ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบทั้งหมดในปี 2569 โดยเฉพาะประเทศไทย และสิงคโปร์ ที่ถูกปรับลดลงอย่างมาก ขณะที่เวียดนามเป็นประเทศเดียวที่ได้รับการปรับเพิ่มเล็กน้อยในปีนี้
รายงานของ ADB เมื่อวันอังคารที่ 30 กันยายน 2568 ระบุว่า การปรับลดคาดการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึง การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนทางการค้า และปัญหาภายในประเทศ ซึ่งส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค โดยคาดว่าแรงกระตุ้นจากมาตรการทางภาษีศุลกากรที่เคยเอื้อต่อภาคส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกจะเริ่มหมดลงในระยะต่อไป
ADB ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะขยายตัวเพียง 4.3% ในปีนี้และปีหน้า ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 4.7%
สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของภูมิภาค ADB ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตลงอย่างมาก โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 2% ในปี 2568 จากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 2.8% และคาดว่าในปี 2569 จะเติบโตเพียง 1.6% จากเดิมที่คาด 2.9% ซึ่งถือเป็นการหั่นคาดการณ์ลงเกือบครึ่งหนึ่ง
ADB ชี้ว่าไทยได้รับผลกระทบจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยเฉพาะ ความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าในระดับสูงถึง 19% ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อภาคการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักร โลหะ อาหารแปรรูป และยานยนต์ ซึ่งเป็นสินค้าหลักของไทย
ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งมีสัดส่วนประมาณหนึ่งในแปดของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ยังฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนกลับมาไม่เต็มที่ อีกทั้งยังเผชิญการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค และผลกระทบจากค่าเงินในประเทศอื่นที่อ่อนค่าลง
ADB ยังระบุว่า ภาคบริการและการบริโภคในประเทศอ่อนแรงลง จากรายได้ประชาชนที่ลดลง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังเปราะบาง หนี้ครัวเรือนในระดับสูง และราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ ส่งผลให้รายได้ภาคเกษตรหดตัว
นอกจากนี้ ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และอาจส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนในระยะยาว
ADB สรุปว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มเติบโตชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดไว้ โดยมีปัจจัยกดดันจาก ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่สูงเกินคาด การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ล่าช้า และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคุกรุ่น ซึ่งทั้งหมดล้วนซ้ำเติมความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยในระยะกลาง
ทำเนียบขาวประกาศว่า สหรัฐฯ เตรียมปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางจำนวนมากภายใน 2 วัน หากยังไม่มีข้อตกลงยุติภาวะชัตดาวน์ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี ขณะที่ทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครตยังคงโยนความผิดให้กันและกัน
การปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หรือ "ชัตดาวน์" ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (1 ต.ค.) หลังเส้นตายที่สมาชิกรีพับลิกันและเดโมแครตในสภาคองเกรสไม่สามารถตกลงแผนการใช้จ่ายงบประมาณใหม่ได้
ในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อบ่ายวันพุธ รองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ ได้เข้าร่วมการแถลงข่าวพร้อมกับ แคโรลีน ลีวิตต์ โฆษกประจำทำเนียบขาว โดยได้กล่าวโทษพรรคเดโมแครตว่ากำลังเล่นเกมการเมือง ลีวิตต์ กล่าวเตือนว่า การเลิกจ้างเจ้าหน้าที่รัฐบาลครั้งใหญ่ กำลังจะเกิดขึ้นภายในสองวัน "บางครั้งคุณต้องทำในสิ่งที่คุณไม่อยากทำ" เธอกล่าว พร้อมเสริมว่า "เดโมแครตทำให้เราต้องตกอยู่ในสถานการณ์นี้"
ด้านรองประธานาธิบดี แวนซ์ กล่าวว่า "หากพวกเขากังวลมากเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชาวอเมริกัน และพวกเขาก็ควรจะกังวล สิ่งที่พวกเขาควรทำคือการเปิดหน่วยงานรัฐบาลใหม่ ไม่ใช่มาบ่นเกี่ยวกับวิธีที่เราดำเนินการ"
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการปิดหน่วยงานครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อพนักงานรัฐบาลกลางที่ไม่จำเป็น ประมาณ 40% หรือราว 750,000 คน ให้ต้องถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งคาดว่าจะมีขนาดใหญ่กว่าการปิดหน่วยงานในปี 2561
พรรคเดโมแครตต้องการการรับประกันเรื่องงบประมาณด้านการดูแลสุขภาพ สำหรับชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อย ก่อนที่จะตกลงเรื่องแผนการใช้จ่าย พวกเขาอ้างว่าความพยายามในการเจรจาต่อรองกับพรรครีพับลิกันเกี่ยวกับผลประโยชน์ด้านสุขภาพยังไม่ประสบความสำเร็จ
พรรครีพับลิกัน: ซึ่งควบคุมทั้งสองสภาแต่ไม่มีเสียง 60 เสียงที่จำเป็นในการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณ ต้องการใช้มาตรการชั่วคราว เพื่อให้รัฐบาลเปิดทำการไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน โดยใช้เงินทุนในระดับปัจจุบัน
วุฒิสมาชิก จอห์น ทูน จากรีพับลิกัน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา กล่าวว่า "มันไม่ใช่เรื่องว่าใครแพ้หรือใครชนะ หรือใครจะถูกตำหนิ มันเกี่ยวกับชาวอเมริกัน และเดโมแครต ได้จับชาวอเมริกันเป็นตัวประกันในแบบที่พวกเขาคิดว่าได้ประโยชน์ทางการเมือง" พรรครีพับลิกันยังอ้างว่าการขยายสวัสดิการสุขภาพที่เดโมแครตต้องการจะทำให้ผู้เสียภาษีต้องเสียเงินมากขึ้น
และเป็นสิ่งที่ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับความซับซ้อนในยุคโควิด-19 ที่ปัจจุบันไม่มีอีกแล้ว
ในขณะนี้ มีการคาดการณ์ว่าเจ้าหน้าที่ที่มีความจำเป็น เช่น เจ้าหน้าที่ชายแดนและทหาร อาจถูกบังคับให้ทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างไปก่อน แต่ในอดีตเจ้าหน้าที่เหล่านี้มักจะได้รับเงินย้อนหลังเมื่อรัฐบาลเปิดทำการอีกครั้ง คาดว่าจะมีการลงมติอีกครั้งสำหรับร่างกฎหมายงบประมาณระยะสั้นที่พรรครีพับลิกันเสนอในวันศุกร์นี้ แต่ก็มีสัญญาณน้อยมากที่บ่งชี้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพร้อมที่จประนีประนอมในเวลานี้
และเมื่อวันที่ 3 ต.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า วุฒิสภาสหรัฐเตรียมลงมติต่อร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวครั้งใหม่ในวันนี้ หลังจากพักการประชุมเมื่อวานนี้ เนื่องในวัน Yom Kippur หรือ “วันแห่งการชดใช้บาป” (Day of Atonement) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวันสำคัญที่สุดของศาสนายิว
ก่อนหน้านี้ วุฒิสภาได้ลงมติพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวมาแล้ว 2 ครั้ง ในวันที่ 30 ก.ย. และ 1 ต.ค. โดยมีผลการลงมติอนุมัติ 55 เสียง คัดค้าน 45 เสียง ซึ่งยังไม่ถึงเกณฑ์เสียงสนับสนุนขั้นต่ำ 60 เสียงตามที่กฎหมายกำหนด ส่งผลให้ร่างงบประมาณดังกล่าวไม่ผ่าน และทำให้สหรัฐยังคงอยู่ในภาวะ “ชัตดาวน์” ต่อเนื่อง
สำหรับการลงมติในวันนี้ หลายฝ่ายยังคงคาดว่าวุฒิสภาสหรัฐจะไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณได้อีก เนื่องจากยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน โดยทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกันว่าเป็นต้นเหตุของภาวะชัตดาวน์ที่เกิดขึ้น
การชัตดาวน์ครั้งนี้ส่งผลให้กระทรวงแรงงานสหรัฐไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญได้ตามกำหนด ได้แก่ ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในวันที่ 2 ต.ค., ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันที่ 3 ต.ค. และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันที่ 15 ต.ค. ซึ่งล้วนเป็นข้อมูลหลักในการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก่อนการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 28-29 ต.ค.
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่าภาวะชัตดาวน์ในครั้งนี้จะยืดเยื้อนานเพียงใด โดยย้อนกลับไปในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยเกิดเหตุชัตดาวน์ยาวนานถึง 35 วัน ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ จากความขัดแย้งเรื่องงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ก่อนที่รัฐสภาจะยอมผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว โดยไม่มีการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการดังกล่าวตามที่ทรัมป์ต้องการ
ที่มา BBC
อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลา สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ หลังมูลค่าทรัพย์สินสุทธิพุ่งทะลุ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16.22 ล้านล้านบาท) เป็นคนแรกของโลก โดยความมั่งคั่งนี้มาจากการทะยานขึ้นของมูลค่าบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา และบริษัทอื่น ๆ ในเครือ ทั้ง xAI และสเปซเอ็กซ์
นิตยสารฟอร์บส์ รายงานดัชนีมหาเศรษฐีเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ อีลอน มัสก์ ได้พุ่งแตะระดับสูงสุดที่ 500,100 ล้านดอลลาร์ ก่อนที่จะลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่กว่า 499,000 ล้านดอลลาร์ในเวลาต่อมา ซึ่งถือเป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ที่มีความมั่งคั่งเกิน 500,000 ล้านดอลลาร์
ความสำเร็จครั้งนี้ตอกย้ำสถานะของมัสก์ในฐานะ บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก โดยทิ้งห่างคู่แข่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไปอย่างมาก โดยอันดับสองในดัชนีของฟอร์บส์ คือ แลร์รี แอลลิสัน ผู้ก่อตั้ง ออราเคิล ซึ่งมีทรัพย์สินประมาณ 350,700 ล้านดอลลาร์ (ราว 11.38 ล้านล้านบาท)
ความมั่งคั่งมหาศาลของมัสก์มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับสัดส่วนการถือหุ้นในเทสลา ที่มีอยู่กว่า 12% โดยราคาหุ้นของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าแห่งนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้ โดยเฉพาะเมื่อสิ้นสุดการซื้อขายในนิวยอร์กเมื่อวันพุธ ราคาหุ้นเทสลาปรับตัวสูงขึ้นกว่า 3.3% และเพิ่มขึ้นรวมแล้วกว่า 20% ในปีนี้
นักลงทุนต่างตอบรับในเชิงบวกกับการที่มัสก์หันมาให้ความสำคัญกับบริษัทของเขามากขึ้น แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องการเมืองเหมือนช่วงต้นปีที่ผ่านมา ที่เขาเคยถูกวิจารณ์จากบทบาทในคณะกรรมการของรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งมีหน้าที่ลดการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ
นอกจากเทสลาแล้ว มูลค่าของบริษัทอื่น ๆ ในเครือของมัสก์ก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกันในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ได้แก่ xAI บริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ และสเปซเอ็กซ์ บริษัทจรวดและเทคโนโลยีอวกาศ
เมื่อเดือนที่แล้ว มัสก์ได้ประกาศว่าเขาเข้าซื้อหุ้นเทสลา มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนักลงทุนมองว่าเป็นการแสดงความเชื่อมั่นในบริษัทอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริหารของเทสลายังเคยกล่าวไว้ว่า มัสก์อาจได้รับแพ็กเกจค่าตอบแทนที่มีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ หากเขาสามารถทำตามเป้าหมายที่ทะเยอทะยานหลายข้อได้สำเร็จในทศวรรษหน้า เช่น การเพิ่มมูลค่าของเทสลาให้เป็นแปดเท่า, การขายหุ่นยนต์ AI จำนวน 1 ล้านตัว และรถยนต์เทสลาอีก 12 ล้านคัน
ปัจจุบันเทสลากำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจด้าน AI และหุ่นยนต์ ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่น เช่น BYD ของจีน.
ที่มา BBC
พายุเฮอร์ริเคนระดับ 2 "อิเมลดา" เคลื่อนตัวเข้าเกาะเบอร์มิวดา เจ้าหน้าที่สั่งปิดโรงเรียน สนามบิน และหน่วยงานราชการ เตรียมรับมือฝนตกหนักและลมแรง
วันที่ 2 ตุลาคม 2568 กรมอุตุนิยมวิทยาของทางการเบอร์มิวดา ประกาศว่า พายุเฮอร์ริเคน "อิเมลดา" (Imelda) กำลังพัดเข้าเกาะเบอร์มิวดา ดินแดนขนาดเล็กของอังกฤษ ในวันนี้ (2 ต.ค.) ด้วยความรุนแรงเทียบเทาเฮอร์ริเคนระดับ 2
ทางการเบอร์มิวดาระบุว่า คาดว่าอิทธิพลของพายุลูกนี้จะทำให้มีลมแรงและฝนตกหนัก ซึ่งจะเริ่มกระทบเกาะและต่อเนื่องจนถึงวันพฤหัสบดี พร้อมสั่งปิดโรงเรียนรัฐ สนามบินนานาชาติ และสำนักงานราชการ พร้อมส่งทหารกว่า 100 นาย ออกลาดตระเวน ป้องกันโครงสร้างพื้นฐาน ทำความสะอาดถนน และช่วยดูแลศูนย์พักพิงฉุกเฉินก่อนพายุเข้า
พยากรณ์ระบุว่าพายุอิเมลดา จะทำให้ฝนตกหนัก สูงสุดประมาณ 10 เซนติเมตร พร้อมสร้างคลื่นพายุรุนแรงซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วม โดยมีรายงานว่าผู้ใช้ไฟฟ้าหลายร้อยครัวเรือนยังคงขาดไฟฟ้าก่อนพายุพัดเข้า.
3 ตุลาคม 2568 :โดนัลด์ ทรัมป์วางแผนที่จะดำเนินการตามคำขู่เลิกจ้างพนักงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จำนวนมาก และโยนแรงกดดันให้พรรคเดโมแครตที่เป็นเหตุให้ต้องปิดหน่วยงาน
ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาสหรัฐฯจากพรรคเดโมแครต ยิ้มเล็กน้อยระหว่างการแถลงข่าวหลังการลงมติของวุฒิสภา ณ อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 30 กันยายน เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่คำสั่งชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลบางส่วนมีผลบังคับใช้ (Photo by ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม 2568 กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันประกาศว่าเขาจะพบกับรัสเซลล์ วอตต์ หัวหน้าฝ่ายงบประมาณ เพื่อพิจารณาว่าหน่วยงานใดของพรรคเดโมแครตที่ควรถูกตัดลด และการตัดลดเหล่านั้นจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร
การประกาศของทรัมป์บนเว็บไซต์ Truth Social ของเขาเกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลเข้าสู่วันที่สองของการชัตดาวน์ ซึ่งคาดว่าจะทำให้พนักงาน 750,000 คนถูกส่งกลับบ้านโดยไม่ได้รับค่าจ้างในหน่วยงานต่างๆ
วอตต์กล่าวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันว่า พนักงานเหล่านี้หลายคนจะตกเป็นเป้าหมายของการเลิกจ้างถาวรซึ่งจะประกาศภายในวันหรือสองวันข้างหน้า สะท้อนถึงคำขู่ของแคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกหญิงของทำเนียบขาวที่ว่าการเลิกจ้างใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว
ลีวิตต์กล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันพฤหัสบดีว่า การปรับลดจำนวนพนักงานน่าจะมีจำนวนหลายพันคน
ขณะที่ทรัมป์ย้ำว่าการลดค่าใช้จ่ายเป็นการเพิ่มความเจ็บปวดให้กับพรรคเดโมแครต โดยให้เหตุผลว่า "เราสามารถทำสิ่งต่างๆ ที่ไม่อาจย้อนกลับได้ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อพวกเขา และพวกเขาไม่อาจแก้คืนได้ในช่วงภาวะชัตดาวน์"
ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครต และฮาคีม เจฟฟรีส์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต ได้ปฏิเสธคำขู่ที่จะลดตำแหน่งงานของทรัมป์ โดยระบุว่าเป็นแค่ความพยายามเอาคืนและกล่าวว่าการปลดพนักงานจำนวนมากจะไม่เป็นที่ยอมรับในศาล
สมาชิกวุฒิสภาพรรคเดโมแครตสองคนและสมาชิกอิสระหนึ่งคนที่ลงคะแนนเสียงให้กับพรรครีพับลิกัน ได้มีความเห็นไม่ลงรอยกับเพื่อนร่วมพรรคของตน แต่สมาชิกที่เหลือได้ลงคะแนนเสียงคัดค้านมติที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านเพื่อให้รัฐบาลยังคงได้รับเงินทุนในระดับปัจจุบันจนถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน
"นี่เป็นวันที่สองของภาวะชัตดาวน์ของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่เป็นวันที่ 256 ของความวุ่นวายที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ก่อขึ้นสู่ประชาชนชาวอเมริกัน" เจฟฟรีส์กล่าวในการแถลงข่าวที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดี
ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรกล่าวหาพรรครีพับลิกันว่าปิดการทำงานของรัฐบาลกลางเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้บริการด้านสุขภาพแก่ชาวอเมริกันชนชั้นแรงงาน
แม้ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันจะอยู่ในช่วงวันหยุด แต่เจฟฟรีส์กล่าวว่าพรรคเดโมแครตพร้อมและเต็มใจที่จะนั่งคุยกับใครก็ได้, ทุกเวลา, ทุกสถานที่ รวมถึงกับทรัมป์และรองประธานาธิบดีเจ.ดี. แวนซ์ เพื่อพยายามหาทางออกให้ประเทศ
วุฒิสภาไม่ได้ลงคะแนนเสียงในวันพฤหัสบดีเนื่องจากเป็นวันหยุดยมคิปปูร์ของชาวยิว แต่คาดว่าจะมีการลงคะแนนเสียงอีกครั้งในวันศุกร์และอาจจะทุกวัน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
เนื่องจากพรรคเดโมแครตอาจขัดขวางแผนการเปิดการทำงานรัฐบาลของพรรครีพับลิกันอีกครั้ง จึงมีรายงานว่าพรรครีพับลิกันกำลังพิจารณาว่าจะส่งสมาชิกวุฒิสภากลับบ้านหลังการลงคะแนนเสียง ซึ่งเท่ากับเป็นการรับประกันว่าการปิดประเทศจะยืดเยื้อไปจนถึงสัปดาห์หน้า
แต่ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสมาชิกไม่ได้หยุดงานตลอดทั้งสัปดาห์ ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าผู้นำวุฒิสภาจำเป็นต้องยึดมั่นตามแผนเดิมเพื่อทำงานตลอดสุดสัปดาห์ที่กรุงวอชิงตัน
"สภาผู้แทนราษฎรจะกลับมาประชุมในสัปดาห์หน้า โดยหวังว่าพวกเขาจะส่งอะไรบางอย่างมาให้เราทำ เพื่อให้เราสามารถกลับไปทำงานและทำธุรกิจของประชาชนได้" เขากล่าวในการแถลงข่าวที่อาคารรัฐสภา
ในขณะนี้ พรรคเดโมแครตกำลังพิจารณาข้อเรียกร้องของพวกเขาในการขยายระยะเวลาการอุดหนุนด้านการดูแลสุขภาพ ก่อนที่จะพูดคุยในข้อตกลงด้านงบประมาณกับรีพับลิกัน
ทั้งนี้ จำเป็นต้องมีคะแนนเสียงจากพรรคเดโมแครตอีก 5 เสียงเพื่อให้ถึงเกณฑ์ 60 เสียงจากสมาชิกวุฒิสภา 100 คน ที่จำเป็นต่อการอนุมัติร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านวาระมาแล้ว
ในขณะที่แต่ละฝ่ายพยายามชี้นิ้วโทษกันเกี่ยวกับสถานการณ์การชัตดาวน์หน่วยงาน ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันอาจกำลังร่วมกันรับผิดชอบ
ผลสำรวจใหม่ของวอชิงตันโพสต์พบว่าชาวอเมริกัน 47% ตำหนิทรัมป์และสมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันสำหรับเหตุการณ์การชัตดาวน์ ในขณะที่มีเพียง 30% เท่านั้นที่ตำหนิพรรคเดโมแครต
แต่ผลสำรวจของนิวยอร์กไทมส์/เซียนา แสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถามสองในสามกล่าวว่า พรรคเดโมแครตไม่ควรทำให้เกิดการชัตดาวน์ หากพรรครีพับลิกันไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของพวกเขา
"ผลสำรวจเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้พรรคเดโมแครตยอมผ่อนปรนและลงคะแนนเสียงเพื่อเปิดรัฐบาลอีกครั้ง" สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังกล่าวกับ CNBC เมื่อวันพฤหัสบดี และเสริมว่าการชัตดาวน์รัฐบาลอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ.
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012