ ภรรยาของพี่ตู่ เข้าไปเยี่ยมพี่ตู่มาค่ะ พี่ตู่เขาไม่ได้โกรธ หรือแค้นอะไรเลยสักนิด เขาอยู่ในนั้น เขาปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ นี่เขาก็สั่งให้ญาติเตรียมอาหารส่งเข้าไปให้ทานกัน ทุกคนเข้าใจว่าเมื่อถึงเวลาทุกข์ ไม่มีใครมาทุกข์กับเราด้วย เมื่อถึงคราวที่พลาดพลั้งล้มลง จะไม่ซ้ำไม่เหยียบใคร เรายินดีจะประคองกันไป นี่เป็นความจริงที่พี่ตู่ ตั้งใจทำ และทำมาตลอดตั้งแต่เข้าไปอยู่ในนั้นค่ะ
(25 พ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีเงินทอนวัด ว่า ยังมีภารกิจบางส่วนที่ยังไม่เรียบร้อย อาทิ การติดตามเป้าหมายที่ยังไม่ได้ตัวอีก 2 ราย คือ พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ และ พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม อยากให้ทั้ง 2 รูป มามอบตัวดีกว่า เพราะเคยมีคุณงามความดี แต่ไม่ขอกล่าวรายละเอียดคดี เพราะยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ทั้งนี้ ในการตรวจค้นวัดทั้ง 3 แห่งเมื่อวานนี้ พบหลักฐานอื่นๆ ด้วย มีทั้งที่ไม่เหมาะสมกับสมณเพศ แต่ไม่ขอเปิดเผย อยู่ระหว่างพิจารณาว่าต้องนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมหรือไม่
“อยากบอกให้ทราบว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่ทำมีเพียงเรื่องเดียว คือ ต้องบังคับใช้กฎหมาย เพราะมีความไม่งดงามในสมณเพศ ทำให้พระพุทธศาสนาเสียหาย คนทำงานก็ตระหนักว่าขณะนี้กำลังดำเนินคดีกับพระ อะไรที่ไม่ถูกต้องไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนเจ้าหน้าที่ก็ไม่ทำ แค่คิดก็ไม่ดีแล้ว มันบาป สิ่งเหล่านี้เจ้าหน้าที่ตระหนักอยู่ ยืนยันว่า ทั้งหมดเป็นการดำเนินการภายใต้ข้อมูลของตำรวจที่มี” ผบช.ก. กล่าว และว่า ตำรวจทำอะไรก็ตระหนักเสมอว่ายังมีลูกศิษย์ลูกหาของพระแต่ละรูปที่ยังมีความศรัทธาอยู่
พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า ส่วนการติดตามจับกุมพระอีก 2 รูปที่หลบหนีนั้น ยืนยันว่า ทั้ง 2 ท่านยังอยู่ในประเทศไทย ตอนนี้ก็ใช้วิธีการเจรจาพูดคุยกับคนใกล้ชิด ซึ่งตำรวจก็ให้เกียรติท่าน ได้มีโอกาสมอบตัว เพราะน่าจะเป็นสิ่งที่งดงามมากกว่า ไม่ขอเปิดเผยว่ามีการประสานอย่างไร เอาเป็นว่ามีการเจรจาประสานระหว่างกัน แต่ยืนยันตนขอให้มามอบตัว ตอนนี้จากการพยายามหาตัวทั้ง 2 ท่าน และการเจรจาที่เกิดขึ้น มีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดี อยากให้ท่านมาพิสูจน์ทราบตัวเอง จะได้เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หากท่านยังหลบหนีอยู่ก็เสียความเป็นตัวท่านเอง เพราะคนหลายคนก็เคารพท่านอยู่ มาต่อสู้ความจริงไปดีกว่า
สำหรับการขยายผลนั้น พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ขอลงรายละเอียด แต่อยากให้มองว่าสิ่งที่ทำเป็นเรื่องระบบ เป็นเรื่องหลักการใหญ่ๆของประเทศ เพราะศาสนาเป็นสถาบัน เป็นเสาหนึ่ง ใน 3 เสาหลักของประเทศ คือ ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ ถ้ามีผู้นำความไม่งดงามมาสู่ 3 เสาหลัก ก็ไม่ดี
“สิ่งที่ตำรวจสอบสวนกลางกำลังทำ คือ ทำสิ่งนี้ให้มั่นคง อยากให้เป็นที่พึ่งของประชาชนจริงๆ ยอมรับ พระมีหลายรูปแบบที่ตรวจสอบพบ บางรูปก็นอกลู่นอกทาง แสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ ในกลุ่มศิษยานุศิษย์ก็มีด้วย คนที่ติดตามข่าวก็ต้องติดตามอย่างมีสติ ย้ำว่า ตำรวจดำเนินการโดยเอาพยานหลักฐานเป็นตัวตั้ง ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือเหตุผล ไม่ได้เลือกปฏิบัติ ใครผิดก็ต้องถูกดำเนินคดี ขอให้แยกแยะ” ผบช.ก. กล่าว
พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวด้วยว่า วันนี้ได้ขออนุมัติหมายค้นเพิ่มเติมอีก 2 จุด คือ ในวัดสระเกศ และ วัดสัมพันธวงศ์ เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เมื่อวานเป็นเพียงการเริ่มต้น แค่ขั้นตอนแรก หลังจากนี้ คงมีอะไรทำอีกเยอะ ใครก็ตามที่ไม่ดี หมายรวมถึงพระด้วยก็ต้องดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่ขอเปิดเผยว่ายังมีใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอีกบ้าง ต้องขยายผล ตอนนี้เพิ่งเริ่มต้น
เมื่อถามว่า นี่คือ ปฏิบัติการจัดระเบียบสงฆ์ หรือไม่ ผบช.ก. กล่าวว่า เป็นภารกิจของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ในส่วนของตำรวจ คือ การบังคับใช้กฎหมาย เป็นหน้าที่ของ ทั้ง พศ. และ มส. ในการเพิ่มศรัทธาให้กับประชาชน
พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวถึงปฏิบัติการจับกุมอดีตพระพุทธะอิสระ ที่ถูกวิจารณ์ว่า เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุว่า ก็ว่ากันไป แต่ตำรวจก็ให้เกียรติในฐานะที่ครองจีวร บางทีการทำงานก็ต้องระมัดระวัง เจ้าหน้าที่ต้องระวังตัวด้วย ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของทุกฝ่าย อาจมีสถานการณ์แทรกซ้อน อาจมีใครทำอะไรในสถานที่นั้นก็ได้ ไม่มีใครอยากให้เกิดการเจ็บ การตาย จากการปฏิบัติหน้าที่ หากมีกระสุนสักลูกโผล่มาก็ต้องมานั่งไล่เรียงกันอีกว่ามาจากใคร จากเจ้าหน้าที่หรือเปล่า
“ที่ผ่านมา อดีตพระคนนี้ไปไหนมาไหน มีการ์ด มีคนคุ้มกันมากมาย เจ้าหน้าที่ก็ต้องระวัง ประกอบกับช่วงปฏิบัติการเป็นช่วงเช้ามืด สถานที่ก็กว้างและในทางยุทธวิธี จุดที่เข้าไปเป็นพื้นที่ที่สถาปนาโดยฝ่ายตรงข้าม เราหมายถึงเจ้าหน้าที่ไม่คุ้นชิน ไม่รู้ว่ามีใครอยู่ตรงไหน อย่างไร ก็ต้องยกกำลังไปเพื่อความปลอดภัย แต่สุดท้ายภารกิจก็ลุล่วงไม่มีการสูญเสียใดๆ อาจไม่ถูกใจใครบางคน แต่ก็ขอให้เข้าใจเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย หากมีการเจ็บการตายเกิดขึ้น เรื่องราวก็จะไม่ง่ายอย่างนี้ ยอมรับว่า ผมไม่สามารถอธิบายยุทธวิธีให้ทุกคนทราบได้ มันเป็นหลักของความปลอดภัย ทั้งต่อเป้าหมายและต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เรื่องนี้ถูกยุทธวิธี แต่อาจไม่ถูกใจ” ผบช.ก. กล่าว