ภาคใต้ยังหนัก! กรมอุตุฯ เตือนรับมือมรสุม ฝนถล่มร้อยละ 60 ทะเลมีคลื่นสูงกว่า 3 เมตร แนะเลี่ยงเดินเรือบริเวณที่มีฝน เรือเล็กงดออกจากฝั่ง กรุงเทพฯวันนี้ฝนลดลง
กรมอุตุฯ / วันที่ 21 มิ.ย. กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีปริมาณและการกระจายฝนลดลง เว้นแต่ภาคใต้จะมีฝนตกมากกว่าภาคอื่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง
สำหรับทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ เรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่ง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง จนถึงวันที่ 23 มิ.ย. 62
ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงยังคงพัดปกคลุมฝั่งตะวันตกของประเทศ ภาคใต้ และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมทะเลจีนใต้ตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกมากกว่าภาคอื่นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนประเทศไทยตอนบนมีฝนลดลง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06.00 น.ของวันนี้ ถึงเวลา 06.00 น.ของวันที่ 22 มิ.ย.นี้ ภาคเหนือ มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง สุโขทัย กำแพงเพชร และตาก อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดหนองบัวลำภู บึงกาฬ สกลนคร นครพนม และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.
ภาคกลาง มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และนครปฐม อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.
ภาคตะวันออก มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ บริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ตขึ้นมา: ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ตั้งแต่จังหวัดกระบี่ลงไป: ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
เครนถล่ม / จากเหตุเครนก่อสร้างไซต์งานต่อเติม โรงแรมริเวอร์ การ์เด้น ถ.เจริญกรุง เขตบางรัก กทม. ตกลงมาบริเวณหลังคาสนามบาสเก็ตบอล โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ที่อยู่ติดกัน
เป็นเหตุให้แผ่นโครงเหล็กหลังคา และอุปกรณ์ก่อสร้าง ถล่มลงมายังชั้นล่าง เหตุเกิดเมื่อเวลา 10.40 น. วันที่ 19 มิ.ย. โดยขณะเกิดเหตุมีนักเรียนกำลังนั่งรวมแถวอยู่ในสนามบาสเกตบอลดังกล่าว เป็นเหตุให้มีนักเรียนบาดเจ็บ 10 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน นำส่งโรงพยาบาลเลิดสิน และโรงพยาบาลเซ็นต์หลุยส์ ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
เมื่อเวลา 16.05 น. วันที่ 20 มิ.ย. ที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ นายชลำ อรรถธรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) พร้อมด้วยผู้บริหารโรงเรียน นายกสมาคมผู้ปกครอง นักเรียนและครูโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ผู้แทนสำนักการโยธากรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้แทนสถานประกอบการ ร่วมแถลงข่าวภายหลังการประชุม เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ปัญหากรณีเกิดเหตุเครนถล่มลงใส่อาคารเรียน จนเป็นเหตุให้นักเรียนได้รับบาดเจ็บ 10 ราย
นายชลำ กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือพร้อมทั้งกำหนดมาตรการระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะสั้น เรื่องการเยียวนักเรียน 10 รายที่ได้รับบาดเจ็บ ทางผู้ประกอบจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ขณะเดียวกัน
จะมีมาตรการดูแลเยียวยาสภาพจิตใจของผู้ที่ประสบเหตุ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มนักเรียนระดับชั้น ม.3/4 ที่ทำกิจกรรมในช่วงเวลาเกิดเหตุเครนถล่ม, กลุ่มนักเรียนทั้งโรงเรียน และกลุ่มครูและบุคลากรของโรงเรียน โดยจะมีการประสานนักจิตวิทยา เข้ามาดูแลทำกิจกรรมเพื่อให้ลดความวิตกกังวล ซึ่งผู้ประกอบการจะดูแลค่าใช้จ่ายส่วนนี้ด้วย
นายชลำกล่าวต่อว่า ส่วนมาตรการระยะยาว มีข้อตกลงร่วมกันว่า ตลอดปีการศึกษา 2562 ซึ่งจะสิ้นสุด 31 มี.ค. 2563 ทางผู้ประกอบการจะไม่มีการก่อสร้างใดๆไปตลอด 1 ปีนี้ เพื่อให้ผู้ปกครองนักเรียนสบายใจ ซึ่งประเด็นนี้ทางสำนักการโยธา กทม. สำนักงานเขตบางรัก รับทราบข้อตกลงดังกล่าว
ส่วนอาคารดังกล่าวจะก่อสร้างต่อได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับระเบียบกฎหมาย ทางสำนักการโยธา กทม.จะเป็นผู้พิจารณา อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนยืนยันว่าถ้าจะมีการก่อสร้างต่อ ต้องมีการทำประชาพิจารณ์โดยโรงเรียนและผู้ปกครองจะต้องรับรู้ และร่วมตรวจสอบทุกขั้นตอน หากเห็นว่าไม่สมควรจะโต้แย้ง ซึ่งจะไม่มีการอะลุ่มอะลวยแน่นอน
“ส่วนที่มีข้อสงสัยมาตรการของโรงเรียน พบว่าโรงเรียนมีการกำหนดมาตรการเข้มงวด จะเห็นได้ว่าอาคารที่ใกล้ที่ก่อสร้างมีหลังคารองรับ แต่ด้วยความรุนแรงของสิ่งที่ตกลงมาหนักเกินกว่าที่หลังคาจะรับได้อยู่ จากเหตุการณ์นี้ ผมจะทำหนังสือไปแจ้งไปศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ให้แจ้งโรงเรียนว่าหากอยู่ใกล้ที่มีการก่อสร้างก็ขอให้ช่วยกันตรวจสอบ ดูแลเข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์” นายชลำ กล่าว
ด้านน.ส.นิภา พรฤกษ์งาม ผอ.โรงเรียน กล่าวว่า โรงเรียนห่วงใย ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนสูงสุด ซึ่งจากการประชุมเห็นร่วมกันว่า ระหว่างการซ่อมแซมอาคารที่เสียหาย ซึ่งจะต้องนำสิ่งก่อสร้างที่ติดบนหลังคาออกให้หมด ทางผู้ประกอบการคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จประมาณ 1 สัปดาห์
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน โรงเรียนจึงจะประกาศหยุดเรียนวันที่ 20 – 24 มิ.ย. และเปิดเรียนตามปกติวันที่ 25 มิ.ย. ดังนั้นการซ่อมแซมจะต้องแล้วเสร็จก่อนวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ส่วนการเรียนการสอนไม่นิ่งนอนใจ ครูผู้สอนจะมีการติดตาม มีการมอบบทเรียนออนไลน์ให้นักเรียนได้ทำ
ขณะเดียวกัน ในอนาคตที่ทางโครงการจะมีการก่อสร้างต่อ ระหว่างที่มีการทำประชาพิจารณ์หากทางโรงเรียนเห็นว่ามีข้อใดที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเด็ก เราจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่นอน ขอให้ผู้ปกครอง นักเรียนวางใจได้
น.ส.ภัคกร สงวนศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตบางรัก กล่าวว่า ในช่วงระงับการก่อสร้างทางสำนักงานเขตบางรัก จะเข้ามาดูแลไม่ให้มีการแอบก่อสร้าง ซึ่งถ้าพบว่ามีการแอบดำเนินการ ก็จะดำเนินการตามกฎหมาย
ขณะที่นายอานุภาพ อนันต์นับ ผู้ควบคุมการก่อสร้างโครงการฯ ในฐานะตัวแทนผู้ประกอบการ กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มโครงการ เราตระหนักถึงความปลอดภัยต่อบุตรหลานของโรงเรียน ทุกครั้งที่เกิดเหตุเราเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
จนเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ถือเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุด ยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากความประมาทเลินเล่อของผู้ขับเครนในวันดังกล่าว ซึ่งระยะเวลาจากนี้ทางบริษัทยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการซ่อมแซมหลังคาของอาคารอเนกประสงค์ของโรงเรียนให้เสร็จ ภายใน 25 มิ.ย.
รพ.ตำรวจ / วันที่ 20 มิ.ย. พล.ต.ต.พรชัย สุธีรคุณ นายแพทย์ (สบ7) รองนายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ เข้าร่วมงานพิธีเปิดการจัดกิจกรรม เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลก (26 มิถุนายน) ประจำปี 2562 ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ อาคาร 2 ชั้น 3 สำนักงาน ป.ป.ส. (ดินแดง) โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นประธานในพิธีฯ
ภายในงานนายนิยมกล่าวถึงกิจกรรมการทำงานของสำนักงาน ป.ป.ส. ที่ได้ทำงานร่วมกับภาคีเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน รวมถึงสื่อมวลชนต่างๆ ได้ร่วมกันรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด
ตามกรอบแนวคิดและคำขวัญ “มุ่งมั่น แก้ไข ขจัดภัยยาเสพติด” 26 มิถุนายน วันต่อต้านยาเสพติดโลก เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงปัญหายาเสพติด และเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
ทั้งนี้พล.ต.ต.พรชัย ยังกล่าวเชิญชวนในวันอาทิตย์ที่ 23 มิ.ย.นี้ ให้ผู้ที่ได้สมัครวิ่งในงาน “วิ่งมินิมาราธอน ต่อต้านยาเสพติด” ที่สำนักงานป.ป.ส. ร่วมกับ UNODC จัดขึ้น เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลก (26 มิ.ย.ของทุกปี)
โดยให้มาร่วมพร้อมใจกันแสดงพลัง เพื่อช่วยกันรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด ณ สวนพุทธมณฑล จ.นครปฐม ทั้งนี้รายได้จากการจัดงานยังร่วมสมทบทุนให้กับ “มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจฯ” อีกด้วย
“ประยุทธ์” เปิดตัวแกรนด์โอเพนนิ่ง เวที Bloomberg ASEAN Business Summit – ABS หลังรับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี ขอบคุณคนไทยไว้วางใจให้กลับมาเป็นนายกฯ อีก ลั่นจะเป็นนายกฯที่เรียบร้อยขึ้น พร้อมเดินหน้าประเทศตามโรดแมป
วันนี้ (21 มิ.ย.) เมื่อเวลา เวลา 09.00 น.ที่โรงแรม Waldorf Astoria ถนนราชดำริ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวปาฐกถาในการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 (The Fifth Bloomberg ASEAN Business Summit – ABS) เนื่องในโอกาสการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 หัวข้อ “The Future of Thailand and ASEAN” ซึ่งถือเป็นเวทีแรกของพล.อ.ประยุทธ์ในการเปิดตัวและแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีนักลงทุนต่างประเทศ หลังรับโปรดเกล้าฯเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่ง ว่า ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 และนำเสนอความคิดเห็นในหัวข้อ “The Future of Thailand and ASEAN” ที่สำนักข่าว Bloomberg จัดขึ้น ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมและสำคัญต่อประเทศไทยและอาเซียน เนื่องจากประเทศไทยรับหน้าที่ประธานอาเซียนในปีนี้ และจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ สำหรับวิสัยทัศน์สำหรับประเทศไทย นั้น ประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมในหลายด้าน ที่จะเดินหน้าพัฒนาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าพร้อมกับภูมิภาค
“ปัจจุบัน เหตุการณ์ในประเทศมีเสถียรภาพ โดยไทยได้ก้าวพ้นสถานการณ์ความไม่สงบ มีความปรองดอง และสามารถแก้ปัญหาคั่งค้างที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น การประมงผิดกฎหมาย การปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างเป็นระบบ รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ เป็นต้น ที่สำคัญต่อประชาชนชาวไทยมากก็คือ การที่เราได้ผ่านพ้นการเลือกตั้งทั่วไปตามกระบวนการประชาธิปไตยด้วยความเรียบร้อย เป็นไปตามโรดแมปที่กำหนด ซึ่งช่วยให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ และผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อ และจะพยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อสืบสานนโยบายพัฒนาประเทศ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมา ดัชนีเศรษฐกิจต่าง ๆ ของไทยบ่งชี้ว่า สถานการณ์ในประเทศดีขึ้นมาก เศรษฐกิจขยายตัวได้ร้อยละ 4.1 ถือเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 6 ปี มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ระดับ 2.53 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 3.8 ซึ่งสูงที่สูดในรอบ 6 ปี เช่นกัน สำหรับภาคการท่องเที่ยวก็เติบโตได้ต่อเนื่อง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนประเทศไทยถึง 38 ล้านคน ในปี 2561 เพิ่มขึ้น 2.9 ล้านคนจากปีก่อนหน้า และปีนี้คาดว่าเราจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวถึง 40 ล้านคน ซึ่งจะเป็นอีกแหล่งรายได้ที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ เสถียรภาพด้านต่างประเทศยังแข็งแกร่ง สะท้อนจากการเกินดุลบัญชี เดินสะพัดต่อเนื่อง และเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูงเป็นอันดับ 12 ของโลก ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยก็ให้ความสำคัญในการดูแลขั้นตอนกระบวนการอนุญาตต่าง ๆ รวมถึงกฎระเบียบในการทำธุรกิจ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวม ซึ่งเป็นที่น่ายินดี ที่ในการจัดอันดับความสะดวกในการประกอบธุรกิจในปี 2561 ของธนาคารโลก ประเทศไทยปรับดีขึ้นมาอยู่อันดับที่ 27 จากทั้งหมด 190 ประเทศ สูงขึ้นจากปีก่อนถึง 19 อันดับ และเป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียน และเพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน ในช่วงที่พัฒนาการทางเทคโนโลยีได้ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและการเติบโตของประเทศ ไทยจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศให้เอื้อต่อการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมและรองรับอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการเป็นระเบียงเศรษฐกิจแห่งเอเชีย ซึ่งระยะแรก เราได้เร่งพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก หรือ EEC ให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการผลิต การค้า และการลงทุนในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพอุตสาหกรรม รวมถึงผู้ประกอบการไทยให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าโลกได้ดีขึ้น โดยรัฐบาลเตรียมที่จะใช้รูปแบบการพัฒนานี้ ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นของประเทศด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เพื่อให้นโยบายในการพัฒนาประเทศมีความต่อเนื่อง ประเทศไทยได้กำหนด ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ขึ้น เพื่อเป็นกรอบในการทำงานและนำพาให้ ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเป็นธรรม แต่ต้องยอมรับว่า แม้ผู้มีรายได้น้อยในประเทศไทยจะลดลงต่อเนื่อง จากร้อยละ 57.07 ของประชากร ในปี 2533 เหลือร้อยละ 7.87 ในปี 2560 แต่ไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมเช่นเดียวกับอีกหลายประเทศทั่วโลก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้ไทยตระหนักว่า การพึ่งพาการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยไม่เร่งสร้างความเข้มแข็งและภูมิต้านทานจากภายใน จะทำให้ประเทศถูกกระทบได้ง่าย ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเข้าใจถึงหัวใจของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างลึกซึ้ง ในเรื่องของการพึ่งพาตนเองภายใต้ความพอประมาณและความมีเหตุผล
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การเลือกตั้งที่อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่จุดยืนที่จะสนับสนุนกระบวนการของอาเซียนให้ก้าวหน้าต่อไปจะคงเดิม เพราะสมาชิกอาเซียนตระหนักดีว่า อาเซียนที่แข็งแกร่ง คือผลประโยชน์แห่งชาติ ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียน ได้นำเสนอแนวคิดหลัก คือ ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ผ่านความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดกับทั้งมิตรประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ และ หลังการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ไทยจะเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในฐานะประธานอาเซียน โดยจะย้ำหลักการสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเสรี เปิดกว้าง ครอบคลุม ยั่งยืน และไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ตามแนวคิดหลักของการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทย เพื่อให้เกิดความ ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน กับมิตรประเทศนอกภูมิภาคสำหรับไทยเอง
“เรามีความพร้อมทั้งในแง่พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี เสถียรภาพทางการเมืองที่นำไปสู่ความต่อเนื่องของนโยบาย ซึ่งรัฐบาลใหม่ก็พร้อมสานต่อนโยบายที่ได้วางรากฐานไว้ ซึ่งขอให้ใจเย็นๆ เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งในรัฐบาลใหม่ พูดไว้อย่างไรก็ต้องทำแบบนั้นจึงขอให้ภาคเอกชนเชื่อมั่นและใช้ประโยชน์จากโอกาสและความพร้อมของไทยและอาเซียน ในการขยายโอกาสทางธุรกิจระหว่างกัน โดยไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับหุ้นส่วนภาครัฐและดูแลภาคเอกชน ทั้งในและนอกภูมิภาคบนพื้นฐานของหลักการ 3M คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ การเคารพซึ่งกันและกัน และการมีผลประโยชน์ร่วมกัน สำหรับการประชุมในวันนี้ ผมขอให้ประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ทุกประการ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ทั้งนี้ในช่วงท้าย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวหยอกล้อกับผู้ร่วมสัมนา ว่า ความจริงวันนี้ไม่ได้อยากพูดยาว แต่ก็อยากคุยเพราะไม่ได้พูดคุยมาหลายวัน ก่อนหน้านี้คุยกันแต่เรื่องปัญหา หลังจากนี้จะเป็นนายกฯที่เรียบร้อย เรื่องอะไรไม่สำคัญก็จะไม่ตอบ
21 มิ.ย.62 สำนักข่าวกลางเกาหลี หรือ เคซีเอ็นเอ ของทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า นายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ได้ให้การต้อนรับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน และนางเผิง ลี่หยวน ภริยา พร้อมคณะ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งนายสีนับว่าเป็นผู้นำจีนคนที่ 4 และคนแรกในรอบ 14 ที่เยือนกรุงเปียงยางอย่างเป็นทางการ
โดยในการพบหารือของผู้นำทั้งสองประเทศ เห็นพ้องกันว่าสถานการณ์ทางการทูตที่ตึงเครียดและซับซ้อนจากภายนอก เป็นแรงผลักดันอย่างดีให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเปียงยางกับรัฐบาลปักกิ่งแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังยกระดับการสื่อสารติดต่อกันทางยุทธศาสตร์และกระชับความร่วมมือในหลากหลายด้าน
โดยนายสี กล่าวว่า รัฐบาลจีนและเกาหลีเหนือเห็นพ้องกันว่า การหาข้อยุติในประเด็นเรื่องนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี ถือเป็นแนวทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และจำเป็นที่จะต้องยึดถือการเจรจาเพื่อสันติภาพต่อไป หวังว่าเกาหลีเหนือกับสหรัฐจะสามารถกลับมาเจรจากันและเป็นไปอย่างประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ หลายฝ่ายวิเคราะห์การเยือนกรุงเปียงยางของนายสีในครั้งนี้ เป็นการเยือนเชิงสัญลักษณ์มีเจตนาส่งสารถึงสหรัฐว่าจีนยังคงมีอิทธิพลเหนือเกาหลีเหนือ เนื่องจากนอกเหนือจากการพบหารืออย่างเป็นทางการแล้ว ผู้นำทั้งสองประเทศไม่ได้ลงนามร่วมกันในเอกสารฉบับใด
เตือนภัยคนไทยไปต่างประเทศติดคุกเพราะ ซิมมือถือ สำนักแรงงาน กรุงมะนิลา (กรุงไทเป) เผยแพร่บทความระบุว่า แรงงานไทยที่เดินทางมาทำงานที่ไต้หวัน ต้องประสบภัยรูปแบบใหม่ ถูกพนักงานบริษัทจัดหางานของไทย หลอกให้เซ็นชื่อในแบบฟอร์มยื่นขอเปิดซิมการ์ดมือถือ
ส่งผลให้แรงงานไทยไม่ต่ำกว่า 200 คน หลังจากเดินทางเข้าสู่ไต้หวันได้ไม่นาน ก็ตกเป็นผู้ต้องหา ถูกตำรวจออกหมายเรียกไปสอบปากคำ ข้อหาขู่กรรโชกทรัพย์ หรือหลอกลวงต้มตุ๋นชาวไต้หวัน ทั้งๆ ที่พูดภาษาจีนไม่ได้สักคำ บางคนยังไม่ทันจะเดินทางเข้าไต้หวัน ก็ตกเป็นผู้ต้องหาเสียแล้ว
หลายคนไม่รู้ว่า ทำไมตนถึงไปพัวพันกับคดีอาชญากรรมได้ ทั้งที่ไม่เคยไปซื้อหาหรือขอเปิดซิมกับค่ายมือถือใด แต่จากบริษัทจัดหางานไทยที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยนามกล่าวว่า มีพนักงานบริษัทจัดหางานไทยบางบริษัท นำแบบฟอร์มยื่นขอเปิดซิม ของค่ายมือถือในไต้หวัน ซึ่งมีตัวแทนอยู่ในประเทศไทย ไปหลอกให้คนงานเซ็น โดยนำไปปะปนกับเอกสารการเดินทางไปทำงานที่ไต้หวัน
จากนั้นก็ยื่นขอเปิดซิมต่อค่ายโทรศัพท์มือถือ แล้วนำซิมการ์ดเหล่านี้ไปขายต่อให้แก๊งมิจฉาชีพในไต้หวันนำไปก่อคดี ในราคา 3,000-5,000 เหรียญ ต่อ 1 เบอร์
เมื่อตำรวจดักจับสัญญาณมือถือของแก๊งมิจฉาชีพได้ พบเจ้าของเบอร์มือถือเป็นคนงานไทย จะออกหมายเรียกให้ไปสอบปากคำ ฐานเป็นผู้ต้องหาต้มตุ๋น คนงานไทยบางคนได้รับหลายใบ ต้องขอให้ล่ามพาไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจหลายท้องที่ ทำให้วิตกกังวล ถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ
แม้ว่าสุดที่ท้ายคนงานไทยที่ตกเป็นเหยื่อเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะไม่ถูกสั่งฟ้อง แต่กว่าคดีจะสิ้นสุด ก็ต้องเสียเวลาทำงาน และเสียสุขภาพจิตเป็นปี ขณะที่บางคนโชคร้าย ให้การกลับไปกลับมา ถูกพิพากษาจำคุก ต้องไปรับโทษในคดีที่ตนไม่ได้ก่อขึ้น
จากสถิติของสำนักงานแรงงานไทย ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมาพบว่า มีแรงงานไทยที่ได้รับหมายเรียกไปให้ปากคำแล้วร่วม 300 คน ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาเป็นเจ้าของเบอร์มือถือจากค่ายจงหัวเทเลคอม และไต้หวันโมบายหรือ โอเคการ์ด ก่อคดีต้มตุ๋น ปิดป้ายโฆษณาสินค้าอย่าผิดกฎหมายและขู่กรรโชกทรัพย์ทางโทรศัพท์ หลังเดินทางเข้าไต้หวันได้ 1-3 เดือน และส่วนใหญ่ไม่เคยไปขอเปิดซิมการ์ดมือถือจากร้านใดๆ
เรื่องนี้ทางสำนักงานแรงงานไทยในกรุงไทเป นอกจากทำหนังสือขอให้กระทรวงแรงงานออกประกาศเตือนบริษัทจัดหางานไทย ให้กวดขันกับพนักงานของตน ห้ามมีพฤติกรรมดังกล่าว หากยังปรากฏมีคนงานตกเป็นเหยื่ออีก บริษัทจัดหางานผู้จัดส่งจะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ฐานปล่อยปละละเลย
ขณะเดียวกันก็ประชาสัมพันธ์ขอให้แรงงานไทยระมัดระวัง ขณะลงนามเอกสารใดๆ ก็ตาม ต้องตรวจดูชัดเจนก่อน หากไม่แน่ใจหรือเป็นเอกสารที่ไม่เกี่ยวข้อง ควรปฏิเสธลงนาม เพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ของตน
นอกจากนี้ แรงงานไทย ยังต้องเก็บรักษาซิมการ์ดมือถือของตนไว้ให้ดี ไม่ยืมหรือให้คนอื่นนำไปใช้ เพราะที่ผ่านมา เคยมีแรงงานไทยที่ครบสัญญา เดินทางกลับบ้าน ทิ้งมือถือไว้ให้เพื่อนใช้ เมื่อกลับเข้ามารอบใหม่ถูกจับทันที ข้อหาขู่กรรโชกทรัพย์ เจ้าตัวปฏิเสธก่อคดี และให้การว่าซิมมือถือทิ้งไว้ให้เพื่อนใช้ก่อนกลับประเทศ ไม่ทราบว่าเหตุใด จึงตกไปอยู่ในมือของแก๊งมิจฉาชีพได้
แต่เพื่อนคนดังกล่าว ก็ครบสัญญาเดินทางกลับบ้านไปแล้ว จึงไม่สามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของแรงงานไทยรายนี้ได้ สุดท้ายก็ต้องเข้าคุกรับโทษตามกฎหมาย สำนักงานแรงงานเตือนว่า กรณีจะเดินทางกลับ หรือหมดความจำเป็นใช้แล้ว อย่าทิ้งหรือขายซิมการ์ดหรือมือถือให้คนอื่น เพราะจะสร้างความเดือดร้อนแก่ท่านได้โดยไม่รู้ตัว ควรหักทิ้งหรือทำลายเสีย
เอกสารหรือข้อมูลส่วนตัวก็ต้องระมัดระวัง อย่าเปิดเผยหรือให้คนอื่นนำไปใช้ เพราะอาจนำไปเป็นเอกสารประกอบการยื่นของซิมการ์ดได้ และเครื่องมือถือก็เช่นเดียวกัน อย่ารับหรือซื้อมือถือมือสอง หรือเห็นของคนอื่นตกหล่น อย่าเก็บมาใช้เด็ดขาด แม้จะเปลี่ยนซิมเป็นเบอร์ของเราแล้ว เพราะมือถือทุกเครื่องจะมีรหัสอีมี่ เปรียบเสมือนเลขประจำตัวของมือถือแต่ละเครื่อง
เวลาโทรออก เลขชุดนี้จะถูกส่งไปด้วย สามารถอ่านจากสัญญาณที่ดักจับได้ว่า โทรออกมาจากจุดใด ท่านอาจกลายเป็นผู้ต้องหารับซื้อของโจร หรือขโมยมือถือผู้อื่นไปใช้ ซึ่งเป็นคดีอาญามีโทษถึงจำคุกได้