ข่าว
“ดีเอสไอ”เตรียมยุติคดีล้มเจ้า เหตุไม่ปรากฏพยานหลักฐาน

“พ.อ.วิจารณ์” เข้าให้ปากคำดีเอสไอในคดีล้มเจ้า พร้อมยืนยันคำให้การเดิมที่เคยให้ไว้เมื่อปี 2533 และมอบเอกสารข้อมูลในการข่าวเพิ่มอีก 1 ลัง ขณะที่รองอธิบดีดีเอสไอ ผยที่ได้รับวันนี้เป็นข้อมูลเดิมที่ดีเอสไอสอบสวนไปแล้ว ชี้เมื่อไม่มีพยานหลักฐานเอาผิดตามข้อกล่าวหาได้ ดีเอสไอจำเป็นต้องสรุปสำนวนตามพยานหลักฐานเท่าที่มีอยู่ โดยจะประชุมร่วมกับพนักงานอัยการ เพื่อพิจารณาปิดสำนวนคดี คาดสรุปสำนวนคดีได้ก่อนช่วงหยุดยาวสงกรานต์

วันที่ 30 มี.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการส่วนกฎหมายกองอำนายการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)กล่าวภายหลังเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนคดีการกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐด้วยการล่วงละเมิดสถาบัน (คดีล้มเจ้า) เพื่อชี้แจงที่มาแผนผังของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) นานกว่า 2 ชั่วโมงว่า ตนเข้าให้การโดยยืนยันตามคำให้การเดิมที่เคยให้ไว้เมื่อปี 2553 พร้อมมอบเอกสารเพิ่มเติมจำนวน 1 ลัง ซึ่งเป็นข้อมูลในชั้นการข่าว เพื่อให้พนักงานสอบสวนนำไปดำเนินการสอบสวนต่อ โดยดีเอสไอไม่ได้ขอข้อมูลใดเพิ่มเติม จากนี้จึงขึ้นอยู่กับการสอบสวนของพนักงานสอบสวนเห็นสมควรดำเนินการต่อไป

ด้าน พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีล้มเจ้า กล่าวว่า พ.อ.วิจารณ์ ไม่ได้ให้รายละเอียดใดเพิ่มเติมจากที่เคยให้การไว้ เนื่องจากเป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจจาก ศอฉ. ดังนั้นจึงไม่ทราบรายละเอียดของแผนผัง เพราะเพิ่งเห็นแผนผังเมื่อพนักงานสอบสวนเรียกมาให้ข้อมูล โดยที่ผ่านมาดีเอสไอได้เรียกสอบพยานที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว แต่ไม่มีพยานคนใดระบุถึงที่มาที่ไปของผังรวมถึงชี้ชัดถึงการกระทำความผิดของบุคคลตามแผนผังได้ สำหรับข้อมูลที่ พ.อ.วิจารณ์นำมามอบให้ดีเอสไอวันนี้ก็เป็นข้อมูลเดิมที่ดีเอสไอสอบสวนไปแล้ว ดังนั้น เมื่อไม่มีพยานหลักฐานเอาผิดตามข้อกล่าวหาได้ ดีเอสไอจึงจำเป็นต้องสรุปสำนวนตามพยานหลักฐานเท่าที่มีอยู่ ซึ่งเว้นแต่จะมีผู้ใดที่มีข้อมูลเข้ามาให้การเพิ่มเติม โดยจะประชุมร่วมกับพนักงานอัยการ เพื่อพิจารณาปิดสำนวนคดี โดยคาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนคดีได้ก่อนช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์

พ.ต.อ.ประเวศน์กล่าวต่อว่า สำหรับคดีที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันซึ่งเป็นความผิดส่วนบุคคลกว่า 30 คดี ดีเอสไอจะดำเนินการสืบสวนต่อไปตามหลักฐานเป็นรายบุคคล แต่ยอมรับว่าคดีส่วนใหญ่เป็นการกระทำความผิดที่ปรากฏตามเว็บไซต์ และผู้ต้องหาส่วนใหญ่หลบหนีไปต่างประเทศทำให้การสอบสวนเอาผิดเป็นไปได้ยาก ซึ่งจำเป็นต้องขอความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ แต่ไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร

อั้ม" ซิว"เกิดมาฮอต" รางวัล "เกิดอวอร์ด"
ผลการประกาศรางวัล “เกิด Awards ครั้งที่ 1” รางวัลสำหรับคนบันเทิงในสไตล์เปรี้ยวและเว่อร์สุดๆ ของพิธีกรชื่อดังอย่าง “วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา” ที่ Grand Ballroom 2nd Fl. คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) เลียบทางด่วนรามอินทรา เป็นไปอย่างคึกคัก ผู้คนในแวดวงบันเทิงไทยตบเท้าเข้าร่วมกันคับคั่ง รวมถึง "น้องคุณ นิชคุณ หรเวชกุล" หนุ่มหน้าใสชาวไทย สมาชิกวงไอดอลชื่อดังของเกาหลี "2PM" ที่บินลัดฟ้ามาร่วมงานด้วย สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลทั้ง 8 สาขา ซึ่งได้รับถ้วยรางวัลเกิดอวอร์ดฝังเพชรไปครอบครอง มีดังต่อไปนี้

1. "เกิดมาเปรี้ยง" ที่สุดของนักแสดงหน้าใหม่ที่โด่งดัง เป็นที่จับตามองของทุกคนในวงการ ได้แก่ "ณเดชน์ คูกิมิยะ"

2. "คู่เกิด" นักแสดงคู่ขวัญที่แฟนๆ ชื่นชอบชื่นชม อยากให้เป็นคู่แท้ คู่รักกันจริงๆ ได้แก่ "ณเดชน์ คูกิมิยะ และ อุรัสยา เสปอร์บันด์" จากละครเรื่อง "เกมร้ายเกมรัก"

3. "เกิดได้ใจ" ไม่ได้เป็นพระเอก ไม่ได้เป็นนางเอก แต่ออกมาฉากไหนได้ซีนชนะเลิศตลอด ได้แก่ "เบนซ์ พรชิตา ณ สงขลา" จากละครเรื่อง "เมียแต่ง"

4. "เกิดมาให้" คนบันเทิงที่ทุ่มเทแรงกาย มุ่งมั่นทำคุณประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ ได้แก่ "สรยุทธ สุทัศนะจินดา"

5. "เกิดมาป๊อป" ศิลปินที่สุดของความฮอต ความฮิต ถูกจับตามอง มีผลงานเพลงที่โด่งดังมากที่สุด ได้แก่ "บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว"

6. "เกิดมาฮา" ศิลปินตลกที่สร้างรอยยิ้ม สร้างเสียงหัวเราะ สร้างความบันเทิงที่โดดเด่นที่สุด ได้แก่ "ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน"

7. "เกิดมาฮอต" นักแสดงที่มีกระแสความแรง ความฮอต ตลอดทั้งปี ได้แก่ "พัชราภา ไชยเชื้อ"

8. "บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งปี" ได้แก่ "นิชคุณ หรเวชกุล"

นอกจากนั้นยังมีรางวัลพิเศษ "เกิดงานนี้" ซึ่งเป็นคัดเลือกกันเองของเหล่าบรรดาช่างภาพและผู้สื่อข่าว โดยดูจากการแต่งตัวศิลปินดารานักแสดงที่แต่งตัวได้เก๋ สวย หล่อและแฟชั่นจ๋าที่สุด ผลปรากฎ "เมย์ พิชญ์นาฎ สาขากร" คว้ารางวัลไปครอง โดยได้กำไรฝังเพชรเป็นของรางวัล

ปชป.ประกาศ 15 ยุทธศาสตร์ ขยายแนวร่วม กลับเป็นรัฐบาล.

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 30 มีนาคม ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2555 มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป.เป็นประธาน โดยที่ประชุมได้รับรองรายงานการประชุมใหญ่วิสามัญ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2554 รายงานการดำเนินกิจกรรมของพรรคในรอบปี 2554 รับรองงบการเงิน ตามข้อบังคับพรรคข้อ 119 แต่งตั้งผู้สอบบัญชีพรรค พิจารณาแก้ไขข้อบังคับพรรค พิจารณาแผนการใช้เงิน แผนการดำเนินงานประจำปี 2556 ตามยุทธศาสตร์ 4 ปี พร้อมเลือกตั้งคณะกรรมการ 3 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง คณะกรรมการนโยบายพรรค และคณะกรรมการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยในพรรค ซึ่งมีวาระ 2 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการลงคะแนนที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น โดยนายสุรเชษฐ์ แวอาแซ ส.ส.นราธิวาส ปชป. เสนอความเห็นว่า อยากให้ที่ประชุมเลือกคณะกรรมการการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง มาจากบุคคลที่อยู่นอกโครงสร้าง ที่สามารถนำพาพรรคในการเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยต้องเป็นคนรอบรู้ มีวิสัยทัศน์และมีบารมี จึงขอเสนอรายชื่อคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งจำนวน 9 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นให้มีชื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรค เป็นหนึ่งในผู้ถูกเสนอชื่อด้วย แต่นายสุเทพ ลุกขึ้นขอถอนตัว ทำให้ข้อเสนอตกไป จากนั้นที่ประชุมได้เปิดให้สมาชิกลงคะแนนลับเพื่อเลือกกรรมการทั้ง 3 ชุด ปรากฏว่า คณะกรรมการการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง มีผู้ได้รับการคัดเลือก ดังนี้ 1.นายบัญญัติ บรรทัดฐาน 2.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน 3.นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน 4.นายกรณ์ จาติกวณิช 5.นายอลงกรณ์ พลบุตร 6.นายนิพนธ์ บุญญามณี 7.นายถาวร เสนเนียม 8.นายวิฑูรย์ นามบุตร และ 9.นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู

ต่อมาที่ประชุมได้ประกาศยุทธศาสตร์พรรค ใน 4 ปี นับแต่ปี 2555-2558 เพื่อให้พรรค ในฐานะที่เป็นพรรคแห่งชาติ มีบทบาทในเวทีสากล และเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วประเทศ สามารถเอาชนะการเลือกตั้ง ได้เสียงข้างมากในสภา เพื่อเป็นรัฐบาลนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยการพัฒนาฐานสนับสนนพรรคให้มั่นคง จะดำเนินการตาม 15 ยุทธศาสตร์ดังนั้น 1.สมาชิกพรคมีอุดมการณ์ เข้มแข็ง ทุ่มเทรับใช้พรรค โดยจะขยายฐานสมาชิก 2.ขยายแนวร่วมทางกรเมือง มุ่งเป้าไปยังสาขาอาชีพต่างๆ 3.สาขาพรรคเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้ เพื่อรับภาระงานการเมืองในเขตพื้นที่ 4.ระดมความคิดในแนวทาง “เครือข่ายสมัชชาประชาชน-ประชาธิปัตย์” โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน ยืนหยัดรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5.ท้องถิ่นเข้มแข็ง ประชาธิปไตยมั่นคง 6.จัดกลุ่มจังหวัดเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานการเมืองของพรรค 7.พรรคเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้

8.พรรคของมวลชนที่มีฐานการเงินมั่นคง ให้มีคณะกรรมการบริหารเงินทุนและมีหน่วยงานเฉพาะ ทำหน้าที่รณรงค์ระดมทุนหารายได้เข้าสู่พรรคโดยวิธีการถูกต้อง เปิดเผย โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ โดยคณะกรรมการฯดังกล่าว เป็นผู้วางแผนจัดกิจกรรมเพื่อระดมทุน หารายได้จากการสนับสนุนของประชาชน เพื่อให้ประชาชนเป็นเจ้าของพรรคที่แท้จริง 9.การประชาสัมพันธ์เชิงรุกอย่างเป็นระบบ เน้นบทบาทผลงานของพรรค ทิศทางการแก้ปัญหาของประชาชน ที่เรียกว่า “วาระประชาชน” 10.เตรียมความพร้อมเพื่อการเลือกตั้งทั่วไป จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้ง มีแผนระยะสั่น กลางและยว เตรียมความพร้อมของผู้สมัคร การทำงบประมาณการเลือกตั้งและอื่นๆ 11.พรรคเข้มแข็งมีประสิทธิภาพเป็นที่พึ่งของประชาชน 12.ส่งเสริมความรร่วมมือและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระดับนานาชาติ 13.นโยบายพรรคทันสมัย พร้อมเป็นรัฐบาลที่ดี 14.ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยในพรรค สนับสนนการเมืองภาคประชาชน และ 15.องค์กรพรรคเข้มแข็ง พรรคแข็งแรง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแผนการใช้จ่ายเงินปี 2556 นั้น มีการทำเอกสารแจกให้สมาชิกรับทราบแผนการใช้จ่ายเงินตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวรวม 151 ล้านบาท เพื่อจัดอบรมสมาชิกพรรค ยุวประชาธิปัตย์ พัฒนาสาขาพรรค รวมถึงการจัดโครงการสมัชชาประชาชนที่จะมีขึ้นที่อิมแพคเมืองทองธานี สำหรับงบประมาณที่ใช้มากที่สุดจะอยู่ที่แผนการดำเนินงานการพัฒนาสาขาพรรคให้เข้มแข็ง วงเงิน 35.2 ล้านบาท ในส่วนการขยายฐานสมาชิกพรรควงเงิน 22 ล้านบาท และยังมีแผนงานด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์อีก 20 ล้านบาทด้วย นอกจากนี้ ในการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ยังได้จัดเวทีสมัชชาประชาชน รวมพลังเดินหน้าประเทศไทย ควบคู่ไปด้วย ที่อาคารอิมแพคเมืองทองธานี โดยมีตัวแทนกลุ่มอาชีพต่างๆ กว่า 300 คน รวมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางในการออกแบบประเทศ ก่อนที่จะมีการประกาศเจตนารมณ์เกี่ยวกับจุดยืนของพรรคต่อสถานการณ์ของประเทศโดยนายอภิสิทธิ์ ในวันที่ 31 มีนาคมนี้

ด้านนายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการวางยุทธศาสตร์ ปชป. ว่า เป็นความระดมความคิดเห็นของประชาชนเพื่ออนาคตของประเทศ เพราะขณะนี้คนจำนวนมากทราบดีว่า เราอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ เพราะการเมืองกลายเป็นเรื่องผลประโยชน์ เป็นเรื่องการช่วงชิงอำนาจอย่างเดียว ปัญหาเศรษฐกิจถูกทิ้งไว้ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมในระดับโครงสร้างไม่ได้รับการแก้ไข โดย ปชป.จะหารือถึงการออกแบบประเทศไทย เพื่อให้เห็นว่าอนาคตของประเทศไทยที่ควรจะเป็น เป็นอย่างไร เพื่อนำไปสู่การเดินหน้าร่วมกัน