ข่าว
สุดระทึก ไฟป่าแคลิฟอร์เนียแรง อพยพแล้วครึ่งแสน ถิ่นไวน์ดังวอดด้วย

จนท.สหรัฐฯ เร่งควบคุมเหตุไฟไหม้ป่าโหมไหม้รุนแรงหลายจุดในรัฐแคลิฟอร์เนีย ต้องอพยพประชาชนออกจากบ้านแล้วนับ 5หมื่น ขณะที่ ถิ่นไวน์ชื่อดังที่สุด โซนามา เคาน์ตี้ ประสบเหตุไฟป่าด้วย

เมื่อ 25 ต.ค.62 สำนักข่าวต่างประเทศ บีบีซีและเว็บไซต์เดลีเมล รายงานสถานการณ์ไฟไหม้ป่ารุนแรงหลายจุด ทางตอนเหนือและใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของสหรัฐฯ ว่า ทางการได้อพยพประชาชนออกจากอาคารบ้านเรือนหนีไฟป่าแล้วประมาณ 50,000 คน ขณะที่พระเพลิงยังคงลุกลามอย่างรวดเร็ว เผาผลาญพื้นที่ป่า ไปแล้วกว่า 20,000 เอเคอร์ หรือกว่า 50,000 ไร่

นอกจากนั้น อาคาร บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้างจำนวนมากได้ถูกไฟเผาวอด โดยคาดว่าไฟป่าทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย จะโหมลุกลามเลวร้ายมากขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ เนื่องจากกระแสลมแรง ประกอบกับความแห้งแล้ง

จุดที่เกิดไฟไหม้ป่ารุนแรง ได้แก่ ไฟป่าที่เรียกว่า Kincade Fire ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ได้เผาผลาญพื้นที่ในเขตโซโนมา เคาน์ตี้ ซึ่งเป็นถิ่นไวน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในรัฐแคลิฟอร์เนีย ไปแล้วนับ 16,000 เอเคอร์ ในขณะที่ไฟป่าอีก 3 จุดที่ยังโหมไหม้รุนแรง ได้แก่ ไฟป่า Tick Fire ในลอสแอนเจลิส เคาน์ตี้ เผาพื้นที่ป่าแถบ แซนตา แคริตา วอดแล้วอย่างน้อย 5,000 เอเคอร์

ส่วน ไฟป่า Old Water Fire ที่ซาน เบอร์นาดิโน เคาน์ตี้ เผาแล้ว 95 เอเคอร์ อีกทั้งทำให้ต้องปิดถนนทางหลวงสำคัญสายหนึ่ง และไฟไหม้หญ้าใน San Mateo เคาน์ตี้ ทางตอนใต้ของเมืองเพสคาดีโร เผาผลาญพื้นที่แล้ว 95 เอเคอร์ ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้ว ได้เกิดไฟไหม้ป่ารุนแรงในรัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้มีผู้เสียชีิวิตราว 100 ราย และสร้างความเสียหายอย่างหนัก

‘ในหลวง-พระราชินี’ เสด็จฯ พร้อม ‘เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา’ ทรงเปิดประชุมโครงการอนุรักษ์ช้างป่า

เมื่อเวลา 19.10 น. วันที่ 25 ต.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปทรงเปิดการประชุมคณะกรรมการโครงการอนุรักษ์ช้างป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในภาคตะวันออก “โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์” ครั้งที่ 1 ประจำปี 2562 ณ อาคาร บก.หน่วยราชการในพระองค์ 904 (อาคาร 2)

เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงอาคาร บก.หน่วยราชการในพระองค์ 904 (อาคาร 2) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทอดพระเนตรนิทรรศการโครงการอนุรักษ์ช้างป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในภาคตะวันออก จากนั้นเสด็จเข้าห้องประชุม

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ประธานกรรมการโครงการอนุรักษ์ช้างป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในภาคตะวันออก กราบบังคมทูลรายงานเกี่ยวกับโครงการ ฯ เสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำรัสเปิดการประชุม ทอดพระเนตรวีดิทัศน์การดำเนินงานโครงการ ฯ และพระราชทานพระบรมราโชบายในการดำเนินงานโครงการ ฯ

สมควรแก่เวลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินกลับ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ประชุมคณะกรรมการโครงการ ฯ ต่อ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับโครงการอนุรักษ์ช้างป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในภาคตะวันออก ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทรงรับเป็นประธานที่ปรึกษาโครงการ ฯ และพระราชทานชื่อโครงการ ฯ ว่า “โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์” ซึ่งแปลว่า “น้ำทิพย์รักษาช้างให้แข็งแกร่งยืนยงดุจเพชร” ตามพระบรม ราโชบายที่จะให้อนุรักษ์ป่าและช้าง และการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนและช้างอย่างมีสุข

และทรงสืบสาน รักษา ต่อยอดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานไว้ตั้งแต่ปี 2542 เกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งของคนกับช้างป่า ที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในเรื่องการอนุรักษ์ช้างไทย และการปล่อยช้างคืนสู่ธรรมชาติ

คณะกรรมการโครงการอนุรักษ์ช้างป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในภาคตะวันออก จึงได้มุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ตามหลักวิชาการตามสภาพของสังคมปัจจุบันและภูมิสังคม โดยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุการบุกรุกของช้างป่าอันเนื่องมาจากการขาดแหล่งอาหาร และที่อยู่อาศัยไม่พอเพียง ตลอดจนการขาดความรู้และความเข้าใจของราษฎร ขาดเรื่องระบบการเตือนภัย การไปขับไล่ช้างอย่างผิดวิธี จนทำให้เกิดอันตรายในที่สุด

ด้วยปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ คณะกรรมการโครงการ ฯ จึงได้ประชุมหารือแนวทางแก้ไข ตลอดจนวางแผนพัฒนาชุมชน ให้สามารถทำมาหากินอยู่ร่วมกับช้างได้อย่างมีความสุข โดยไม่ทำลายระบบนิเวศหรือบุกรุกทำลายป่า


งานเข้าบินไทย! เอฟเอเอออกคำเตือน ให้เปลี่ยนอะไหล่เครื่องยนต์ หลังเกิดขัดข้อง

รายงานข่าวจากอุตสาหกรรมการบินแจ้งว่า เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (FAA) ออกประกาศความสมควรเดินอากาศฉุกเฉิน (Emergency Airworthiness Directive /EAD) หลังจากเครื่องยนต์เครื่องบิน Boeing 777 –300ER ของการบินไทยเที่ยวบิน TG970 เส้นทางสุวรรณภูมิ-ซูริค ของวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา เกิดปัญหาความล้มเหลวของเครื่องยนต์

โดยเอฟเอเอออกคำสั่งให้สายการบินทั่วโลกที่ใช้เครื่องยนต์ Turbofan GE 90-115B เปลี่ยนอุปกรณ์ชุดซีลหรือชุดควบคุมแรงดันภายในเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด โดยให้ทำการบินได้อีก 25 เที่ยวบินต้องทำการเปลี่ยนชุดซีลใหม่ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง เพราะหากไม่แก้ไขอาจสร้างความเสียหายที่เกิดขึ้นและอาจจะกระทบไปยังชิ้นส่วนประกอบ และโครงสร้างเครื่องบินที่ส่วนอื่นๆด้วย

“การออกประกาศเตือนฉุกเฉินในลักษณะนี้ของเอฟเอเอ ถือเป็นปัญหาร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับเครื่องบิน กรณีของเที่ยวบินของการบินไทยนั้น คาดว่าจะเกิดจากความล้มเหลวของกังหันแรง ที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของซีลควบคุมแรงดันภายในเครื่องยนต์ ซึ่งหากเกิดขึ้นระหว่างบินในระดับสูง ความล้มเหลวของเครื่องยนต์อาจส่งผลให้เกิดแรงกระแทก ถึงขั้นทำให้เครื่องบินตกได้”

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า คำเตือนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีรายงานความล้มเหลวของเครื่องยนต์ของการบินไทย เที่ยวบินที่ TG970 เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้การบินไทยต้องยกเลิกการบิน หลังจากได้ยินเสียงระเบิดจากเครื่องยนต์ จาการการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าช่องขนาดใหญ่ในเครื่องยนต์ มีความเสียหายอย่างหนักบริเวณชิ้นส่วนกังหันแรงดันสูง (High-Pressure Turbine) ซึ่งปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้ชิ้นส่วนประกอบกระเด็นมากระแทกลำตัวเครื่องบินอย่างรุนแรง

รายงานข่าวจากบริษัทการบินไทยเปิดเผยว่า ได้รับการแจ้งเตือนปัญหาดังกล่าวจากเอฟเอเอแล้ว โดยการบินไทยพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของเอฟเอเอ ซึ่งต้องทำการเปลี่ยนชุดซีลบริเวณเครื่องบิน Boeing 777–300ER ทุกลำ เมื่อถึงรอบการบินที่ FAA กำหนด ซึ่งจะทำการบินได้อีก 25 เที่ยวบินจึงจะทำการเปลี่ยนชุดซีล โดยยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินให้มีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเวลา เนื่องจากการบินไทยสามารถนำเครื่องอื่นมาบินทดแทนได้ระหว่างการจอดเครื่องรอเปลี่ยนชุดซีล

รายงานข่าวแจ้งว่า ปัจจุบันการบินไทยมีเครื่อง Boeing 777–300ER ประจำการในฝูงบินรวม 14 ลำ โดยเป็นเครื่องบินพิสัยไกล ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ทำการบินในเส้นทางยุโรป เช่น โคเปนเฮเกน, สต็อกโฮล์ม-อาร์ลันดา, ซูริก,ลอนดอน-ฮีทโธรว์ และแฟรงก์เฟิร์ต,ลอนดอน-ฮีทโธรว์, แฟรงก์เฟิร์ต, โตเกียว-นาริตะ, โตเกียว-ฮาเนดะ, มิวนิก, เวียนนา, เซี่ยงไฮ้-ผู่ตง, กว่างโจว-ยุหวิน, ฮ่องกง , โอซะกะ-คันไซ, กัวลาลัมเปอร์, ภูเก็ต-แฟรงก์เฟิร์ต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา การบินไทยได้ชี้แจงกรณีเที่ยวบินที่ TG970 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ–เมืองซูริก สวิตเซอร์แลนด์ของวันที่ 20 ต.ค.นี้ ทำการบินด้วยเครื่องบินแบบโบอิ้ง 777-300ER ซึ่งมีกำหนดการออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลา 01.05 น. ไปถึงยังเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เวลา 07.50 น. (เวลาท้องถิ่น) ของวันเดียวกันว่า ขณะที่เครื่องบินกำลังวิ่งขึ้น เครื่องยนต์ที่ 1 เกิดขัดข้อง นักบินจึงตัดสินใจยกเลิกทำการบินขึ้น (Abort Takeoff) ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในการปฏิบัติการบิน

ขณะเดียวกันได้นำเครื่องบินกลับมาเข้าจอดแล้วนำผู้โดยสารลงจากเครื่องบิน หลังจากตรวจพบว่าเครื่องบินจำเป็นต้องเข้าซ่อม และไม่มีเครื่องบินสำรองให้เปลี่ยน ฝ่ายบริการลูกค้าภาคพื้น จึงนำผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมดเข้าพักยังโรงแรมที่จัดเตรียมไว้ ซึ่งเป็นมาตรฐานในการดูแลผู้โดยสาร

โดยได้นำผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมดออกเดินทางใหม่ ตามกำหนดการดังนี้ ออกเดินทางจาก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลา 13.00 น. ถึงสนามบินซูริก เวลา 19.45 น. (เวลาท้องถิ่น) ของวันเดียวกันนี้ ทั้งนี้เที่ยวบินที่ ทีจี 970 มีจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดรวมจำนวน 339 คน และลูกเรือจำนวน 20 คน


ไต้ฝุ่นบัวลอย มาแล้ว อุตุฯญี่ปุ่นเตือนทั่วประเทศ ฝนตกหนัก ระวังดินถล่ม

อุตุฯญี่ปุ่น ประกาศแจ้งเตือนประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ดินถล่ม น้ำท่วม จากอิทธิพลของความกดอากาศต่ำและพายุไต้ฝุ่นบัวลอย

เมื่อ 25 ต.ค.62 เว็บไซต์ mainichi รายงานชาวญี่ปุ่นระทึกกันอีก สำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น ประกาศแจ้งเตือนประชาชนทางภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลันในบริเวณพื้นที่ต่ำแะดินถล่ม จากอิทธิพลของความกดอากาศต่ำ และพายุไต้ฝุ่นกำลังแรง บัวลอย ระหว่างวันที่ 25-26 ตุลาคม นี้ หลังจากเพิ่งประสบหายนะภัยจากไต้ฝุ่น ฮากิบิส อย่างหนัก เมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา

สำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น เตือนว่า ถึงแม้ พายุไต้ฝุ่น บัวลอยไม่พัดผ่านขึ้นฝั่งประเทศญี่ปุ่นโดยตรง แต่อิทธิพลของพายุ จะทำให้เกิดฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนัก บริเวณภาคตะวันตกของญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค. ขณะที่ภาคกลาง จะเผชิญกับพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนักในช่วงเย็นของวันเดียวกัน ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเกิดฝนตกหนักในช่วงบ่าย จนถึงรุ่งเช้าของวันที่ 26 ต.ค.

สำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น แจ้งเตือนด้วยว่า จะเกิดฝนตกหนักที่สุดในช่วง 24 ชั่วโมง จนถึงเวลา 06.00 น.ของวันที่ 26 ต.ค. บริเวณภูมิภาคคันโต ทางตะวันออกของญี่ปุ่น และภูมิภาคโตโฮกุ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภูมิภาคโตไก และโกชิน รวมทั้งเกาะอิซึ ทางใต้กรุงโตเกียว จะเกิดฝนตกหนัก วัดปริมาณน้ำฝนได้ราว 150 มิลลิเมตร

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 09.00 น.ของวันที่ 25 ตุลาคม ไต้ฝุ่นบัวลอย ซึ่งเป็นพายุลูกที่ 21 ของปี ได้เคลื่อนตัวบริเวณทางตะวันออกของญี่ปุ่น ด้วยความเร็ว 35 กม./ชม.ขณะที่ความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางพายุอยู่ที่ประมาณ 126 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ศาลฎีกา ประกาศ เปิดทำการ 4-5 พ.ย. แม้เป็นวันหยุดราชการกรณีพิเศษ

ศาลฎีกา ออกประกาศ 4-5 พ.ย.2562 เปิดพิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. แม้ราชการกำหนดให้เป็นวันหยุดพิเศษ เนื่องจากต้องรับประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 35

วันที่ 25 ต.ค. ศาลฎีกาออกประกาศ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ วันที่ 15 ต.ค. 2562 กำหนดให้วันที่ 4 และวันที่ 5 พ.ย.2562 เป็นวันหยุดราชการกรณีพิเศษ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดนนทบุรี เพื่อบรรเทาปัญหาจราจร และอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ของผู้เข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 รายการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการบริหาร ให้ทำประกาศให้วันที่ 4 และวันที่ 5 พฤศจิกายน 2562 เป็น วันหยุดราชการกรณีพิเศษนั้น

เพื่อให้ศาลฎีกาสามารถเปิดให้บริการประชาชน ด้านการพิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ด้วยความถูกต้องรวดเร็วและเป็นธรรม จึงกำหนดให้ เปิดทำการศาลฎีกา ในวันหยุดราชการ วันที่ 4 และ 5 พฤศจิกายน 2562 ตั้งแต่เวลา 08.30 ถึง 16.30 น.