ข่าว
จีนทุ่ม1.3ล้านล้านซื้อโบอิ้ง 300ลำ/แก้วิกฤตปลดพนง.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเอเวอเรตต์ รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ว่า นายเดนนิส มุยเลนเบิร์ก ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของโบอิ้ง แถลงเมื่อวันพุธ ระหว่างให้การต้อนรับประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" ผู้นำจีน ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมชมโรงงานของบริษัท เรื่องคำสั่งซื้ออากาศยานลำตัวแคบรุ่น 737 จำนวน 250 ลำ และอากาศยานแบบลำตัวกว้างอีก 50 ลำ จากทางการจีน คิดเป็นมูลค่ารวมสูงราว 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.36 ล้านล้านบาท)

มุยเลนเบิร์กกล่าวด้วยว่า การที่ประธานาธิบดีจีนเดินทางมายังโรงงานของโบอิ้งด้วยตัวเอง ถือเป็น "บทพิสูจน์" ครั้งสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีน และโบอิ้ง นอกจากนี้ เพื่อบรรเทาความวิตกกังวลของบรรดาช่างเครื่องยนต์ซึ่งกังวลเรื่องการสูญเสียตำแหน่งงาน เนื่องจากโบอิ้งเตรียมเปิดโรงงานประกอบเครื่องบินรุ่น 737 ในจีน ที่จะรับงานต่อจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนในเมืองเรนตัน รัฐวอชิงตัน มุยเลนเบิร์กยืนยันทางบริษัทไม่มีแผนปลดพนักงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินรุ่นนี้

ขณะที่ในวันเดียวกัน สีกล่าวต่อที่ประชุมโต๊ะกลมนักธุรกิจจีนและสหรัฐ ที่รวมถึงไมโครซอฟท์ แอมะซอน แอปเปิ้ล และเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ ว่ารัฐบาลปักกิ่งมีนโยบายเปิดกว้างด้านการลงทุนมากขึ้น เพื่อต้อนรับผู้ประกอบการจากตะวันตก โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อยกเลิกและผ่อนปรนข้อจำกัดด้านการลงทุนสำหรับต่างชาติ ผู้นำจีนกล่าวด้วยว่าหากไม่มีการปฏิรูปก็จะไม่มีการพัฒนา

ทนาย "อาเดม" ไม่เชื่อ! ลูกความสารภาพเป็นชายเสื้อเหลืองวางบึ้ม ชี้แขนซ้ายไม่มีแผลเป็น

ทนายความ อาเดม ไม่เชื่อ อาเดมรับเป็นชายเสื้อเหลืองมือวางระเบิดศาลท้าวมหาพรหม ระบุแขนซ้ายไม่มีแผลเป็นแน่นอน เผย เมื่อวานเจ้าหน้าที่งดเยี่ยม เพราะ ป่วยหนักเป็นความดัน และไข้หวัด เตรียมเยี่ยมอีกครั้งจันทร์นี้

นายชูชาติ กันภัย ทนายความนายอาเด็ม คาราดัค ผู้ต้องหา “ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย” เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักข่าวแห่งหนึ่งระบุว่า นายอาเดม ออกมายอมรับว่าเป็นชายเสื้อเหลืองที่นำกระเป๋าเป้ไปวางที่ศาลท้าวมหาพรหม จนเกิดเหตุระเบิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ส.ค. 58 โดยนำจุดสังเกตุเรื่องการพรางตัวใส่วิก และรอยแผลเป็นที่แขนซ้ายมาอ้างอิงนั้น

นายชูชาติ ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีการออกมาชี้แจงจากพนักงานสอบสวน และจากการเข้าเยี่ยมเมื่อวาน(23 ก.ย. 58) ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้งดเยี่ยมเนื่องจากนายอาเดม ป่วยหนักจนต้องมีแพทย์มาตรวจ ซึ่งพบว่าป่วยเป็นไข้หวัด และความดันสูง ประกอบกับนายอาเดมไม่ยอมรับประทานอาหาร ส่วนตัวเดินทางไปพบอาเดม 2 ครั้ง

เบื้องต้น จากการเข้าพบอาเดมครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 58 ยังให้การปฏิเสธเรื่องระเบิดอยู่ และยังไม่มีการยอมรับเรื่องเป็นชายเสื้อเหลือง แต่ถ้านายอาเดมรับสารภาพจริง ก็ต้องดูเหตุผลประกอบว่า รับด้วยเหตุผลใด อาจมีการโน้มน้าวให้รับสารภาพหรือไม่อย่างไร เพราะส่วนตัวดูจากรูปลักษณ์ของนายอาเดม เทียบกับชายเสื้อเหลืองในวันเกิดเหตุ สรีระร่างกายคนละเรื่องกันเลย และคนในภาพวงจรปิดมีลักษณะไหล่กว้าง และไหล่ตรง แต่นายอาเดมเป็นคนตัวเล็ก ไหล่ตก ใบหน้าก็คนละแบบ และเท่าที่พูดคุยกับอาเดมเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 58 จากการสังเกตุแขนซ้ายนายอาเดมไม่มีแผลเป็นเท่าที่ดูอย่างคร่าวๆ ไม่มีแน่นอน และส่วนตัวยังรู้สึกงงว่าข่าวออกมาได้อย่างไร

อย่างไรก็ตามนายชูชาติ จะเดินทางไปเยี่ยมนายอาเดม อีกครั้งในเวลา 8.30 ของวันจันทร์ (28 ก.ย. 58) เพื่อสอบถามรายละเอียดเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง


ชื่นชม'รองต๋อย'ไม่ถือยศ ก้มเช็ดรองเท้าให้ลูกน้อง

กรณีโลกออนไลน์มีการแชร์ภาพจากผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อ Watchrain Klimali ซึ่งเป็นภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งขณะก้มลงไปเช็ดอะไรบางอย่างจากรองเท้าให้ตำรวจในสังกัด พร้อมระบุ "ดาวบนบ่า...ไม่มีผล!!!สำหรับ!!! ตำรวจ...ที่ชื่อ!!! "พ.ต.ท.ธวัชชัย ศรีสุรางค์" รอง ผกก.ป.สน.บางมด" หลังภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ ทำให้มีผู้คนเข้ามาแสดงความชื่นชมและสงสัยว่าตำรวจในภาพกำลังก้มลงทำอะไร โดยผู้โพสต์ได้ระบุเพิ่มเติมภายหลังว่า ภาพดังกล่าว "เป็นงานทบทวนยุทธวิธีชุดจู่โจม บก.น.8 ซึ่ง พ.ต.ท.ธวัชชัย เป็นหัวหน้าชุด ระหว่างรอผู้บังคับบัญชามาเป็นประธานเปิด พ.ต.ท.ธวัชชัย เดินตรวจความเรียบร้อยของลูกน้อง ระหว่างนั้นมีฝนโปรยบางๆ พ.ต.ท.ธวัชชัย เห็นคราบน้ำฝนเลอะรองเท้าลูกน้อง เลยก้มลงไปเช็ดให้ลูกน้องครับ"

ล่าสุด พ.ต.ท.ธวัชชัย ศรีสุรางค์ รองผกก.ป.สน.บางมด หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "รองต๋อย" ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ยังไม่เห็นภาพที่ถูกแชร์ในโลกโซเชียลฯ และไม่ทราบว่าภาพดังกล่าวถูกถ่ายภาพไปตอนไหน เพราะโดยปกติแล้ว เมื่อมีการตรวจเครื่องแต่งกายในพื้นที่ ส่วนใหญ่จะมีแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดเท่านั้น

"ผมคิดแต่ว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นที่พึ่งของประชาชน ควรแต่งกายให้เรียบร้อย ดูดี ดูสง่า และน่านับถือ เรื่องรองเท้าต้องสะอาดเพราะเราถูกฝึกมาให้มีวินัย และถือเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของตำรวจ ส่วนเรื่องการก้มไปเช็ดรองเท้าให้ผู้ใต้บังคับบัญชานั้น ส่วนตัวผมไม่ซีเรียส เพราะมันเป็นการแสดงออกทางภาษากาย ไม่ได้คิดว่าจะเป็นการทำลายความน่าเคารพยำเกรงแต่อย่างใด การที่ลูกน้องจะเคารพนับถือเรา มันอยู่ที่ความดีของเรามากกว่า และผมคิดว่าการที่เราแสดงออกถึงความเป็นกันเอง อยู่กันเหมือนพี่น้อง มันเข้าถึงกันได้มากกว่า ผมไม่จำเป็นต้องดุใส่ตลอดเวลา ทุกคนก็เชื่อฟังและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเคร่งครัด"

นอกจากนี้ พ.ต.ท.ธวัชชัย ยังเผยอีกว่า ตนมีแนวคิดไม่เหมือนคนอื่นเท่าใดนัก โดยที่ สน.บางมด ตนได้จัดกิจกรรมการทำวัดเช้าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สวดมนต์ไหว้พระก่อนออกไปปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย


เสียใจวาสนาไม่พอ! "ตั้๊น" แถลงเคลียร์ ไม่ขอเดินหน้าเป็นตำรวจแล้ว หวั่นทำแตกแยก

กรณีที่ นางสาวจิตภัสร์ กฤดากร "ตั๊น" แกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.)เตรียมติดดาวยศร.ต.ต.ในตำแหน่งรองสารวัตรฝ่ายอำนวยการกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (รอง สว.อก.บก.สปพ.) หรือ 191 ในฐานะผู้มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งขณะนี้ ขั้นตอน อยู่ในช่วงกระบวนการคัดเลือกตั้งเข้า และยังผ่านขั้นตอนการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจแล้ว ส่วนกรณีที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า นางสาวจิตภัสร์ ยังอยู่ในขั้นตอนการถูกหมายจับนั้น ล่าสุด เมื่อเวลา 15.30 วันนี้ รองโฆษกสอบสวนคดีพิเศษ ชี้แจงว่า "ตั๊น จิตภัสร์" มามอบตัวแล้ว ทำให้หมายจับสิ้นผล เป็นไปตามกฎหมาย ป.วิอาญา ม.68 ทำให้ไม่เข้าหลักเกณฑ์ข้อห้ามในการเข้ารับราชการ จนเกิดกระเเสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างสูง

ล่าสุด วันนี้ เวลา 10.00 น ที่โรงแรมดุสิตธานี นางสาวจิตภัสร์ กฤดากร ได้เปิดแถลงข่าวกับสื่อมวลชน เพื่อเคลียร์ประเด็นคาใจ เรื่องนี้แล้ว โดยเบื้องต้น ยืนยันว่า ได้ดำเนินการตามขั้นตอนปกติในการเข้าบรรจุรับราชการเป็นตำรวจ และเพื่อให้เกิดความไม่สบายใจ โดยเฉพาะในแวดวงข้าราชการตำรวจทุกระดับชั้น และเพื่อไม่ให้ขยายผลเพิ่มความขัดแย้ง ตัดสินใจที่จะไม่เดินหน้าตามขั้นตอนต่อไปกับการเป็นข้าราชการตำรวจ ขอบคุณทุกกำลังใจ และ รู้สึกเสียใจที่ไม่มีวาสนาพอจะเข้ามาเป็นตำรวจ เพื่อทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน โดยขณะแถลงข่าว นางสาวจิตภัสร์ ได้ร้องไห้หลั่งน้ำตาออกมาด้วย


'บิ๊กโด่ง'ลั่นไม่ปกป้องนายทหารเอี่ยวค้ามนุษย์

เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีที่ศาลจังหวัดนาทวี ออกหมายจับนายทหารสังกัดกองทัพบก ว่า หากมีความเกี่ยวพันในเรื่องความผิดก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งเราจะไม่ช่วยเหลือใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะผู้กระทำผิดจะต้องได้รับการลงโทษจากผลของการกระทำนั้น ๆ ทั้งนี้การออกหมายจับเป็นฐานข้อมูลระดับหนึ่ง ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ถูกออกหมายจับด้วย เพราะเขาอาจมีพยานหลักฐานที่เขาไม่ได้ทำผิด อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมจะชี้ความถูกต้องได้ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ทั้งนี้กองทัพบกมีรายชื่อนายทหาร 3 คนแล้ว และพร้อมส่งตัวทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป ซึ่งขณะนี้ทางกองทัพบกได้ประสานกองทัพภาคที่ 4 ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อแจ้งกลับมายังกองทัพบกให้ดำเนินการส่งตัวตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป อีกทั้งทางกองทัพบกไม่ได้ดึงเรื่องให้ล่าช้า แต่อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ

เมื่อถามว่าเบื้องต้นจะมีนายทหารเกี่ยวข้องเพิ่มเติมหรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบ เป็นเรื่องของพยานหลักฐานว่าจะสาวไปถึงใคร อย่างไรก็ตามอย่าเพิ่งไปชี้ชัดว่าผิด เพราะกำลังพลที่เกี่ยวข้อง หรือถูกพาดพิง อาจมีพยานหลักฐานว่าเขาไม่ได้กระทำผิด จึงเป็นเรื่องของกระบวนการของศาลที่จะสืบสวนต่อไป เมื่อถามย้ำว่า นายทหารที่ถูกออกหมายจับดังกล่าวต้องเข้ารายงานตัวต่อกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) หรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า หากถึงขั้นตอนส่งตัวก็ต้องส่ง แต่ขณะนี้ยังรอรายละเอียดจากกองทัพภาคที่ 4 อยู่


'ฮิวแมนไรท์วอทช์'จี้ยูเอ็นกดดัน 'บิ๊กตู่'คืนอำนาจ

เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของฮิวแมนไรท์วอทช์ ออกแถลงการณ์ว่า ขอเรียกร้องให้ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ กดดัน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเร่งคืนอำนาจให้รัฐบาลพลเรือนที่เป็นประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด ในโอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะขึ้นกล่าวต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่ฯ ที่นครนิวยอร์ค ในวันที่ 29 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ฮิวแมนไรท์วอชท์ยังเตือนว่า แม้รัฐบาลทหารของไทยจะแสดงออกว่ายินดีให้ความร่วมมือกับสหประชาชาติ และต้องการสมัครเป็นสมาชิกแบบไม่ถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ แต่รัฐบาลทหารก็มักอ้างเงื่อนไขพิเศษของไทยในการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่เสมอ

แถลงการณ์ระบุอีกว่า ฮิวแมนไรท์วอทช์ได้ขอให้ผู้นำชาติต่างๆ ยกประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้นกล่าวกับพล.อ.ประยุทธ์ อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้ไทยกลับสู่เส้นทางประชาธิปไตยได้ นอกจากนี้เว็บไซต์ของฮิวแมนไรท์วอทช์ ยังได้เผยแพร่รายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทย ซึ่งจัดทำทุก 5 ปี เพื่อนำเสนอต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ โดยรายงานครอบคลุมประเด็นต่างๆ คือ 1.อำนาจที่กว้างขวางและไร้การตรวจสอบของรัฐบาล คสช. 2.การเซ็นเซอร์และห้ามใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การรวมตัว และชุมนุมอย่างสันติ 3.การกักกันในที่ลับและโดยพลการ และการใช้ศาลทหาร 4.การปราศจากความรับผิดต่อเหตุความรุนแรงที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง 5.ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 6. การบังคับให้บุคคลสูญหาย 7.กรณีผู้ลี้ภัยและแรงงานอพยพ 8.กรณีนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนถูกคุกคาม และ 9. การละเมิดสิทธิในสงครามปราบปรามยาเสพติด

โดนประณาม'ค้ากำไรเกิน' บริษัทยามะกันจ่อลดราคา

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 23 ก.ย.ว่า นายมาร์ติน ชเรลี ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัท "ทูริง" ผู้ผลิตเวชภัณฑ์ของสหรัฐ ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เอบีซี เมื่อวันพุธ ยกเลิกแผนการขึ้นราคายา "ดาราพริม" (Daraprim) ซึ่งเป็นยาชนิดเดียวที่รัฐบาลสหรัฐรับรองให้ใช้เพื่อรักษาอาการจากโรคท็อกโซพลาสโมซิส ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อปรสิต และผู้ป่วยโรคเอดส์มักติดเชื้อชนิดนี้ที่สมอง อย่างไรก็ตาม ชเรลีไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า จะลดราคายาลงเท่าใด

ทั้งนี้ หลังได้รับลิขสิทธิ์ให้เป็นผู้จัดจำหน่ายยาดาราพริมในสหรัฐเมื่อเดือนส.ค. บริษัททูริงประกาศปรับขึ้นราคายามากกว่า 5,000% ในชั่วข้ามคืน จาก 18 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 648 บาท) เป็น 750 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 27,000 บาท) เรียกเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากทุกฝ่ายว่าเอาเปรียบผู้บริโภค ค้ากำไรเกิดควร และ "หน้าเลือด" ขณะที่สื่อในประเทศพากันมอบฉายา "ชายผู้ถูกเกลียดมากที่สุดในอเมริกา" ให้แก่ชเรลี วัย 32 ปี ซึ่งกล่าวก่อนหน้านี้ว่า การปรับขึ้นราคายาจะเป็นประโยชน์แก่วงการแพทย์ ในการคิดค้นตัวยาชนิดใหม่ต่อไป และตำหนิผู้ที่ออกมาแสดงความไม่พอใจว่า ไม่เข้าใจวงการนี้อย่างแท้จริง

ข้อมูลจากศูนย์ความก้าวหน้าอเมริกันระบุว่า 3 ใน 4 ของชาวอเมริกันคิดว่า ยารักษาโรคที่จำหน่ายในประเทศมีราคาแพงเกินไป อาทิ ยารักษาโรคมะเร็งที่มีราคาเฉลี่ยสูงถึง 120,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ราว 4.3 ล้านบาท) ขณะที่ชาวอเมริกันมีรายได้เฉลี่ยปีละ 52,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.8 ล้านบาท)