ข่าว
สะพานเหล็กแทบเเตก! คนแห่ซื้อของหวิดชุลมุน

หลังมีกระเเสข่าวว่า ผู้ค้าหลายรายได้นำสินค้าออกมาขายในราคาต่ำกว่าทุน ก่อนที่ตลาดจะถูกดำเนินการรื้อถอน เนื่องจากทางคณะกรรมการผู้จัดระเบียบพื้นที่คลองโอ่งอ่างได้ทำการประชุมร่วมกันและมีความเห็นว่ากรณีที่ผู้ค้าขอขยายระยะเวลาในการรื้อถอนออกไปถือเป็นการประวิงเวลาไม่ยอมออกจากพื้นที่กทม.จึงมีมติไม่ขยายเวลาในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ค้าโดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักประชาชนที่ต่างแห่กันมาซื้อสินค้าราคาถูกจำนวนมาก.

ทั้งนี้ จากที่มีกระเเสข่าว การลดราคา เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ที่ผู้ค้าตลาดสะพานเหล็กนำสินค้าออกมาตั้งหน้าร้านพร้อมลด ราคามากกว่าปกติ อาทิ ของเล่นเด็ก , อุปกรณ์เครื่องเล่นเกม จากราคาปกติชิ้นละ 400 – 500 บาท เหลือ 80 – 100 บาท ส่วนที่ราคาปกติ 100 บาท เหลือ 10 บาท อีกทั้งอุปกรณ์หูฟังราคาปกติ 200 กว่าบาท เหลือราคาเริ่มต้นที่ 10 บาท ทำให้บรรยากาศที่ตลาดสะพานเหล็กเต็มไปด้วยลูกค้าที่มาเลือกซื้อสินค้าราคาถูกพิเศษครั้งนี้ เป็นกระเเสข่าวจนเเชร์สนั่นไปทั่ว

แต่วันนี้ ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ได้ลงพื้นที่สำรวจ พบว่า มีประชาชนจำนวนมากต่างเดินทางมาที่ย่านการค้าสะพานเหล็กจริง ประชาชนเป็นจำนวนมากต่างเบียดเสียดกันเดินเลือกซื้อสินค้า และอุปกรณ์ของเล่นของใช้ โดยเฉพาะอุปกรณ์เกมส์จนการเดินเลือกซื้อเป็นไปด้วยความลำบาก โดยเฉพาะตั้งแต่เวลา 14.00 น. - 17.00 น. บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก เนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่แออัดกันทั่วบริเวณ จนเกิดความชุลมุนในบางจุด ไม่สามารถเดินไปต่อได้ ได้ยินเสียงตะโกนขอทางบ่อยครั้ง ขณะที่บางคนยอมเดินทางกลับเพราะอึดอัดจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว

ทั้งนี้จากการสำรวจราคา โดยการสอบถาม หลายคนเปิดเผยว่า อุปกรณ์และขอเล่นหลายอย่างลดราคาจากปกติจริง ขณะที่บางคนก็เปิดเผยว่า แม้จะลดราคาจริง แต่ หลังมีกระเเสข่าวการเลหลังขายขาดทุน จนประชาชนมาเลือกซื้อจนแน่นขนัด ทำให้บางร้าน เพิ่มราคาขายขึ้นมาอีกนิดหน่อย จากราคาที่ประกาศหรือเคยขายไว้เมื่อวาน

ด้าน ผู้ค้าตลาดสะพานเหล็ก ยอมรับว่า ต้องเร่งระบายสินค้าที่สั่งมาไว้เพื่อจำหน่ายช่วงปีใหม่ เพราะ กทม. มีมติไม่รับข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ค้าที่ขอขยายเวลาระบายสินค้าออกไปอีก 3 เดือน ส่วนพื้นที่ใหม่ 2-3 แห่ง ที่ กทม. จัดไว้ให้ ได้เข้าไปดูพื้นที่มาแล้ว พบว่า เป็นทำเลที่ไม่ค่อยมีลูกค้า จึงยังไม่รู้จะย้ายไปทำธุรกิจต่อที่ไหน

ขณะที่เจ้าหน้าที่เทศกิจของ กทม.ตรึงกำลังอยู่ทุกพื้นที่ โดยเจ้าหน้าที่ยังคงเดินหน้ารื้อพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

คอนเสิร์ต สุเทพ – ชรินทร์ ไทยแลนด์พลาซ่า 30 ต.ค.

สุเทพ วงศ์กำแหง กับ ชรินทร์ นันทนาคร สองศิลปินแห่งชาติ โคจรมาพบกัน เป็นครั้งแรก ร่วมร้องเพลงเดียวกัน หลังจากที่ไม่เคยโชว์ด้วยกันมานานกว่า 40 ปี ทั้งสองนักร้องขวัญใจชาวไทยทั่วประเทศ มั่นใจว่าจะให้ความสุข แก่แฟนเพลง มากที่สุด

เพ็ญพิมพ์ จิตรธร ผู้จัดคอนเสิร์ต สองนักร้องผู้ยิ่งใหญ่ ให้มาพบกันที่แอลเอ. เผยว่าเมื่อครั้งที่เธอนำศิลปินไทยในแอลเอ. พร้อมด้วยวงดนตรีชาวอเมริกัน ไปโชว์คอนเสิร์ตในประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเชิญ สุเทพ วงศ์กำแหง ชรินทร์ นันทนาคร ชาลี อินทรวิจิตร วินัย พันธุรักษ์ และ ธรรมรัตน์ นาคสุริยะ ไปทานข้าว ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง จึงได้มีการพูดคุยให้สองศิลปินมาพบกันสักครั้งในอเมริกา เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา นักร้องทั้งสองท่านไม่เคยร้องเพลงด้วยกันเลย จึงอยากให้ได้มาร้องเพลงเดียวกันในคอนเสิร์ต “คืนกระจ่างฟ้า” ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากศิลปินทั้งสอง

คอนเสิร์ต “คืนกระจ่างฟ้า” กำหนดโชว์ที่ไทยแลนด์พลาซ่า ในคืนวันศุกร์ที่ 30 ต.ค. 2558 โดยสุเทพและ ชรินทร์ จะผลัดกันร้องเพลง คนละช่วง ในตอนแรก และมีโชว์ที่น่าสนใจคือ การแสดงของ “ทิฟฟานี่” ที่โด่งดังในประเทศไทย จะโชว์ลีลาการร้องและเต้น ที่น่าตื่นตาตื่นใจถึง 3 ชุด และในช่วงสุดท้ายของรายการ สุเทพ วงศ์กำแหง กับ ชรินทร์ นันทนาคร จะขึ้นเวทีพร้อมกัน ร้องเพลงเดียวกัน รวมทั้งร้องเพลงคู่กับนักร้องหญิง ของแอลเอ.

หลังจากเสร็จสิ้นการโชว์ที่แอลเอ.แล้ว สุเทพ วงศ์กำแหง ก็จะนำผ้ากฐินพระราชทาน ไปทอดที่วัดไทยในฟลอริด้า ส่วน ชรินทร์ นันทนาคร ยังมีคอนเสิร์ตที่ต้องไปโชว์ต่อ ที่ลาสเวกัส และฮิวสตัน เท็กซัส และยังมีโปรแกรมไปที่อื่นๆอีก เป็นเวลา 2 เดือน ผู้ที่จะติดต่อ ชรินทร์ นันทนาคร โทรฯ ติดต่อได้ที่ เพ็ญพิมพ์ จิตรธร (323) 606-2139 และ (323)993-9000

เพ็ญพิมพ์ จิตรธร ขอเชิญชวนชาวไทยในแอลเอ. ไปให้กำลังใจและรับฟังบทเพลงอันไพเราะจาก สองศิลปินแห่งชาติ ผู้เป็นขวัญใจแฟนเพลงชาวไทย ทุกๆวัย นานกว่า 50 ปีแล้ว เพราะครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่จะได้ชมและฟัง นักร้องทั้งสองท่านร้องร่วมกันบนเวทีเดียวกัน.


'ปู' ปัดสั่งมวลชน ใส่เสื้อแดง 1 พ.ย.

"วิม" เผย "ปู" ปัดสั่งการปลุกมวลชนใส่เสื้อแดงให้กำลังใจ สู้คดีโกงข้าว 1 พ.ย. โวชาวบ้านยังให้การต้อนรับดี สังเกตจากการลงพื้นที่ทำบุญต่างจังหวัด ...

เมื่อวันที่ 23 ต.ค.58 นายวิม รุ่งวัฒนจินดา คณะทำงานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีการเชิญชวนประชาชนให้สวมเสื้อสีแดง ในวันที่ 1 พ.ย. เพื่อให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อสู้คดีโครงการรับจำนำข้าว ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ไม่ทราบว่าใครทำ ดูแล้วเหมือนเป็นการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความแตกแยกมากกว่า

ส่วนเรื่องความไม่ยุติธรรมในการต่อสู้คดีดังกล่าวนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทราบดีว่าประชาชนรับรู้ สังเกตได้จากการลงพื้นที่ไปทำบุญตามจังหวัดต่างๆ ประชาชนยังให้การต้อนรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นอย่างดี เหมือนในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ขณะเดียวกันยังมีการเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับมาบริหารประเทศ เพื่อจะได้ช่วยเหลือคนจนด้วย


'คสช.' ปรามอย่าปลุกกระแส แต่งแดงให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์

"คสช." ฮึ่มกระแสชวนแต่งแดง 1 พ.ย. ให้กำลังใจ "ยิ่งลักษณ์" เตือนระวังแสดงออกช่วงเวลาพิเศษ วอนอย่าปลุกระดม หวั่นถูกมองเป็นสัญลักษณ์การเมือง ย้ำจนท.ต้องเดินหน้าตามแนวทางคสช.

เมื่อวันที่ 23 ต.ค.58 พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.พรรค เพื่อไทย ปลุกระดมทางโซเชียลมีเดียนัดใส่เสื้อแดงในวันที่ 1 พ.ย. นี้ เพื่อให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า กรณีดังกล่าวต้องการเชิญชวนเพื่อให้กำลังใจ แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นไปได้ที่อาจทำให้ถูกสังคมมองว่า เป็นความพยายามที่จะแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ จนถูกตีความว่าเป็นเรื่องการเมือง ดังนั้นการแสดงออกใดๆ ช่วงนี้ ยังคงต้องระมัดระวัง เพราะบางครั้งอาจจะส่งผลในเชิงทางความรู้สึกในมุมต่างๆ ต่อกลุ่ม หรือบุคคลอื่นๆ ได้ ซึ่งไม่อยากให้มองแต่เพียงเรื่องจำกัดสิทธิ์หรือไม่ แต่ขอให้มองว่าเป็นเรื่องการขอความร่วมมือเพื่อความเรียบร้อยภายใต้ช่วงเวลาพิเศษ ที่ผ่านมาในหลายๆ กลุ่มก็ได้ให้ความร่วมมือ คสช. มาเป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม การแสดงออกลักษณะดังกล่าว คงต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจ และมุมมองของเจ้าหน้าที่ว่าจะพิจารณา อย่างไรตามความมุ่งหมาย ที่อยากดูแลให้สังคมเกิดความสงบเรียบร้อย ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ ด้วย โดยขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดใดๆ เพราะอยู่ในช่วงเป็นกระแสข่าว หากมีการเชิญชวนในลักษณะปลุกระดมจริง ทางเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องดำเนินการตามแนวทางที่ คสช. เคยขอความร่วมมือไว้


กรธ.ไม่ตั้งองค์กรคุมสื่อ ย้ำเคารพสิทธิ-เสรีภาพ

"กรธ." ยัน ไม่คิดตั้งองค์กรคุมสื่อสังคมออนไลน์ ระบุเคารพเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นทุกประการ นัดประชุม 26 ต.ค. ถกโครงการฝ่ายนิติบัญญัติ ยังไม่สรุปที่มา "นายกฯ-คปป."

เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 58 นายนรชิต สิงหเสนี โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในหมวดสิทธิเสรีภาพของ คณะ กรธ. ไม่ได้มีเจตนารมณ์ และไม่ได้มีความคิดที่จะควบคุมสื่อมวลชน หรือตั้งองค์กรใหม่มาทำหน้าที่คุมการใช้โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะเฟซบุ๊กนั้น โดย กรธ. ได้หารือกันถึงเรื่องสิทธิ-เสรีภาพสื่อมวลชนแล้ว และเห็นควรบัญญัติว่า เสรีภาพของบุคคลผู้ประกอบอาชีพสื่อมวลชน ในการเสนอข่าวสารย่อมได้รับการคุ้มครอง การเซ็นเซอร์ข่าวสารก่อนตีพิมพ์โดยเจ้าหน้าที่รัฐนั้นเป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ ซึ่งเป็นหลักการที่อยู่ในรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่อง

"กรรมการร่างรัฐธรรมนูญมีความเข้าใจเรื่องนี้อย่างดีว่า เสรีภาพสื่อสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตย และทาง 4 องค์กรสื่อก็ได้มายื่นเสนอความคิดเห็นในเรื่องนี้แล้ว และเราก็ได้นำมาประกอบการพิจารณาเหมือนกันกับข้อเสนออื่นๆ" นายนรชิต กล่าว

นายนรชิต กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์นั้น กรธ.เคยมีการตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อนำเสนอข่าวสาร และแสดงความคิดเห็น ไม่ได้มีกรอบจรรยาบรรณเหมือนสื่อมวลชน แต่ที่สุดแล้ว กรธ.ไม่ได้มีการหารือ หรือมีดำริแม้แต่น้อยว่าจะสร้างกลไกควบคุมโซเชียลมีเดีย

"ไม่มีประเด็นเรื่องสร้างกลไกควบคุมอะไรทั้งสิ้น จึงขอเรียนมาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิดกันต่อไป กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ คำนึงถึงเสรีภาพ และเรื่องสื่อเป็นสำคัญ" นายนรชิต กล่าว

นายนรชิต กล่าวต่อว่า ส่วนการทำงานของ กรธ.ในเวลานี้ ยังไม่ได้มีการพิจารณาเนื้อหาเกี่ยวกับที่มาของนายกรัฐมนตรี ว่า จะต้องเป็น ส.ส. หรือมาจากคนที่ไม่ได้เป็น ส.ส. รวมทั้งเรื่อง คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) โดย กรธ.จะประชุมครั้งต่อไป ในวันที่ 26 ต.ค. นี้ ส่วนเรื่องระบบการเมืองในส่วนของฝ่ายนิติบัญญัติ ก็จะเปิดให้สื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังการพิจารณาของ กรธ.ด้วย

"มาร์ค"รับ ไม่สบายใจ ลูกพรรคสาวไส้กันเอง

วันนี้ (22 ต.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงปัญหาการโต้ตอบระหว่างสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ว่าต้องยอมรับว่าคงไม่มีใครสบายใจ ที่มีการตอบโต้กันและเป็นคนในพรรคเดียวกันเพราะทำให้เกิดความสับสนในหมู่ประชาชน

ปกติการประสานงานระหว่าง กทม.กับ ส.ส.เวลามีการประชุมพรรคจะมีการเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมารวมด้วย โดยในช่วงหลังมีฝ่ายบริหารมาร่วมประชุมกับ ส.ส.เพื่อให้รับรู้รับทราบปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นรวมถึงเรื่องร้องเรียนที่ได้รับมา แต่เมื่อสถานการณ์ปัจจุบันมันไม่มีการประชุม ขณะที่อดีต ส.ส.ในพื้นที่ได้รับเรื่องร้องเรียนมาทำให้ไม่มีช่องทางในการแสดงออก จึงทำให้เกิดเหตุขึ้น อย่างไรก็ตาม ตนถือว่านายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.พรรค ก็มีหน้าที่ในการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม โดยทั้งสองคนยืนยันกับตนว่าไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งอะไรใดๆ ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า กรณีประเด็นของเรื่องกล้องซีซีทีวีนั้น ตนยังไม่ได้มีโอกาสพบกับผู้ว่าฯ กทม. แต่คิดว่าสิ่งที่ผู้ว่าฯ จะต้องทำคือต้องไปดำเนินการให้เกิดความชัดเจนว่าปัญหามันอยู่ตรงไหนอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของกล้องวงจรปิดซึ่งในขณะที่เกิดเหตุในบริเวณที่มีการขอภาพกันนั้นมันมีกล้องจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้มีการส่งมอบตามสัญญาแต่ตนก็จะหาโอกาสพูดคุยกับผู้ว่าฯกทม.ให้ช่วยติดตามว่าจะช่วยอะไรแก่ผู้เสียหายได้บ้างทั้งการติดตามความคืบหน้าคดีและอำนวยความสะดวกเรื่องภาพหรือในเรื่องอื่นๆขณะเดียวกัน ต้องทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องของกล้อง CCTV ด้วย เพราะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันหลายเรื่อง การที่ไม่อยากจะให้เป็นสงครามวาจานั้นถูกต้องแล้ว แต่ต้องมีการตรวจสอบเพื่อให้ข้อมูลต่อประชาชน

ส่วนกรณีของนายวิลาศ ที่จะยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. และปปง.ตรวจสอบรองผู้ว่าฯ กทม.นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนได้คุยกับนายวิลาศแล้ว เขาก็สามารถทำได้หากมีข้อมูลหลักฐาน แต่ตนได้เตือนว่าการพูดอะไรต้องให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการด้วย เพราะมีการพาดพิงถึง ผอ.เขตบางกอกใหญ่ ส่วนเรื่องการขอใบอนุญาตนั้นตนเคยคุยกับผู้ว่าฯ กทม. ไปก่อนหน้านี้แล้วว่าได้รับเรื่องร้องเรียนทำนองนี้ค่อนข้างมาก และเมื่อรัฐบาลได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางราชการ ตนอยากให้ กทม. รื้อระบบตรงนี้เพราะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มาก

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งภายในพรรค หรือกับกลุ่ม กปปส. หลายคนที่ไปร่วมกับ กปปส.ก็ยังเป็นสมาชิกพรรคฯ อยู่ ยกเว้นกรณีของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชน ที่ระบุว่าจะไม่หวนกลับมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ส่วนบุคคลอื่นก็ไม่เคยมีการปิดกั้นอะไรอยู่แล้ว ที่ผ่านมาต่างก็ทำหน้าที่ในเป้าหมายเดียวกัน คืออยากเห็นการปฏิรูปประเทศ และการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบอบทักษิณ ดังนั้น ตราบเท่าที่อุดมการณ์มุ่งไปสู่การปฏิรูปประเทศก็ไม่มีปัญหา ตนยืนยันและขอปฏิเสธว่าพรรคไม่ได้ไปกีดกันคนที่เคยอยู่ที่ กปปส.แต่อย่างใด