ข่าว
บริษัทผู้ผลิต'กริพเพน'รับออเดอร์จากไทยเรียบร้อย 'ISP'ยันไม่จำเป็นต้องตรวจสอบซื้อขาย

27 สิงหาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บริษัท SAAB ผู้ผลิตอาวุธสัญชาติสวีเดน ประกาศผ่านเว็บไซต์ ระบุว่า ทางบริษัทได้รับออเดอร์จากไทยแล้ว เป็นเครื่องบินขับไล่โจมตี ยาส-39 กริพเพน (JAS-39 Gripen) ล็อตใหม่ ระยะที่ 1 จำนวน 4 ลำ มีมูลค่าการจัดซื้อ 5,300 ล้านโครนา (ราว 1.95 หมื่นล้านบาท) โดยจะทำการส่งมอบในห้วงระยะเวลา 5 ปีต่อจากนี้

หลังจากที่เมื่อต้นสัปดาห์ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาทหารอากาศ ได้ลงนามความตกลงซื้อเครื่องบินกริพเพนจาก SAAB ส่วนฝ่ายสวีเดนมี มิคาเอล กรานฮอล์ม ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารยุทธภัณฑ์ (FMV) เป็นผู้ลงนามในความตกลงนี้ ภายในแถลงการณ์ของ SAAB ระบุว่า สัญญาจัดซื้อของไทยในระยะที่ 1 ประกอบไปด้วย กริพเพนแบบ E จำนวน 3 ลำ กริพเพนแบบ F จำนวน 1 ลำ พร้อมอุปกรณ์ การสนับสนุนและการฝึก พร้อมด้วยออฟเซ็ตแพ็กเกจ สิทธิ์การเข้าถึงเทคโนโลยี เพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีการทหาร และความร่วมมือและการลงทุนด้านอุตสาหกรรมในหลายภาคส่วน

มิคาเอล โยฮันซอน ประธานผู้บริหาร SAAB กล่าวว่า พวกเรายินดีอย่างยิ่งที่ไทยกลับมาเป็นลูกค้าของเราอีกครั้ง เราทราบว่าไทยเป็นผู้ใช้งานกริพเพนที่มีความคุ้นเคย สามารถรีดศักยภาพของเครื่องบินรบนี้ออกมา เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพไทย และการเลือกกริพเพนซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยที่สุดแบบหนึ่งในตลาด จะช่วยรองรับเป้าหมายทางยุทธศาสตร์และความสามารถทางยุทธวิธีของไทยได้ในอนาคต

มิคาเอล กรานฮอล์ม ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารยุทธภัณฑ์ (FMV) กล่าวว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่ไทย-สวีเดนจะได้ร่วมมือกันในการพัฒนาอากาศยานรบในระยะยาวต่อไป โดยทาง FMV ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสวีเดนให้เป็นผู้แทนในการเจรจาซื้อขายกริพเพนและลงนามในข้อตกลงนี้

อย่างไรก็ตาม การใช้กริพเพนของกองทัพอากาศในการโจมตีเป้าหมายทางทหารของกัมพูชาเมื่อเดือนที่ผ่านมา เกิดข้อถกเถียงว่า สวีเดนจะขายกริพเพนให้ไทยหรือไม่ ตามกฎหมายของสวีเดนในการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์

ทางผู้ตรวจการสินค้าทางยุทธศาสตร์ (ISP) ได้ออกความเห็นไว้ว่า ISP ไม่จำเป็นต้องทำการตรวจสอบการซื้อขายนี้เพิ่มเติม เนื่องจากไทยซึ่งเป็นลูกค้าเป็นไปตามบรรทัดฐานในการซื้อขายอาวุธกับสวีเดน แม้ว่า ความเป็นประชาธิปไตยของไทยจะถูกตั้งคำถามก็ตาม หลังจากนี้ ISP คงเหลือเพียงขั้นตอนการส่งมอบเท่านั้น ที่จะต้องได้รับอนุญาตจาก ISP เสียก่อน

ปูด'ภูมิธรรม'เตรียมตบตำแหน่ง 2 นายแพทย์ใหญ่ ชั้น 14

วันที่ 27 สิงหาคม 2568 รายงานแจ้งว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เตรียมประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)พรุ่งนี้ (28ส.ค.) จะให้มีการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งหมอทั้ง 2 คน คือ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ที่โดนแพทยสภามีมติพักใบประกอบโรคศิลป์ 6 และ 3 เดือนตามลำดับ เพราะขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล การไม่ให้เขาเลื่อนขึ้นเป็น รอง ผบ.ตร. และผู้ช่วย ผบ.ตร. จะทำให้เสียสิทธิ์


‘ปชน.’อัดรัฐบาล! สะดุดขาตัวเอง ทำเกิดโรคเลื่อนนโยบาย 20 บาท

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ที่รัฐสภา สส.พรรคประชาชน (ปชน.) นำโดย นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และนายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม.พรรคประชาชน ร่วมแถลงข่าวหลังสภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางราง จำนวน 3 ฉบับ ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง , ร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม และ ร่าง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย

โดย นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า ช่วงแรกที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เคยประกาศจะทำนโยบาย 20 บาทตลอดสาย ภายใน 3 เดือน ต่อมาเลื่อนเป็นภายใน 2 ปี จะเริ่มวันที่ 1 ต.ค.2568 แต่ล่าสุดก็เลื่อนอีก การพิจารณากฎหมายทั้ง 3 ฉบับของสภาผู้แทนราษฎรถือว่าดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว เริ่มที่ร่าง พ.ร.บ.ขนส่งทางราง ผ่านฉลุย ข้อเรียกร้องต่างๆ ที่มีในร่างของพรรคประชาชน ก็ได้ใส่เข้าไปในร่างที่ผ่านสภา ถือเป็นความสำเร็จร่วมกันของสภาผู้แทนราษฎร ต่อมาคือร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ในภาพรวมพรรคประชาชนสนับสนุน นี่คือสิ่งที่ดี และถ้าถามว่า พ.ร.บ.ฉบับไหนสำคัญที่สุด เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินนโยบายเรือธงของรัฐบาล ก็คือ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม เพราะจะทำให้ทุกคนได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง

นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า โดยหลักการที่สำคัญคือใช้บัตรใบเดียวได้กับทุกขนส่งสาธารณะ ไม่ต้องถือหลายใบ ไม่ต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน ส่วนอีกคำที่แตกต่างและมีนัยสำคัญอย่างยิ่งคือ “ค่าโดยสารร่วม” ซึ่งมีความเห็นต่างกันในเชิงนโยบาย ทางรัฐบาลโฆษณานโยบายตั๋วร่วม 20 บาทตลอดสาย แต่ความจริงสิ่งที่รัฐบาลจะทำคือค่าโดยสารร่วม 20 บาทตลอดทางเฉพาะรถไฟฟ้า ส่วนพรรคประชาชนจะทำ “ค่าโดยสารร่วม 8-45 บาทตลอดทาง รถไฟฟ้าร่วมกับรถเมล์” ซึ่งโดยโครงสร้างของ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม รองรับการทำทั้งตั๋วร่วมและค่าโดยสารร่วมแบบที่พรรคประชาชนเสนอ

นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ส่วน พ.ร.บ.สุดท้าย คือ พ.ร.บ.รฟม. เป็นร่างที่มีความเห็นแตกต่างกัน โดยมาตรา 8 ถือเป็นแก่นสารหลักที่รัฐบาลไปล้วงกระเป๋า รฟม. ซึ่งพรรคประชาชนไม่เห็นด้วย จึงลงมติไม่เห็นชอบ อย่างไรก็ตามรัฐบาลครองเสียงข้างมาก จึงผ่านไปได้ทั้งสามฉบับ ดังนั้นตอนนี้ถือว่ารัฐบาลมีเครื่องมือครบ ซึ่งที่จริงต้องการเพียงสองฉบับแรก ส่วนฉบับที่สามแค่บอกว่าจะเอาเงินมาจากไหน ซึ่งพรรคประชาชนไม่เห็นด้วยกับวิธีการล้วงกระเป๋า รฟม. เสี่ยงต่อการผิดวินัยการเงินการคลัง

นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องดูต่อไปคือ 1.นโยบายเรือธงของรัฐบาลจะเลื่อนไปถึงเมื่อไร เพื่อจะดำเนินการตามที่หาเสียงไว้ และ 2.จะดำเนินการตาม พ.ร.บ.ทั้งสามฉบับหรือไม่ เพราะถ้าดำเนินการตามทั้งสามฉบับ เป็นสิ่งที่ดีที่ประชาชนจะได้ใช้บัตรใบเดียวแตะเข้า-ออก มีส่วนลดค่าโดยสารทั้งรถเมล์และรถไฟฟ้า

ด้าน นายศุภณัฐ กล่าวว่าในฐานะตัวแทน สส.กทม.ของพรรคประชาชน ยืนยันว่าเราเห็นด้วยกับการอุดหนุนค่าโดยสารให้พี่น้องประชาชน เห็นด้วยกับการทำตั๋วร่วมและค่าโดยสารร่วม ที่ผ่านมาหลายประเด็นในร่างตั๋วร่วมของ ครม.ที่เสนอมาไม่ครบถ้วน ก็ต้องอาศัยร่างตั๋วร่วมของพรรคประชาชนทำให้ครบถ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นการครอบคลุมรถเมล์ ส่วนประเด็นที่ไม่เห็นด้วยมีอยู่เรื่องเดียว คือวิธีการหรือช่องทางในการใช้เงิน คือการไปใช้เงินของ รฟม. แต่ยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากพรรคประชาชน เราเข้าร่วมประชุม กมธ.ทุกครั้งและพยายามให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล ความล่าช้าเกิดจากการวางนโยบายของรัฐบาลที่ผิดพลาด เพราะ กมธ.ตั๋วร่วม ประชุมเสร็จตั้งแต่เดือน เม.ย.รัฐบาลเพิ่งจะมาประชุม พ.ร.บ.รฟม.ในเดือน พ.ค.หมายความว่าก่อนหน้านี้ที่มีเวลาเกือบสองปีรัฐบาลไม่ได้วางแผนว่าจะใช้เงินจากช่องทางไหน เพิ่งมาคิดได้หน้างาน จึงยื่นร่าง พ.ร.บ.รฟม.เข้ามา ทำให้เกิดความล่าช้าในการผลักดันนโยบาย สรุปแล้วรัฐบาลสะดุดขาตัวเอง ไม่ใช่ใครอื่น

นายศุภณัฐ กล่าวต่อว่า ดังนั้นความล่าช้าเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากพรรคประชาชน แต่รัฐบาลคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นขณะนี้ บางผู้ประกอบการยกเลิกตั๋วเหมาตั๋วรายเดือน ทำให้ประชาชนที่เคยได้ใช้ของราคาถูกได้รับผลกระทบ ทั้งที่รัฐบาลต้องคิดให้ได้เองว่าไทม์ไลน์ต่างๆ ควรจะเสร็จเวลาไหน รัฐบาลควรคำนวณได้เพราะเป็นเจ้าของเสียงข้างมาก ยืนยันว่าพรรคประชาชนพยายามผลักดันตั๋วร่วมและค่าโดยสารร่วมมาโดยตลอด แต่เราคัดค้านเกี่ยวกับช่องทางการใช้เงินที่มีปัญหา หลังจากนี้หวังว่ารัฐบาลจะพยายามยึดตามกลไกตั๋วร่วม ทำให้เกิดบัตรโดยสารใบเดียวที่ใช้ได้กับทุกผู้ประกอบการ ไม่ใช่สองใบแบบที่เป็นอยู่ ดึงรถเมล์ รถโดยสารต่างๆ และเรือ เข้ามาอยู่ในระบบตั๋วร่วมด้วยหรือไม่ ต้องฝากประชาชนและสื่อมวลชนช่วยกันติดตามต่อไป


'นายกฯโมดี'เปิดเกมพึ่งตนเองสู้ศึก'ภาษีทรัมป์' เรียกร้องใช้สินค้า'เมด อิน อินเดีย'

27 สิงหาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียในอัตราร้อยละ 25 มีผลตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม และเก็บเพิ่มอีกร้อยละ 25 มีผลตั้งแต่วันนี้ (27 ส.ค.) โดยอ้างว่าเพื่อลงโทษอินเดียที่นำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย รวมเป็นร้อยละ 50 กับสินค้าประเภทสิ่งทอ อัญมณี รองเท้า เครื่องกีฬา เฟอร์นิเจอร์ และสารเคมี

ล่าสุดรัฐบาลอินเดียจึงต้องเร่งหามาตรการรองรับ ซึ่งทาง นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ประกาศระหว่างวันชาติอินเดียว่าจะมี "ของขวัญใหญ่ในวันดิวาลี" เป็นการ ปรับลดภาษีครั้งใหญ่ เพื่อช่วยประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย พร้อมย้ำแนวคิด "ทำในอินเดีย-ใช้ของอินเดีย" และเรียกร้องให้ร้านค้าเล็กๆ ติดป้าย "Swadeshi" (ผลิตในอินเดีย) เพื่อสร้างความภาคภูมิใจในการพึ่งพาตนเอง

อินเดียพยายามผลักดันการผลิตภายในมาหลายปี แต่สัดส่วนภาคอุตสาหกรรมต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ยังติดอยู่ราว 15% 'โมดี' จึงหันมาใช้มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ หลังจากเมื่อต้นปีประกาศลดภาษีเงินได้มูลค่า 12,000 ล้านดอลลาร์ ล่าสุดรัฐบาลเตรียมปฏิรูประบบภาษีทางอ้อม ด้วยการลดภาษีสินค้าและบริการ (Goods & Service Tax) ให้เหลือเพียง 2 ขั้นตอน เพื่อลดความซับซ้อนและกระตุ้นการใช้จ่าย

นักวิเคราะห์จาก Jeffries และ Morgan Stanley ประเมินว่ามาตรการนี้จะอัดฉีดกำลังซื้อได้ราว 20,000 ล้านดอลลาร์ กระตุ้นการบริโภคซึ่งคิดเป็นเกือบ 60% ของจีดีพีอินเดีย โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มการใช้จ่ายในสินค้าบริโภค เช่น รถจักรยานยนต์ รถยนต์ขนาดเล็ก เสื้อผ้า ไปจนถึงปูนซีเมนต์ที่มีความต้องการสูงช่วงเทศกาล ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางอินเดียอาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อหนุนการกู้ยืม หลังจากเพิ่งปรับลดมาแล้ว 1% ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แม้ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ จะทวีความรุนแรง จนการเจรจาการค้าต้องยกเลิก แต่ตลาดหุ้นอินเดียกลับตอบรับเชิงบวก และอินเดียยังได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือจาก S&P Global เป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี ซึ่งช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมและดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าแม้จะมีมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจอินเดียยังเผชิญแรงกดดันจากภายนอก โดยเฉพาะภาษี 50% ของสหรัฐฯ ที่เปรียบได้กับ “มาตรการคว่ำบาตรทางการค้า” ระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้แทบไม่น่าเกิดขึ้นได้เพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้


ศาลจีนสั่งประหารชีวิต! 'หลิวซิงไท่'อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงรับสินบน1.44พันล้าน

27 สิงหาคม 2568 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ศาลประชาชนชั้นกลางเมืองกุ้ยหลิน เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน มีคำตัดสินลงโทษประหารชีวิตแบบรอลงอาญา 2 ปีต่อ 'หลิวซิงไท่' อดีตรองประธานคณะกรรมการถาวรประจำสภาผู้แทนประชาชนมณฑลไห่หนาน ฐานรับสินบน

ศาลประชาชนชั้นกลางเมืองกุ้ยหลิน มีคำพิพากษาให้หลิวถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต ยึดทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมด และริบรายได้ที่ได้มาโดยมิชอบจากการรับสินบนเข้าคลังของรัฐ

โดยศาลฯ พบว่าระหว่างปี 2003-2024 'หลิวซิงไท่' ใช้ตำแหน่งหน้าที่ในมณฑลซานตงและมณฑลไห่หนานช่วยเหลือบุคคลและองค์กรในการดำเนินธุรกิจ การรับเหมาธุรกิจ และการจัดสรรเงินทุน โดย 'หลิวซิงไท่' ได้รับเงินและทรัพย์สินมีค่าเป็นการตอบแทน มูลค่ารวมกว่า 316 ล้านหยวน คิดเป็นเงินไทยราว 1.44 พันล้านบาท

'หลิวซิงไท่' เข้าสู่การพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 29 พ.ค. โดยให้การรับสารภาพและแสดงความสำนึกผิดในถ้อยแถลงครั้งสุดท้าย

สวนสัตว์เม็กซิโกเผยข่าวดี 'เต่าโคลนวัลลาร์ตา' เต่าที่เล็กที่สุดในโลกฟักตัวแล้ว

27 สิงหาคม 2568 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สวนสัตว์เม็กซิโกเผยข่าวดี เต่าโคลนวัลลาร์ตา (Vallarta mud turtle) หรือ "เต่าเล็กที่สุดในโลก" ขนาดตัวเท่าเหรียญ ซึ่งใกล้สูญพันธุ์ ฟักตัวออกจากไข่ในสวนสัตว์กัวดาลาฮารา (Zoológico Guadalajara) ในเม็กซิโกแล้ว

นายริคาร์โด ดาวิลา นักชีววิทยาและหัวหน้าฝ่ายสัตว์เลื้อยคลานและสะเทินน้ำสะเทินบกของสวนสัตว์กัวดาลาฮาราในเม็กซิโกเผยข่าวดี หลังเต่าโคลนวัลลาร์ตา "เต่าเล็กที่สุดในโลก" ที่อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ระดับวิกฤติ ฟักไข่ออกมาแล้ว โดยดาวิลาระบุว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเต่าสายพันธุ์นี้มีอยู่น้อยมาก เนื่องจากเพิ่งถูกค้นพบไม่กี่ปีที่ผ่านมา