ข่าว
อิหร่านยิงตก “โดรน” ทัพสหรัฐ มูลค่ากว่า 5 พันล้าน ชี้ลุกกล้ำ-ลั่นพร้อมรบ

อิหร่านยิงตก “โดรน” ทัพสหรัฐ – วันที่ 20 มิ.ย. บีบีซี รายงานความตึงเครียดระหว่าง สหรัฐอเมริกา และ อิหร่าน ที่ระอุขึ้นต่อเนื่อง หลังจาก กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (ไออาร์จีซี) ระบุว่ากองทัพอากาศอิหร่านสามารถยิงสกัด โดรน ของสหรัฐอเมริกา ตกเมื่อช่วงเช้าวันที่ 20 มิ.ย. เนื่องจากโดรนดังกล่าวล่วงล้ำน่านฟ้าอิหร่านบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ ในจังหวัดฮอร์มุซกาน ทางตอนใต้ของอิหร่าน

ข่าวเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นทันทีร้อยละ 3 ไปแตะที่ 63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ท่ามกลางการเผชิญหน้าที่ตึงเครียดระหว่างสองชาติในอ่าวเปอร์เซีย

พลตรีฮอสนี ซาลามี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์อิหร่าน แถลงทางสถานีโทรทัศน์เพื่อเตือนให้ทางการสหรัฐเคารพในอธิปไตยและความมั่นคงของอิหร่าน

“การยิงโดรนของอเมริกันตกนั้นเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังสหรัฐ เขตแดนของเราคือเส้นต้องห้ามที่ไม่สามารถล้ำเส้นได้ และเราจะตอบโต้อย่างแข็งขันต่อการรุกรานใดๆ ก็ตาม” พล.ต.ซาลามีกล่าว และย้ำว่าอิหร่านไม่เคยก่อสงครามกับประเทศไหน แต่อิหร่านจะเตรียมพร้อมเต็มกำลังเพื่อปกป้องประเทศชาติ

ขณะเดียวกันกองกำลังพิทักษ์อิหร่านระบุว่าโดรนที่ถูกยิงตกเป็นโดรนอาร์คิว-4 โกลบอล ฮอว์ก ของสหรัฐ แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่าเป็นโดรนของกองทัพเรือสหรัฐ รุ่นเอ็มคิว-4 ซี ไทรตัน ซึ่งเป็นโดรนลาดตระเวนเพื่อการสำรวจ และมีมูลค่า 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่่า 5,560 ล้านบาท

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่ความสัมพันธ์ของอิหร่านและสหรัฐไม่ลงรอย จากเหตุเรือบรรทุกน้ำมันถูกโจมตีขณะเดินทางในน่านน้ำตะวันออกกลาง ซึ่งสหรัฐระบุเชื่อว่าเป็นฝีมือของอิหร่าน เพื่อตอบโต้สหรัฐที่ถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านเมื่อกลางปี 2561 และยกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านต่อเนื่อง

จนมีเหตุความไม่สงบในน่านน้ำตะวันออกกลางหลายครั้ง ตั้งแต่เหตุเรือบรรทุกน้ำมัน 4 ลำถูกโจมตีนอกชายฝั่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเหตุระเบิดเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำ ในอ่าวโอมาน เมื่อ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา

ภาคใต้ยังอ่วม! กรมอุตุฯ เตือน 31จว.รับมือมรสุม ทะเลมีคลื่นยักษ์ ชาวเรือระวังด้วย

ภาคใต้ยังหนัก! กรมอุตุฯ เตือนรับมือมรสุม ฝนถล่มร้อยละ 60 ทะเลมีคลื่นสูงกว่า 3 เมตร แนะเลี่ยงเดินเรือบริเวณที่มีฝน เรือเล็กงดออกจากฝั่ง กรุงเทพฯวันนี้ฝนลดลง

กรมอุตุฯ / วันที่ 21 มิ.ย. กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีปริมาณและการกระจายฝนลดลง เว้นแต่ภาคใต้จะมีฝนตกมากกว่าภาคอื่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง

สำหรับทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ เรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่ง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง จนถึงวันที่ 23 มิ.ย. 62

ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงยังคงพัดปกคลุมฝั่งตะวันตกของประเทศ ภาคใต้ และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมทะเลจีนใต้ตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกมากกว่าภาคอื่นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนประเทศไทยตอนบนมีฝนลดลง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06.00 น.ของวันนี้ ถึงเวลา 06.00 น.ของวันที่ 22 มิ.ย.นี้ ภาคเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง สุโขทัย กำแพงเพชร และตาก อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส

อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดหนองบัวลำภู บึงกาฬ สกลนคร นครพนม และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคกลาง มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และนครปฐม อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ บริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส

ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ตขึ้นมา: ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ตั้งแต่จังหวัดกระบี่ลงไป: ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


หยุดสร้าง 1 ปี อาคาร เครนถล่ม รับผิด พร้อมเยียวยา อัสสัมฯปิดต่อถึง 24 มิ.ย.

เครนถล่ม / จากเหตุเครนก่อสร้างไซต์งานต่อเติม โรงแรมริเวอร์ การ์เด้น ถ.เจริญกรุง เขตบางรัก กทม. ตกลงมาบริเวณหลังคาสนามบาสเก็ตบอล โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ที่อยู่ติดกัน

เป็นเหตุให้แผ่นโครงเหล็กหลังคา และอุปกรณ์ก่อสร้าง ถล่มลงมายังชั้นล่าง เหตุเกิดเมื่อเวลา 10.40 น. วันที่ 19 มิ.ย. โดยขณะเกิดเหตุมีนักเรียนกำลังนั่งรวมแถวอยู่ในสนามบาสเกตบอลดังกล่าว เป็นเหตุให้มีนักเรียนบาดเจ็บ 10 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน นำส่งโรงพยาบาลเลิดสิน และโรงพยาบาลเซ็นต์หลุยส์ ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

เมื่อเวลา 16.05 น. วันที่ 20 มิ.ย. ที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ นายชลำ อรรถธรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) พร้อมด้วยผู้บริหารโรงเรียน นายกสมาคมผู้ปกครอง นักเรียนและครูโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ผู้แทนสำนักการโยธากรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้แทนสถานประกอบการ ร่วมแถลงข่าวภายหลังการประชุม เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ปัญหากรณีเกิดเหตุเครนถล่มลงใส่อาคารเรียน จนเป็นเหตุให้นักเรียนได้รับบาดเจ็บ 10 ราย

นายชลำ กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือพร้อมทั้งกำหนดมาตรการระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะสั้น เรื่องการเยียวนักเรียน 10 รายที่ได้รับบาดเจ็บ ทางผู้ประกอบจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ขณะเดียวกัน

จะมีมาตรการดูแลเยียวยาสภาพจิตใจของผู้ที่ประสบเหตุ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มนักเรียนระดับชั้น ม.3/4 ที่ทำกิจกรรมในช่วงเวลาเกิดเหตุเครนถล่ม, กลุ่มนักเรียนทั้งโรงเรียน และกลุ่มครูและบุคลากรของโรงเรียน โดยจะมีการประสานนักจิตวิทยา เข้ามาดูแลทำกิจกรรมเพื่อให้ลดความวิตกกังวล ซึ่งผู้ประกอบการจะดูแลค่าใช้จ่ายส่วนนี้ด้วย

นายชลำกล่าวต่อว่า ส่วนมาตรการระยะยาว มีข้อตกลงร่วมกันว่า ตลอดปีการศึกษา 2562 ซึ่งจะสิ้นสุด 31 มี.ค. 2563 ทางผู้ประกอบการจะไม่มีการก่อสร้างใดๆไปตลอด 1 ปีนี้ เพื่อให้ผู้ปกครองนักเรียนสบายใจ ซึ่งประเด็นนี้ทางสำนักการโยธา กทม. สำนักงานเขตบางรัก รับทราบข้อตกลงดังกล่าว

ส่วนอาคารดังกล่าวจะก่อสร้างต่อได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับระเบียบกฎหมาย ทางสำนักการโยธา กทม.จะเป็นผู้พิจารณา อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนยืนยันว่าถ้าจะมีการก่อสร้างต่อ ต้องมีการทำประชาพิจารณ์โดยโรงเรียนและผู้ปกครองจะต้องรับรู้ และร่วมตรวจสอบทุกขั้นตอน หากเห็นว่าไม่สมควรจะโต้แย้ง ซึ่งจะไม่มีการอะลุ่มอะลวยแน่นอน

“ส่วนที่มีข้อสงสัยมาตรการของโรงเรียน พบว่าโรงเรียนมีการกำหนดมาตรการเข้มงวด จะเห็นได้ว่าอาคารที่ใกล้ที่ก่อสร้างมีหลังคารองรับ แต่ด้วยความรุนแรงของสิ่งที่ตกลงมาหนักเกินกว่าที่หลังคาจะรับได้อยู่ จากเหตุการณ์นี้ ผมจะทำหนังสือไปแจ้งไปศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ให้แจ้งโรงเรียนว่าหากอยู่ใกล้ที่มีการก่อสร้างก็ขอให้ช่วยกันตรวจสอบ ดูแลเข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์” นายชลำ กล่าว

ด้านน.ส.นิภา พรฤกษ์งาม ผอ.โรงเรียน กล่าวว่า โรงเรียนห่วงใย ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนสูงสุด ซึ่งจากการประชุมเห็นร่วมกันว่า ระหว่างการซ่อมแซมอาคารที่เสียหาย ซึ่งจะต้องนำสิ่งก่อสร้างที่ติดบนหลังคาออกให้หมด ทางผู้ประกอบการคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จประมาณ 1 สัปดาห์

ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน โรงเรียนจึงจะประกาศหยุดเรียนวันที่ 20 – 24 มิ.ย. และเปิดเรียนตามปกติวันที่ 25 มิ.ย. ดังนั้นการซ่อมแซมจะต้องแล้วเสร็จก่อนวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ส่วนการเรียนการสอนไม่นิ่งนอนใจ ครูผู้สอนจะมีการติดตาม มีการมอบบทเรียนออนไลน์ให้นักเรียนได้ทำ

ขณะเดียวกัน ในอนาคตที่ทางโครงการจะมีการก่อสร้างต่อ ระหว่างที่มีการทำประชาพิจารณ์หากทางโรงเรียนเห็นว่ามีข้อใดที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเด็ก เราจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่นอน ขอให้ผู้ปกครอง นักเรียนวางใจได้

น.ส.ภัคกร สงวนศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตบางรัก กล่าวว่า ในช่วงระงับการก่อสร้างทางสำนักงานเขตบางรัก จะเข้ามาดูแลไม่ให้มีการแอบก่อสร้าง ซึ่งถ้าพบว่ามีการแอบดำเนินการ ก็จะดำเนินการตามกฎหมาย

ขณะที่นายอานุภาพ อนันต์นับ ผู้ควบคุมการก่อสร้างโครงการฯ ในฐานะตัวแทนผู้ประกอบการ กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มโครงการ เราตระหนักถึงความปลอดภัยต่อบุตรหลานของโรงเรียน ทุกครั้งที่เกิดเหตุเราเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

จนเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ถือเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุด ยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากความประมาทเลินเล่อของผู้ขับเครนในวันดังกล่าว ซึ่งระยะเวลาจากนี้ทางบริษัทยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการซ่อมแซมหลังคาของอาคารอเนกประสงค์ของโรงเรียนให้เสร็จ ภายใน 25 มิ.ย.


ป.ป.ส.-รพ.ตำรวจ ร่วมกิจกรรมวันต้านยาเสพติดโลก พร้อมใจแสดงพลังวิ่ง 23 มิ.ย.

รพ.ตำรวจ / วันที่ 20 มิ.ย. พล.ต.ต.พรชัย สุธีรคุณ นายแพทย์ (สบ7) รองนายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ เข้าร่วมงานพิธีเปิดการจัดกิจกรรม เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลก (26 มิถุนายน) ประจำปี 2562 ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ อาคาร 2 ชั้น 3 สำนักงาน ป.ป.ส. (ดินแดง) โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นประธานในพิธีฯ

ภายในงานนายนิยมกล่าวถึงกิจกรรมการทำงานของสำนักงาน ป.ป.ส. ที่ได้ทำงานร่วมกับภาคีเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน รวมถึงสื่อมวลชนต่างๆ ได้ร่วมกันรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด

ตามกรอบแนวคิดและคำขวัญ “มุ่งมั่น แก้ไข ขจัดภัยยาเสพติด” 26 มิถุนายน วันต่อต้านยาเสพติดโลก เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงปัญหายาเสพติด และเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด

ทั้งนี้พล.ต.ต.พรชัย ยังกล่าวเชิญชวนในวันอาทิตย์ที่ 23 มิ.ย.นี้ ให้ผู้ที่ได้สมัครวิ่งในงาน “วิ่งมินิมาราธอน ต่อต้านยาเสพติด” ที่สำนักงานป.ป.ส. ร่วมกับ UNODC จัดขึ้น เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลก (26 มิ.ย.ของทุกปี)

โดยให้มาร่วมพร้อมใจกันแสดงพลัง เพื่อช่วยกันรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด ณ สวนพุทธมณฑล จ.นครปฐม ทั้งนี้รายได้จากการจัดงานยังร่วมสมทบทุนให้กับ “มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจฯ” อีกด้วย


"ประยุทธ์" แกรนด์โอเพนนิ่ง เวทีประชุมธุรกิจอาเซียน กล่าวยินดี ปชช.ไว้ใจ เป็นนายกฯ ต่อ

“ประยุทธ์” เปิดตัวแกรนด์โอเพนนิ่ง เวที Bloomberg ASEAN Business Summit – ABS หลังรับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี ขอบคุณคนไทยไว้วางใจให้กลับมาเป็นนายกฯ อีก ลั่นจะเป็นนายกฯที่เรียบร้อยขึ้น พร้อมเดินหน้าประเทศตามโรดแมป

วันนี้ (21 มิ.ย.) เมื่อเวลา เวลา 09.00 น.ที่โรงแรม Waldorf Astoria ถนนราชดำริ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวปาฐกถาในการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 (The Fifth Bloomberg ASEAN Business Summit – ABS) เนื่องในโอกาสการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 หัวข้อ “The Future of Thailand and ASEAN” ซึ่งถือเป็นเวทีแรกของพล.อ.ประยุทธ์ในการเปิดตัวและแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีนักลงทุนต่างประเทศ หลังรับโปรดเกล้าฯเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่ง ว่า ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 และนำเสนอความคิดเห็นในหัวข้อ “The Future of Thailand and ASEAN” ที่สำนักข่าว Bloomberg จัดขึ้น ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมและสำคัญต่อประเทศไทยและอาเซียน เนื่องจากประเทศไทยรับหน้าที่ประธานอาเซียนในปีนี้ และจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ สำหรับวิสัยทัศน์สำหรับประเทศไทย นั้น ประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมในหลายด้าน ที่จะเดินหน้าพัฒนาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าพร้อมกับภูมิภาค

“ปัจจุบัน เหตุการณ์ในประเทศมีเสถียรภาพ โดยไทยได้ก้าวพ้นสถานการณ์ความไม่สงบ มีความปรองดอง และสามารถแก้ปัญหาคั่งค้างที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น การประมงผิดกฎหมาย การปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างเป็นระบบ รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ เป็นต้น ที่สำคัญต่อประชาชนชาวไทยมากก็คือ การที่เราได้ผ่านพ้นการเลือกตั้งทั่วไปตามกระบวนการประชาธิปไตยด้วยความเรียบร้อย เป็นไปตามโรดแมปที่กำหนด ซึ่งช่วยให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ และผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อ และจะพยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อสืบสานนโยบายพัฒนาประเทศ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมา ดัชนีเศรษฐกิจต่าง ๆ ของไทยบ่งชี้ว่า สถานการณ์ในประเทศดีขึ้นมาก เศรษฐกิจขยายตัวได้ร้อยละ 4.1 ถือเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 6 ปี มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ระดับ 2.53 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 3.8 ซึ่งสูงที่สูดในรอบ 6 ปี เช่นกัน สำหรับภาคการท่องเที่ยวก็เติบโตได้ต่อเนื่อง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนประเทศไทยถึง 38 ล้านคน ในปี 2561 เพิ่มขึ้น 2.9 ล้านคนจากปีก่อนหน้า และปีนี้คาดว่าเราจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวถึง 40 ล้านคน ซึ่งจะเป็นอีกแหล่งรายได้ที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ เสถียรภาพด้านต่างประเทศยังแข็งแกร่ง สะท้อนจากการเกินดุลบัญชี เดินสะพัดต่อเนื่อง และเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูงเป็นอันดับ 12 ของโลก ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยก็ให้ความสำคัญในการดูแลขั้นตอนกระบวนการอนุญาตต่าง ๆ รวมถึงกฎระเบียบในการทำธุรกิจ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวม ซึ่งเป็นที่น่ายินดี ที่ในการจัดอันดับความสะดวกในการประกอบธุรกิจในปี 2561 ของธนาคารโลก ประเทศไทยปรับดีขึ้นมาอยู่อันดับที่ 27 จากทั้งหมด 190 ประเทศ สูงขึ้นจากปีก่อนถึง 19 อันดับ และเป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียน และเพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน ในช่วงที่พัฒนาการทางเทคโนโลยีได้ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและการเติบโตของประเทศ ไทยจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศให้เอื้อต่อการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมและรองรับอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการเป็นระเบียงเศรษฐกิจแห่งเอเชีย ซึ่งระยะแรก เราได้เร่งพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก หรือ EEC ให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการผลิต การค้า และการลงทุนในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพอุตสาหกรรม รวมถึงผู้ประกอบการไทยให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าโลกได้ดีขึ้น โดยรัฐบาลเตรียมที่จะใช้รูปแบบการพัฒนานี้ ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นของประเทศด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เพื่อให้นโยบายในการพัฒนาประเทศมีความต่อเนื่อง ประเทศไทยได้กำหนด ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ขึ้น เพื่อเป็นกรอบในการทำงานและนำพาให้ ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเป็นธรรม แต่ต้องยอมรับว่า แม้ผู้มีรายได้น้อยในประเทศไทยจะลดลงต่อเนื่อง จากร้อยละ 57.07 ของประชากร ในปี 2533 เหลือร้อยละ 7.87 ในปี 2560 แต่ไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมเช่นเดียวกับอีกหลายประเทศทั่วโลก

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้ไทยตระหนักว่า การพึ่งพาการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยไม่เร่งสร้างความเข้มแข็งและภูมิต้านทานจากภายใน จะทำให้ประเทศถูกกระทบได้ง่าย ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเข้าใจถึงหัวใจของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างลึกซึ้ง ในเรื่องของการพึ่งพาตนเองภายใต้ความพอประมาณและความมีเหตุผล

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การเลือกตั้งที่อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่จุดยืนที่จะสนับสนุนกระบวนการของอาเซียนให้ก้าวหน้าต่อไปจะคงเดิม เพราะสมาชิกอาเซียนตระหนักดีว่า อาเซียนที่แข็งแกร่ง คือผลประโยชน์แห่งชาติ ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียน ได้นำเสนอแนวคิดหลัก คือ ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ผ่านความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดกับทั้งมิตรประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ และ หลังการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ไทยจะเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในฐานะประธานอาเซียน โดยจะย้ำหลักการสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเสรี เปิดกว้าง ครอบคลุม ยั่งยืน และไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ตามแนวคิดหลักของการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทย เพื่อให้เกิดความ ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน กับมิตรประเทศนอกภูมิภาคสำหรับไทยเอง

“เรามีความพร้อมทั้งในแง่พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี เสถียรภาพทางการเมืองที่นำไปสู่ความต่อเนื่องของนโยบาย ซึ่งรัฐบาลใหม่ก็พร้อมสานต่อนโยบายที่ได้วางรากฐานไว้ ซึ่งขอให้ใจเย็นๆ เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งในรัฐบาลใหม่ พูดไว้อย่างไรก็ต้องทำแบบนั้นจึงขอให้ภาคเอกชนเชื่อมั่นและใช้ประโยชน์จากโอกาสและความพร้อมของไทยและอาเซียน ในการขยายโอกาสทางธุรกิจระหว่างกัน โดยไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับหุ้นส่วนภาครัฐและดูแลภาคเอกชน ทั้งในและนอกภูมิภาคบนพื้นฐานของหลักการ 3M คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ การเคารพซึ่งกันและกัน และการมีผลประโยชน์ร่วมกัน สำหรับการประชุมในวันนี้ ผมขอให้ประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ทุกประการ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ทั้งนี้ในช่วงท้าย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวหยอกล้อกับผู้ร่วมสัมนา ว่า ความจริงวันนี้ไม่ได้อยากพูดยาว แต่ก็อยากคุยเพราะไม่ได้พูดคุยมาหลายวัน ก่อนหน้านี้คุยกันแต่เรื่องปัญหา หลังจากนี้จะเป็นนายกฯที่เรียบร้อย เรื่องอะไรไม่สำคัญก็จะไม่ตอบ


'สี จิ้นผิง-คิมจองอึน'ส่งสัญญาณเย้ย'ทรัมป์' ย้ำสัมพันธ์'จีน-เกาหลีเหนือ'แน่นแฟ้น

21 มิ.ย.62 สำนักข่าวกลางเกาหลี หรือ เคซีเอ็นเอ ของทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า นายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ได้ให้การต้อนรับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน และนางเผิง ลี่หยวน ภริยา พร้อมคณะ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งนายสีนับว่าเป็นผู้นำจีนคนที่ 4 และคนแรกในรอบ 14 ที่เยือนกรุงเปียงยางอย่างเป็นทางการ

โดยในการพบหารือของผู้นำทั้งสองประเทศ เห็นพ้องกันว่าสถานการณ์ทางการทูตที่ตึงเครียดและซับซ้อนจากภายนอก เป็นแรงผลักดันอย่างดีให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเปียงยางกับรัฐบาลปักกิ่งแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังยกระดับการสื่อสารติดต่อกันทางยุทธศาสตร์และกระชับความร่วมมือในหลากหลายด้าน

โดยนายสี กล่าวว่า รัฐบาลจีนและเกาหลีเหนือเห็นพ้องกันว่า การหาข้อยุติในประเด็นเรื่องนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี ถือเป็นแนวทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และจำเป็นที่จะต้องยึดถือการเจรจาเพื่อสันติภาพต่อไป หวังว่าเกาหลีเหนือกับสหรัฐจะสามารถกลับมาเจรจากันและเป็นไปอย่างประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้ หลายฝ่ายวิเคราะห์การเยือนกรุงเปียงยางของนายสีในครั้งนี้ เป็นการเยือนเชิงสัญลักษณ์มีเจตนาส่งสารถึงสหรัฐว่าจีนยังคงมีอิทธิพลเหนือเกาหลีเหนือ เนื่องจากนอกเหนือจากการพบหารืออย่างเป็นทางการแล้ว ผู้นำทั้งสองประเทศไม่ได้ลงนามร่วมกันในเอกสารฉบับใด

เตือนคนไทยไปต่างประเทศ ระวังติดคุก เพราะเปิด ซิมมือถือ

เตือนภัยคนไทยไปต่างประเทศติดคุกเพราะ ซิมมือถือ สำนักแรงงาน กรุงมะนิลา (กรุงไทเป) เผยแพร่บทความระบุว่า แรงงานไทยที่เดินทางมาทำงานที่ไต้หวัน ต้องประสบภัยรูปแบบใหม่ ถูกพนักงานบริษัทจัดหางานของไทย หลอกให้เซ็นชื่อในแบบฟอร์มยื่นขอเปิดซิมการ์ดมือถือ

ส่งผลให้แรงงานไทยไม่ต่ำกว่า 200 คน หลังจากเดินทางเข้าสู่ไต้หวันได้ไม่นาน ก็ตกเป็นผู้ต้องหา ถูกตำรวจออกหมายเรียกไปสอบปากคำ ข้อหาขู่กรรโชกทรัพย์ หรือหลอกลวงต้มตุ๋นชาวไต้หวัน ทั้งๆ ที่พูดภาษาจีนไม่ได้สักคำ บางคนยังไม่ทันจะเดินทางเข้าไต้หวัน ก็ตกเป็นผู้ต้องหาเสียแล้ว

หลายคนไม่รู้ว่า ทำไมตนถึงไปพัวพันกับคดีอาชญากรรมได้ ทั้งที่ไม่เคยไปซื้อหาหรือขอเปิดซิมกับค่ายมือถือใด แต่จากบริษัทจัดหางานไทยที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยนามกล่าวว่า มีพนักงานบริษัทจัดหางานไทยบางบริษัท นำแบบฟอร์มยื่นขอเปิดซิม ของค่ายมือถือในไต้หวัน ซึ่งมีตัวแทนอยู่ในประเทศไทย ไปหลอกให้คนงานเซ็น โดยนำไปปะปนกับเอกสารการเดินทางไปทำงานที่ไต้หวัน

จากนั้นก็ยื่นขอเปิดซิมต่อค่ายโทรศัพท์มือถือ แล้วนำซิมการ์ดเหล่านี้ไปขายต่อให้แก๊งมิจฉาชีพในไต้หวันนำไปก่อคดี ในราคา 3,000-5,000 เหรียญ ต่อ 1 เบอร์

เมื่อตำรวจดักจับสัญญาณมือถือของแก๊งมิจฉาชีพได้ พบเจ้าของเบอร์มือถือเป็นคนงานไทย จะออกหมายเรียกให้ไปสอบปากคำ ฐานเป็นผู้ต้องหาต้มตุ๋น คนงานไทยบางคนได้รับหลายใบ ต้องขอให้ล่ามพาไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจหลายท้องที่ ทำให้วิตกกังวล ถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ

แม้ว่าสุดที่ท้ายคนงานไทยที่ตกเป็นเหยื่อเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะไม่ถูกสั่งฟ้อง แต่กว่าคดีจะสิ้นสุด ก็ต้องเสียเวลาทำงาน และเสียสุขภาพจิตเป็นปี ขณะที่บางคนโชคร้าย ให้การกลับไปกลับมา ถูกพิพากษาจำคุก ต้องไปรับโทษในคดีที่ตนไม่ได้ก่อขึ้น

จากสถิติของสำนักงานแรงงานไทย ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมาพบว่า มีแรงงานไทยที่ได้รับหมายเรียกไปให้ปากคำแล้วร่วม 300 คน ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาเป็นเจ้าของเบอร์มือถือจากค่ายจงหัวเทเลคอม และไต้หวันโมบายหรือ โอเคการ์ด ก่อคดีต้มตุ๋น ปิดป้ายโฆษณาสินค้าอย่าผิดกฎหมายและขู่กรรโชกทรัพย์ทางโทรศัพท์ หลังเดินทางเข้าไต้หวันได้ 1-3 เดือน และส่วนใหญ่ไม่เคยไปขอเปิดซิมการ์ดมือถือจากร้านใดๆ

เรื่องนี้ทางสำนักงานแรงงานไทยในกรุงไทเป นอกจากทำหนังสือขอให้กระทรวงแรงงานออกประกาศเตือนบริษัทจัดหางานไทย ให้กวดขันกับพนักงานของตน ห้ามมีพฤติกรรมดังกล่าว หากยังปรากฏมีคนงานตกเป็นเหยื่ออีก บริษัทจัดหางานผู้จัดส่งจะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ฐานปล่อยปละละเลย

ขณะเดียวกันก็ประชาสัมพันธ์ขอให้แรงงานไทยระมัดระวัง ขณะลงนามเอกสารใดๆ ก็ตาม ต้องตรวจดูชัดเจนก่อน หากไม่แน่ใจหรือเป็นเอกสารที่ไม่เกี่ยวข้อง ควรปฏิเสธลงนาม เพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ของตน

นอกจากนี้ แรงงานไทย ยังต้องเก็บรักษาซิมการ์ดมือถือของตนไว้ให้ดี ไม่ยืมหรือให้คนอื่นนำไปใช้ เพราะที่ผ่านมา เคยมีแรงงานไทยที่ครบสัญญา เดินทางกลับบ้าน ทิ้งมือถือไว้ให้เพื่อนใช้ เมื่อกลับเข้ามารอบใหม่ถูกจับทันที ข้อหาขู่กรรโชกทรัพย์ เจ้าตัวปฏิเสธก่อคดี และให้การว่าซิมมือถือทิ้งไว้ให้เพื่อนใช้ก่อนกลับประเทศ ไม่ทราบว่าเหตุใด จึงตกไปอยู่ในมือของแก๊งมิจฉาชีพได้

แต่เพื่อนคนดังกล่าว ก็ครบสัญญาเดินทางกลับบ้านไปแล้ว จึงไม่สามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของแรงงานไทยรายนี้ได้ สุดท้ายก็ต้องเข้าคุกรับโทษตามกฎหมาย สำนักงานแรงงานเตือนว่า กรณีจะเดินทางกลับ หรือหมดความจำเป็นใช้แล้ว อย่าทิ้งหรือขายซิมการ์ดหรือมือถือให้คนอื่น เพราะจะสร้างความเดือดร้อนแก่ท่านได้โดยไม่รู้ตัว ควรหักทิ้งหรือทำลายเสีย

เอกสารหรือข้อมูลส่วนตัวก็ต้องระมัดระวัง อย่าเปิดเผยหรือให้คนอื่นนำไปใช้ เพราะอาจนำไปเป็นเอกสารประกอบการยื่นของซิมการ์ดได้ และเครื่องมือถือก็เช่นเดียวกัน อย่ารับหรือซื้อมือถือมือสอง หรือเห็นของคนอื่นตกหล่น อย่าเก็บมาใช้เด็ดขาด แม้จะเปลี่ยนซิมเป็นเบอร์ของเราแล้ว เพราะมือถือทุกเครื่องจะมีรหัสอีมี่ เปรียบเสมือนเลขประจำตัวของมือถือแต่ละเครื่อง

เวลาโทรออก เลขชุดนี้จะถูกส่งไปด้วย สามารถอ่านจากสัญญาณที่ดักจับได้ว่า โทรออกมาจากจุดใด ท่านอาจกลายเป็นผู้ต้องหารับซื้อของโจร หรือขโมยมือถือผู้อื่นไปใช้ ซึ่งเป็นคดีอาญามีโทษถึงจำคุกได้