5 ก.ย. 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกสังคมออนไลน์ในกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(ม.อ.) ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน มีการแชร์ภาพประทับใจที่นำความปลาบปลื้มแก่นักศึกษา ม.อ.อย่างหาที่สุดมิได้ หลัง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ที่ได้เสด็จแทนพระองค์ มาพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประจำปีการศึกษา 2556 ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ 2-4 กันยายน 2557
ทั้งนี้ข้อความดังกล่าวระบุว่า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ พระราชทานปริญญาบัตร ในขณะทรงประชวร ยังไม่ถอดสายน้ำเกลือ
เมื่อวันที่ 2 ก.ย.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จแทนพระองค์ ไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประจำปีการศึกษา 2556 ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
โดยในการพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนี้พระองค์ยังไม่ได้ถอดสายน้ำเกลืออออกตั้งแต่เสด็จออกจากโรงพยาบาลสังเกตได้จากเสาน้ำเกลือที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาของพระองค์
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้พระราชทานพระโอวาท โดยทรงให้บัณฑิตควรเป็นผู้ที่มีความความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบในกิจการงาน และมีความซื่อสัตย์ เพื่อว่าเมื่อไปประกอบกิจการงาน จะได้ทำอย่างเต็มกำลังความรู้ความสามารถ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เอาใจใส่ต่อกิจการงาน เพื่อเป็นปัจจัยสู่ความก้าวหน้าและนำความความสำเร็จแก่ส่วนรวม ตนเอง และประเทศชาติ
จากเหตุการณ์ดังกล่าวมีนิสิตที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรได้เผยผ่านเฟซบุ๊คว่า ข้าพเจ้า คือหนึ่งในกลุ่มบัณฑิตของสงขลานคริทร์ในวันนี้ วินาทีแรกที่เห็นพระองค์ประทับนั่งและมีสายน้ำเกลือโยงอยู่ และพระราชทานปริญญาบัตรให้พวกบัณทิต ทำให้พวกเราคิดว่าขนาดท่านเหนื่อย ท่านประชวร ท่านก็ยังเป็นห่วงพวกเรา ท่านทรงเดินทางมาทำให้ความฝันของเราเหล่าบัณฑิตอย่างพวกเราเสร็จสมบูรณ์ . . . แล้วแบบนี้จะทำให้พวกเราไม่รักท่านได้อย่างไร
ขอให้พระองค์ทรงหายประชวรในเร็ววัน ทรงพระเจริญ
จากกรณีเกิดเหตุ นายเสถียร สมขาว เทรนเนอร์คู่ใจ บัวขาว บัญชาเมฆ (ป.ประมุข) ยอดมวยไทยแห่งยุค ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมข้อหา พกปืนโดยมิได้รับใบอนุญาตในยามวิกาล พร้อมอ้างสาเหตุมีวัยรุ่นมาก่อกวนหน้าค่ายระหว่างฝึกซ้อม จึงจำเป็นต้องพกอาวุธป้องกันตัว
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ผู้สื่อข่าว ข่าวสด ได้รับการเปิดเผยจาก "เสี่ยหนุ่ม" นายนริส ว่องประเสริฐการ โปรโมเตอร์หนุ่ม ผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ เผยว่า
"กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะ บัวขาวนั้นมีโปรแกรมจะต้องเดินทางไปต่อยยังต่างประเทศ ในรายการ "ท็อปคิงส์ เวิลด์ ซีรี่ส์ 2014" ที่ผมเองเป็นคนจัด และจัดขึ้นเป็นสนามแรกในปีนี้ ที่เบลารุส ในวันที่ 13 กันยายน ดังนั้นเพื่อให้บัวขาวมีสภาพความพร้อม จึงต้องปรับตัวในการฝึกช่วงกลางคืนเพื่อให้เคยชินกับเวลาท้องถิ่นที่โน่น"
"ดังนั้นเราจึงวางโปรแกรมให้ บัวขาวนอนตอนกลางวัน จากนั้นเวลาตีหนึ่งถึงตีสองจึงให้ออกไปวิ่งวอร์ม แล้วกลับมาซ้อมตอนตีสาม ทีนี้ในคืนก่อนเกิดเหตุปลายเดือนที่ผ่านมา ปรากฏมีพวกวัยรุ่นราวๆ 4-5 คนในอาการเมามาย ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาวนหน้าค่าย พร้อมตะโกนด่าท้าทายบัวขาวด้วยถ้อยคำหยาบคายต่างๆ นานาๆ ทางผมจึงเป็นห่วงและกังวลว่า บัวขาวอาจจะเป็นอันตรายขึ้นได้เวลาออกไปวิ่งข้างนอก ด้วยเหตุนี้ทางเทรนเนอร์ประจำตัวจึงได้พกปืนออกไปด้วยเพื่อเป็นการป้องกันตัว ก่อนจะโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งตั้งด่านตรวจค้นและจับในที่สุด"
"ซึ่งเมื่อเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ทางเราจึงได้ให้คนไปสืบดูว่า พวกวัยรุ่นที่มายั่วยวนก่อเหตุในคืนวันก่อนนั้นเป็นใคร จึงได้ความว่า แท้ที่จริงแล้ว เป็นเด็กก่อสร้างแถวใกล้เคียงกับค่ายมวยนั่นเอง กระทั่งล่าสุดเมื่อเย็นวันพฤหัสฯที่ 4 กันยายน ที่ผ่านมา เด็กวัยรุ่นจำนวน 2 คนจึงเดินทางมาที่ค่าย เพื่อขอขมาต่อบัวขาวถึงการกระทำที่เกิดขึ้น" เสี่ยหนุ่มท้าวความถึงที่มา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่ชายวัยรุ่นทั้งสองมาขอพบยอดมวยไทย ที่กำลังซ้อมมวยอยู่พอดี บัวขาวจึงสอบถามด้วยเสียงตวาดว่า "ทำไม พวกมึงต้องมาด่ากู..!? มึงเป็นคนอีสานบ้านเดียวกับกูหรือเปล่า ..!?? เวลาพวกมึงผ่านมาที่ค่าย กูก็ให้กินน้ำกินท่า แล้วยังจะมาด่ากูทำไม..!??"
ชายวัยรุ่นทั้งสอง ยกมือขอโทษ พร้อมกล่าวด้วยเสียงสั่นเทาว่า ตนเป็นคนอีสานเช่นเดียวกับบัวขาว แต่คืนก่อนเกิดเหตุนั้น จับกลุ่มตั้งวงกับเพื่อนๆ ดื่มสุราจนเมามาย จากนั้นมีการท้าทายกันเรื่องความกล้า จึงชวนกันขี่มอเตอร์ไซค์ไปท้าชกบัวขาวที่หน้าค่าย เพราะต้องการอยากดัง อยากเป็นข่าว ที่ทำไปนั้นก็เพราะด้วยฤทธิ์สุรา เมื่อสร่างเมากันแล้ว จึงพากันมากราบขอขมาจากบัวขาว ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ นั้น หนีกลับต่างจังหวัดกันไปหมดแล้ว
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเลือกตั้ง มีคำสั่ง ยกคำร้อง กกต. คดีใบเหลือง "หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร"
หม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เดินทางมายัง ศาลแพ่ง เพื่อฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์แผนกคดีเลือกตั้ง ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ขอให้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเลือกตั้ง พิจารณาจัดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครใหม่ หลัง กกต. มีมติ 3 ต่อ 2 เสียง ให้ใบเหลืองแก่ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์
จากกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ พระสุเทพ กล่าวปราศรัยเมื่อวันที่ 13 และ 25 กุมภาพันธ์ 2556 ที่วงเวียนใหญ่และลานคนเมือง โดยมีข้อความกล่าวโจมตี พลตำรวจเอกพงศพัศ พงศ์เจริญ ผู้สมัครพรรคคู่แข่ง ทำนองว่าหากเลือก พลตำรวจเอกพงศพัศเป็นผู้ว่าฯ กทม. อาจจะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองประเทศสู่ระบบสาธารณรัฐที่มีประธานาธิบดีเพียงคนเดียวกุมอำนาจเบ็ดเสร็จส่งผลให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเข้าใจผิดในตัวพลตำรวจเอกพงศพัศอันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545
ขณะที่หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ ผู้คัดค้านคำร้องของ กกต. และนายสุเทพ พยานฝ่ายผู้คัดค้าน ได้ชี้แจงกับ อนุกรรมการ กกต. ว่า การกล่าวปราศรัยทั้ง 2 แห่ง ไม่มีผลต่อคะแนนนิยมของพลตำรวจเอกพงศพัศ เนื่องจากมีผู้เข้าฟังเพียง 3,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุน หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ แต่ผลการเลือกตั้งดังกล่าวปรากฏว่า หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ ชนะการเลือกตั้งมีคะแนนห่างจากพลตำรวจเอกพงศพัศ กว่า 178,900 คะแนน อีกทั้งไม่มีการเผยแพร่คำปราศรัยดังกล่าว และคำกล่าวก็เป็นข้อเท็จจริงสืบเนื่องจากการชุมนุมของกลุ่มนปช. เมื่อปี 2553
โดยศาลอุทธรณ์แผนกคดีเลือกตั้งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จากการไต่สวนมีหลักฐานเชื่อได้ว่านายสุเทพ รับรู้ข้อมูลจริงขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี การที่นายสุเทพ นำข้อเท็จจริงมาบอกกล่าวให้สังคมรับรู้ กรณีจึงไม่มีหลักฐานว่าการกระทำของนายสุเทพ หลอกลวง หรือใส่ร้าย เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด พลตำรวจเอกพงศพัศ และนายสุเทพก็ไม่ถูกดำเนินคดีอาญา ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545
และยังปรากฎรายละเอียดตามคำพิพากษาศาลแพ่ง คดีการชุมนุม ของกลุ่ม นปช.ระหว่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เมื่อ ปี 2553 ที่ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ใน กทม. ซึ่งศาลแพ่งได้มีคำวินิจฉัย ว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการใช้เส้นทางจราจร เมื่อพิจารณา ถึงคำปราศรัยทั้งหมดของนายสุเทพ ก็ได้อ้างอิงถึง คำปราศรัยของนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช. ที่เคย กล่าวถึงการชุมนุม ในพื้นที่ กทม.และนายสุเทพ ได้กล่าวถึงแนวคิดของกลุ่ม นปช. โดยที่ไม่ปรากฎว่าได้กล่าวถึงพลตำรวจเอกพงศพัศ ที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ว่าพลตำรวจเอกพงศพัศ เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว
พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนนี้จึงยังไม่พอฟังได้ว่า การกล่าวปราศรัยของนายสุเทพ เป็นการจูงใจหรือหลอกลวงประชาชนให้เข้าใจผิดในตัวพลตำรวจเอกพงศพัศ ที่จะเป็นเหตุให้ประชาชน ผู้มีสิทธิลงคะแนนมาลงคะแนนเสียงให้กับ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ กรณีจึงยังไม่มีเหตุให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม.ใหม่ ตามคำร้อง จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ทั้งนี้เมื่อศาลยกคำร้อง ของ กกต. หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ ก็ถือว่ายังดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต่อไป
ภายหลังฟังคำสั่งศาลนานกว่า 5 ชั่วโมง หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ เปิดเผยว่าขอขอบคุณประชาชน ทีมทนายความ และตอนนี้ก็อยากทำงานเต็มที่แล้ว หลังไม่ได้ทำงานมา 5 เดือน และเป็นห่วงเรื่องน้ำ และโรคระบาด มากที่สุดโดยพรุ่งนี้จะเข้าไปที่สำนักการระบายน้ำเป็นที่แรก จะดูแลก ทม.ให้น่าอยู่ต่อไป ส่วนเรื่องคดีรถเรือดับเพลิง อยู่ในเงื่อนไขระหว่างการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ
ส่วนบรรยากาศในวันนี้มี หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ เดินทางมาพร้อมมารดา ภรรยา และมีพลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พลตำรวจตรีวิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมคณะผู้บริหารจาก กทม. เดินทางมาให้กำลังใจ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ มอบดอกกุหลาบ พร้อมร่วมเข้าฟังการพิจารณาคดีกว่า 100 คน จนแน่นห้องพิจารณาคดี
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2557 เวลา 20.15 น. ตอนหนึ่งว่า
ในส่วนของการดูแลสาธารณสุขรักษาพยาบาล เรามุ่งหวังถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ถ้าประชาชนเข้มแข็ง ประเทศชาติก็เข้มแข็ง เพราะฉะนั้นการดูแลสาธารณสุขรักษาพยาบาล ถ้าเรายังมีรายได้รัฐอยู่อย่างนี้ การดูแลก็ยังไม่มาก ไม่เพียงพอ จะเห็นได้ว่ามีปัญหาพอสมควรในเรื่องของระบบ เรื่องของการดูแลประชาชน ทั้งสูงวัย ผู้หลักผู้ใหญ่ เด็กเล็กอะไรต่าง ๆ มีปัญหาหมด เพราะรัฐไม่มีเงิน ผมพูดตอนต้นมาแล้ว รัฐจะมีรายได้จากที่ไหนบ้าง เพราะฉะนั้น เราจะช่วยกันตรงไหน ก็ต้องไปช่วยกันถือว่าช่วยชาติ ถ้าเราดูแลคนไม่ดี ทุกอย่างก็อ่อนแอไปด้วย เด็กก็อ่อนแอ ผู้ใหญ่ก็อ่อนแอ คนสูงอายุก็อ่อนแอ ประเทศชาติก็อ่อนแอทั้งหมด
เพราะฉะนั้น อย่าไปให้ใครเขามาชี้นำหรือมาปลุกระดมว่า เป็นเพราะอย่างนี้ อย่างนั้น ที่จนเพราะอย่างนี้ เพราะคนนี้ เพราะคนนั้น ผมว่าอย่าให้เขามาชี้เลย ท่านคิดเองท่านมองเหมือนผมมอง บางคนที่ผ่านมา ผมขออนุญาต บางคนบอกว่าสถาบัน เป็นเพราะสถาบันทำให้เป็นอย่างนี้ ผมกราบเรียนท่านเลย ท่านไม่เคยมาเกี่ยวข้อง ท่านต้องดูว่าที่ผ่านมาสถาบันทำหน้าที่อะไร ท่านทำทุกอย่างมาตั้งแต่อดีตในพื้นที่ ที่รัฐบาลไปไม่ถึงในที่ที่รัฐบาลยากจะไป ดูแลได้ไม่มากนัก ท่านก็ไปเสริมตรงนั้นให้ ท่านไม่เคยที่จะไปแย่งความรัก ความชอบอะไรจากใคร ท่านถือว่าทุกคนคือคนไทยของท่านทั้งสิ้น ท่านต้องมีหน้าที่ในการดูแลคน คนมีรายได้น้อย คนที่มีความเดือดร้อนเป็นหลักก่อน ช่วยรัฐบาลมาทุกรัฐบาล เพราะนั้นทุกคนต้องเข้าใจในกรณีนี้นะครับ ต้องมีสติใคร่ครวญหาเหตุผล อย่าไปเชื่อตามเขาปลุกปั่นอย่างโน้นอย่างนี้ ทำให้ไปล่วงละเมิดท่าน และพันต่อไปถึงกฎหมายอีก ว่าไปบังคับคนอะไรต่าง ๆ ไม่ใช่เลย
กฎหมายมีไว้ปกป้องพระองค์ท่าน เท่านั้นเอง เพราะพระองค์ท่านไม่สามารถดูแลพระองค์เองได้ ท่านมาตอบโต้ มาชี้แจง มาอธิบายใครไม่ได้ แต่เราต้องมองถึง ทำอะไรดี อดีตไม่ใช่แค่สมัยนี้นะครับ ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาเมื่อเรายังไม่เป็นประเทศ เป็นอาณาจักรต่าง ๆ เหล่านั้น จนกระทั่งเป็นประเทศมาเมื่อ 200 กว่าปี เพราะฉะนั้นเราต้องดูย้อนกลับไป อย่าเพิ่งไปตัดสิน อย่างเพิ่งไปลงความเห็นว่าใช่หรือไม่ตามที่คนเขามาชี้นำต้องไปดูเขาชี้นำ เพราะอะไรเพื่ออะไร วันนี้ประเทศไทยเข้มแข็งได้อยู่ 2 อย่าง 1.สถาบันพระมหากษัตริย์ 2. คือความมั่นคงซึ่งต่างประเทศอาจจะมีไม่เท่าเราตรงนี้แต่เขาพัฒนาก็ต้องไปทั้ง 2 -3 อย่างด้วยกันในเรื่องของสถาบัน เรื่องของความมั่นคง เรื่องของการพัฒนาประเทศ ต้องไปด้วยกันทั้งหมด เพราะเราเป็นคนไทย อย่าไปเอาของตะวันตกมาทั้งหมด ผมเคยพูดไปแล้วว่าอย่าทำลาย อย่าสร้างบ้านเมืองใหม่โดยที่ต้องทำลายของเก่าทิ้งทั้งหมด
วันนี้ต้องดูที่ว่า วันนี้ที่คนเขามาเที่ยวบ้านเราเพราะของเก่า สมัยนี้สร้างอะไรไว้บ้างที่ให้คนเขามาดูเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ค่อยมีนะ ส่วนใหญ่เขามาเที่ยวโบราณสถาน พระราชวัง นั้นคือสิ่งที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทำไว้ให้ คิดตรงนี้แล้วกันอย่านำท่านลงมาเลย อย่ามาทะเลาะเบาะแว้งกัน นำท่านลงมาเกี่ยวข้องไม่ได้ ผมคงไม่ยอมนะ
เราต้องกลับมาดูตนเอง ก่อนจะโทษใครก็ตาม ผมไม่อยากให้โทษกันแล้ว เพราะเฉพาะฉะนั้น ต้องมาดูแลตนเองที่เรามีรายได้น้อย เรามีความขยันเพียงพอหรือยัง พัฒนาตนเองหรือยัง หรือจะทำเพียงแค่พอกินพออยู่ไปวัน ๆ เลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัวไปวัน ๆ มีรายได้วันละไม่กี่ร้อยแล้วจะพัฒนาไปได้อย่างไร ไม่ใช่อยู่ได้ก็โอเค แต่ท่านต้องให้ลูกหลานเขาพัฒนากว่าท่าน อย่าให้เขาต้องมาทำอะไรที่รายได้น้อยเหมือนท่าน เขาจะทำได้อย่างไร เขาต้องเรียนรู้ ต้องศึกษา ให้เขาเรียนหนังสือมาก ๆ ถ้าไม่เรียนหนังสือมาก ๆ ก็คิดไม่ได้ คิดไม่ได้ก็พัฒนาไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นถ้าใครคิดว่าเราจะรวยขึ้นมาเร็วขึ้น ไปทำสิ่งผิดกฎหมาย ไปติดยา ค้ายาเสพติด ชีวิตมันก็พังทลายยิ่งกว่าเดิมอีก ยิ่งกว่ายากจนเหมือนเดิมอีก ไปติดคุกอีก ติดคุกออกมาก็ต้องวนกลับไปใหม่ เป็นอย่างนี้วงจรชีวิตเป็นแบบนี้ ท่านต้องหาช่องทางสุจริตทำ ลำบากอดทนหน่อย คนรวยปัจจุบัน ถ้าเขามาเขาสุจริตมา เขาลำบากมาก่อน เศรษฐีหลายคนก่อนจะรวยไปดูครับ พื้นฐานเขาไม่ได้รวยมาตั้งแต่เด็กเลย ลำบากมาจนค่อนชีวิต เขาแสวงหาโอกาสเขาพัฒนาตนเอง ผมพูดถึงคนที่เขาสุจริต สร้างเนื้อสร้างตัวจากไม่มีอะไรเหมือนกัน
ถ้าเรามีความพยายามวันนี้ถึงแม้จะไม่เหมือนอดีตการแข่งขันมากขึ้น โอกาสมันน้อยลง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีความพยายาม ไม่มีที่ว่าจะไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร เราต้องนึกถึงว่า เรามีโอกาสเสมอ เหมือนคนอื่นเขาเหมือนกัน อย่าไปเสียเวลาโทษใคร โทษคนรวย โทษใครก็แล้วแต่ว่า ทำให้เราลำบากยากเย็น ยากเข็นถึงทุกวันนี้ พอโทษไปโทษมาเวลาหมดแล้วเดี๋ยวก็แก่ เดี๋ยวก็ตาย เพราะฉะนั้นเปล่าประโยชน์ ผมและรัฐบาลจะพยายามเต็มที่ ที่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยที่รักทุกคน ด้วยวิธีการอันเหมาะสมถูกต้องชอบธรรม โปร่งใสมีประสิทธิภาพและวันนี้เราต้องทำให้ทั้ง 3 ระดับสอดคล้องกัน 3 ระดับคือนโยบาย ขับเคลื่อนและผู้ปฎิบัติ เราต้องเข้าใจกันทั้งภาครัฐภาคเอกชน ประชาชน ทุกคนต้องสอดประสานกัน ใน 3 ระดับ
ถ้าเราทำได้อย่างนี้ ประชาชนร่วมมือ รัฐบาลดี การขับเคลื่อนดี ต่าง ๆ ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค์ในการพัฒนาประเทศ ประชาชนก็ต้องใจเย็น ทุกอย่างเป็นปัญหาที่สะสมมาเป็นเวลาหลาย 10 ปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นเรามาแก้ภายใน 3 เดือน 4 เดือน น่าจะไม่ได้แต่ต้องวางพื้นฐานของประเทศให้ได้ ใน 4 เดือนที่ผ่านมาผมก็วางพื้นฐานไประดับหนึ่งเร่งด่วนนะครับ ต่อไปรัฐบาลก็ต้องวางพื้นฐานต่อ และเพื่อจะต่อไปในอนาคตให้ได้ว่าทำและทำอย่างไรจะอยู่ได้อย่างสันติสุข และมีประเทศชาติที่เจริญทัดเทียมอาณาอารยประเทศต่อไป
วงการศิลปะทั่วโลกยังเศร้าเสียใจไม่หาย กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของนักวาดภาพฝีมือฉกาจระดับโลก อ.ถวัลย์ ดัชนี หนึ่งในนักสะสมงานของ อ.ถวัลย์ มากที่สุดอีกคนหนึ่งคือ เสี่ยหมื่นล้าน คุณใหญ่ บุญชัย เบญจรงคกุล สามีของอดีตนางเอกชื่อดัง ตั๊ก บงกช
เพื่อความรอบคอบกับผลงานศิลปะที่รักที่ได้เก็บสะสมมานานหลายสิบปี และได้แสดงโชว์ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย คุณใหญ่ บุญชัย สั่งกำชับลูกหลานแล้วว่า "ห้ามลูกหลานคนไหนขายภาพอาจารย์ถวัลย์ ต้องดูแลรักษาอย่างดี ผมเขียนลงในพินัยกรรมแล้ว ถึงที่สุดถ้าดูแลไม่ได้ให้ตกเป็นของแผ่นดิน" ภาพที่มีราคาแพงที่สุด กี่สิบล้านบาท? "บอกไม่ได้ครับ (ยิ้มกว้าง)" ราคาราวๆ 20-30 ล้าน? "ประมาณนั้นแหละครับ (ยิ้ม)".
ประเด็นร้อนๆแซ่บๆ ในโลกโซเชียลมีให้เห็นกันแทบทุกวัน ล่าสุดเป็นวิวาทะ ระหว่าง "หญิงหมัด ม.ร.ว.มาลินี จักรพันธุ์" ราชนิกุล กับ "เจ เจตริน วรรธณะสิน" นักแสดงนักร้องชื่อดัง
เรื่องเริ่มมาจาก "หนุ่ม ชลธิศ เข็มเพชร" กงสุลคนดังแห่งนิวยอร์ก พี่ชายของ พีเค ดีเจและพิธีกรชื่อดังโพสต์รูปคู่ "เจ เจตริน" ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมแซวอยากให้หนุ่มเจลงเล่นการเมือง โดยมีเพื่อนๆ เข้ามาคอมเม้นท์พูดคุยกันหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่ง ม.ร.ว.มาลินี เข้ามาคอมเม้นท์ว่า "แหวะ.. อยากอาเจียน"
ด้าน หนุ่ม ชลธิศ จึงตอบกลับว่า "พี่หญิงไม่ให้หนุ่มเป็นหัวคะแนน ให้เจหรอครับ" ทำให้ ม.ร.ว.มาลินี ตอบกลับมาว่า "เบ่งมากอีตาคนนี้... มาที่ทองหล่อถูกตำรวจ lock ล้อ... โวยวายไม่รับผิด... ถือว่าไปขึ้นเวทีไอ้พระดำหนีคดี... ไม่ต้องการจะเห็นรูปมันหน้าเหมือน (อีโมชั่นรูปเท้า) ก็หนุ่มชอบหนุ่มนี่คะ...ไม่เกี่ยวกับพี่..."
ต่อมาเมื่อ เจ เจตริน เห็นคอมเม้นท์ดังกล่าวจึงพิมพ์ตอบโต้กลับไปว่า "1.ผมไม่เคยโดนล็อคล้อนะป้า นี่คือ เจ แต่ที่โดนล็อคล้อ คือ โจ ป้ากลับบ้านไปทานยาก่อนดีมั้ย? 2.ผมไม่เคยเบ่งใหญ่โต ผมเคารพกฎหมาย จะเบ่งก็เบ่งขี้ครับ 3.ถ้าหน้าผมเหมือนตรีน หน้าป้าเหมือนอะไรครับ?"
จากนั้น เจ เจตริน ได้โพสต์ฝากให้ หนุ่ม ชลธิศ โพสต์ข้อความดังนี้ "ฝากหนุ่มโพสหน่อยครับว่า คนที่รู้จักหนุ่มคนนี้ชื่อเจ ไม่เคยโดนล็อคล้อ ไม่เคยเบ่งใส่ใคร เคารพกฎหมาย หน้ายาวเหมือน ณเดช ไม่เหมือนตรีนนะครับ ส่วนมนุษย์ป้าคนไหน หน้าเหมือนปลาตรีน และลืมทานยา ให้กลับไปหายาทานก่อนนะครับ"
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เจ โพสต์ข้อความตอบโต้ดังกล่าว ม.ร.ว.มาลินี ได้ลบข้อความของตนเองออกทันที แต่อดีตนักการเมืองชื่อดัง ทยา ทีปสุวรรณ ได้แคปเจอร์หน้าจอไว้ได้ทัน ก่อนที่จะโพสต์บทสนทนาระหว่าง ม.ร.ว.มาลิณี กับ เจ เจตรินลงเฟซบุ๊ก พร้อมโพสต์ข้อความถึง เจ เจตริน ว่า "ผู้ใหญ่บางคนก็ทำตัวให้ไหว้ไม่ลงจริงๆ (ปล. เจจัดน้อยไปนะ แต่ดีแล้ว ดูดีกว่าเยอะ Jetrin Wattanasin)"
ซึ่งต้นเหตุแห่งความบาดหมางครั้งนี้น่าจะเกิดจากที่ ม.ร.ว.มาลินี กับ เจ เจตริน มีความเห็นทางการเมืองต่างกัน และอยู่คนละฝ่ายนั่นเอง