ข่าว
หม่อมอุ๋ย สวด ลูกปลื้ม หลังโพสต์หนุนสรยุทธ

"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร" รับเสียใจบุตรชายโพสต์เฟซบุ๊กด่า ป.ป.ช.คลั่งฟัน "สรยุทธ" จนศาลพิพากษาจำคุก ชี้เป็นเหยื่อข้อมูลง่ายๆ คิดตื้น ด่วนสรุปไป แถมไม่เข้าใจเรื่องจริยธรรม ยันคนผิดไม่ควรปล่อยให้ลอยหน้าลอยตาในทีวี ยันศาลตัดสินไม่ได้ชุ่ย มีหลักฐานชัด เผยตำหนิไปแล้วก็ดูเงียบๆ บอกอายุ 40 แล้วไม่รู้จะรู้สึกแค่ไหน หวังเป็นอุทาหรณ์ส่งลูกเรียนนอกตั้งแต่เด็ก แถมไม่เคยบวชเรียนเลยไม่รู้จักคำว่า อุเบกขา แนะคิดให้ดี หวังผู้ใหญ่คงไม่เล่นงาน

วันนี้ (3 มี.ค.) ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ ถึงกรณีที่ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล บุตรชาย และพิธีกรรายการโทรทัศน์ เขียนข้อความโจมตีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คลั่ง เชือดไก่ให้ลิงดู นำสื่อที่เป็นคนรวยมาสังเวยต่อสาธารณชน หลังมีมติให้นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรรายการข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 ผิดในคดีทุจริตค่าโฆษณารายการใน อสมท.จนถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 13 ปี 4 เดือนว่า ตนเสียใจที่บุตรชายไม่ดูเรื่องอะไรให้ละเอียดลออ เป็นเหยื่อข้อมูลง่ายๆ แล้วด่วนสรุปไป ที่สำคัญกว่าคือเขาไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้มันคือเรื่องของจริยธรรม การที่คนที่ถูกศาลตัดสินจำคุก ในความผิดที่เป็นเรื่องจริยธรรม ไม่ควรจะปล่อยให้ลอยหน้าลอยตาอยู่ในทีวีต่อไป เพราะถ้าคนที่บกพร่องทางจริยธรรมอยู่ในทีวีเป็นผู้นำความเห็นได้ ประชาชนกับเด็กรุ่นใหม่เขาจะคิดยังไง เขาก็จะคิดว่าผิดก็ไม่เป็นไรหรอก ประเทศมันก็อยู่ไม่ได้ ตนว่าบุตรชายก็คิดตื้นไปหน่อย ศาลตัดสินครั้งนี้เขาไม่ได้ชุุ่ย เขามีหลักฐานชัดว่ามีการเอาเงินไปติดสินบน แต่ที่สำคัญที่สุดคือไม่เข้าใจเขาว่าสื่อมวลชนมันต้องมีตัวอย่างของจริยธรรม มันแย่ไปหมด

"คือผมก็ว่าเขาไปแล้วก็ดูเงียบไปแต่ไม่รู้ว่าจะรู้สึกแค่ไหนเพราะว่าก็อายุ 40 แล้ว ผมก็สอนมันตั้งแต่เด็ก พยายามเต็มที่ จริงๆ แล้วก็เป็นอุทาหรณ์น่ะ ส่งลูกไปเรียนเมืองนอกทางตะวันตกเร็วไป ตั้งแต่ 12 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงกำลังซึมซับทัศนคติแบบที่นั่น ซึ่งผมรู้สึกว่าทางตะวันตกแบบปัจจุบันเขาให้คุณค่าเรื่องจริยธรรมน้อยลงไปกว่าสมัยก่อน และไม่หนักแน่นเหมือนในเมืองไทย นี่ก็จะพยายามตามแก้เท่าที่แก้ได้ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว " ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

เมื่อถามว่า ที่บอกว่าเป็นเหยื่อข้อมูล เป็นข้อมูลของใคร ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุว่า ไม่รู้ เขาชอบได้ข้อมูลมา บางทีเขาก็เอาข้อมูลอันโน้นอันนี้มาอวดตน ตนก็บอก เฮ้ย! มันไม่ใช่อย่างที่คิดนะ ทีนี้เขาก็ไม่ได้อวด ไปโพสต์เลย เขาเป็นคนที่เห็นข้อมูลเขาก็คิด เขาคิดเก่ง แต่ก็เป็นเหยื่อไง คนหยอดข้อมูลอะไรก็คิดแล้วด่วนสรุปเลย อันนี้เป็นข้อเสีย อย่างนึงก็คือเขาไม่เคยบวชเลยยังไม่เข้าใจคำว่าอุเบกขา คือการวางเฉยในเรื่องที่มันไม่มีทางเกี่ยวกับตัวเองเลย แล้วก็ยังรู้ไม่มากพอ การเข้าไปยุ่งมันก็เสียไปหมด คนที่เรียนตะวันตกคงจะเก่งเรื่องไอคิว แต่เรื่องอีคิวมันต้องเรียนทางธรรมะด้วย เสียดายนะที่เขาไม่ได้บวชเรียน ตนไม่ได้ด่าลูก แต่พูดข้อเท็จจริง

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวอีกว่า ตนก็บอกเขาให้คิดให้ดี มีอะไรก็แก้ตัว ขอโทษเขาไป ขอโทษประชาชนก็ยังได้ แต่เขาจะทำหรือไม่ตนไม่รู้ ตนก็เตือนเขาแล้ว ตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรหากมีคนไปฟ้องว่าละเมิดศาล แต่ก็หวังว่าผู้ใหญ่เขาคงไม่ถึงขนาดนั้น

"สรยุทธ"ขอยุติหน้าที่พิธีกร คาด"กุ๊ก-กฤติกา"เสียบแทน

"สรยุทธ" โพสต์ไอจีขอยุติหน้าทีพิธีกรโดยไม่มีกำหนด เพื่อไม่ให้กระทบต้นสังกัด พร้อมขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ ทิ้งท้าย "จนกว่าเราจะพบกันใหม่ครับ"

วันพฤหัสที่ 3 มีนาคม 2559 จากกรณีที่ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรเล่าข่าวชื่อดัง "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" ถูกศาลอาญาพิพากษา ในคดีบริษัทไร่ส้ม ไม่ชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้ อสมท. 138 ล้านบาท จำคุก 13 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา ทั้งนี้ศาลชั้นต้นให้ประกันตัวชั่วคราว 2 ล้านบาท พร้อมสั่งห้ามออกนอกประเทศและต้องมารายงานตัวทุก 30 วัน

ทั้งนี้ในมุมมองของนักวิชาการด้านสื่อสารมมวลชน ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่พิธีกรของสรยุทธด้วย ล่าสุด สรยุทธ ได้โพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรม @sorrayuth9111 ขอยุติบทบาทการทำหน้าที่พิธีกรโดยไม่มีกำหนด

"ตั้งแต่เย็นนี้ ผมขอยุติการทำหน้าที่พิธีกรเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับช่อง 3 เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ขอบคุณครอบครัวช่อง 3 ขอบคุณแฟนข่าว ขอบคุณทุกกำลังใจ จนกว่าเราจะพบกันใหม่ครับ"

ทั้งนี้ นางวรวรรณ ติณสูลานนท์ รองผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง3 ได้ให้สัมภาษณ์ว่า สำหรับข้อมูลเบื้องต้นในขณะนี้ สำหรับรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ที่ นาย สรยุทธ สุทัศนะจินดา ทำหน้าที่เป็นพิธีกรข่าว ก็ยังมีต่อไป และไม่มีการหาพิธีกรคนใหม่มาแทน ส่วนพิธีกรข่าวร่วมคนอื่นๆ ยังคงทำหน้าที่ดำเนินรายการตามปกติ ขาดแต่สรยุทธเท่านั้น ซึ่งยังไม่มีกำหนดว่าจะกลับมาทำหน้าที่ดำเนินรายการเมื่อใด อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กุ๊ก กฤติกา ขอไพบูลย์ ผู้ดำเนินรายการเรื่องเล่าเสาร์ อาทิตย์ อาจมาทำหน้าที่ดำเนินรายการเสริมในรายการเรื่องเล่าเช้านี้“


โกะตี๋โพสต์"โลกนี้แม่งอยู่ยาก" หลังสรยุทธประกาศยุติพิธีกร

หลังจากที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรรายการข่าวคนดังของช่อง 3 ได้โพสต์ข้อความในอินสตาแกรม @sorrayuth9111 ระบุว่า "ตั้งแต่เย็นนี้ ผมขอยุติการทำหน้าที่พิธีกรเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับช่อง 3 เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ขอบคุณครอบครัวข่าวช่อง 3 ขอบคุณแฟนข่าว ขอบคุณทุกกำลังใจ จนกว่าเราจะพบกันใหม่ครับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา 3 มีนาคม 2559 "

จากนั้น โกะตี๋ ดาราตลกคนดัง ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมพิธีกรเรื่องเล่าเช้านี้ ได้โพสต์ในอินสตาแกรม @ kootee ระบุว่า ถึงจะดีแสนดีอย่างไร ถ้าไม่ใช่พวกตัวมันก็ชั่วอยู่ดี ถึงจะชั่วแสนชั่วอย่างไร ถ้าเป็นพวกตัว มันก็ว่าเป็นคนดี...อยู่ดี วัดใหญ่ชัยมงคล สุโขทัย" และยังแคปชั่นว่า "โลกนี้แม่งอยู่ยาก!!!!สาธุ #ชีวิตต้องดำเนินต่อไป"


ยก’สรยุทธ’เป็นตัวอย่าง จี้’สมเด็จช่วง’ยุติบทบาท

“หมอมโน” จี้ “สมเด็จช่วง” ยุติบทบาท สังฆราชและเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ยกเคสคดี “สรยุทธ” เป็นตัวอย่าง ด้าน ไพบูลย์ชี้มติ มส.ตั้งสมเด็จช่วงเป็นสังฆราชไม่เป็นไปตามขั้นตอน

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่รัฐสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) พร้อมด้วย นพ.มโน เลาหวณิช อดีตกรรมการและอดีตพระธรรมกายรุ่นแรก แถลงข่าวเห็นด้วยกับผู้ตรวจการแผ่นดินที่วินิจฉัยกรณีมติที่ประชุมของมหาเถรสมาคม (มส.) โดยเห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ ว่า เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะการตั้งสมเด็จพระสังฆราชต้องเริ่มต้นที่นายกรัฐมนตรี แต่ มส.กลับประชุมกันเอง และอย่างที่ทราบว่าสมเด็จช่วงยังมีคดีที่เกี่ยวข้องกับรถเบนซ์และพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็น่าที่จะให้ดีเอสไอดำเนินคดีให้เกิดความชัดเจนก่อน โดยเฉพาะกรณีรถเบนซ์ซึ่งถือว่ามีความผิดกฎหมายศุลกากร มาตรา 27 ทวิ ซึ่งเป็นคดีอาญาและมีโทษทั้งจำและปรับ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีที่มีหน้าที่นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯควรที่จะรอให้ทุกอย่างเกิดความชัดเจนก่อน

นพ.มโนกล่าวว่า อยากให้สมเด็จช่วงดูตัวอย่างการทุจริตของบริษัทไร่ส้ม ที่มีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดังเป็นประธานกรรมการบริษัท ซึ่งได้ประกาศยุติบทบาททำหน้าที่พิธีกร ดังนั้น สมเด็จวัดปากน้ำก็ควรตั้งคำถามว่า สมควรหรือไม่ที่จะปฏิบัติหน้าที่เป็นสมเด็จพระสังฆราชและตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปากน้ำไปพร้อมๆ กัน ในขณะที่คดียังไม่มีความชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความสง่างามของพระพุทธศาสนา ตนขอเรียกร้องให้สมเด็จช่วงพิจารณาความเหมาะสม เพื่อเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศและวงการสงฆ์ต่อไป


นักวิชาการ ‘งง’ เลือกตั้ง ’57 โมฆะ ทำไม ‘ยิ่งลักษณ์’ ต้องรับผิดชอบ

กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติยื่นฟ้องคดีอาญาและเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับบุคคลและกลุ่มบุคคลที่ขัดขวางการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะและทำให้รัฐเสียหาย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

1.บุคคลและกลุ่มบุคคลที่ขัดขวางการเลือกตั้งทุกกลุ่ม รวมถึงคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ (กปปส.)

2.ดำเนินการฟ้องร้องทางแพ่งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานละเมิดปฏิบัติหน้าที่ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ตาม พ.ร.บ.ความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 เนื่องจากปล่อยให้มีการจัดการเลือกตั้งทั้งที่มีการทักท้วงกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น รวมค่าเสียหายที่จะเรียกจากทั้ง 2 กลุ่ม รวม 2,400 ล้านบาท

นายชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน กล่าวว่า ในฐานะนักกฎหมายมหาชน เห็นข่าวนี้ก็หัวเราะ เป็นไปได้อะไรขนาดนั้น บ้านเมืองมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ไม่น่าจะเป็นมติออกมาจากผู้มีหน้าที่ในความรับผิดชอบและเป็นนักกฎหมายด้วย ต้องไปเรียนวิชากฎหมายปกครองเบื้องต้นใหม่

กรณีนี้สามารถตีความได้ว่า อาศัยศาลฟ้องคนเป็นคดีความ คิดว่าศาลไม่รับหรอก เพราะคำวินิจฉัยของศาลปกครองออกมาเยอะมากในกรณีคล้ายกันอย่างนี้ ความจริงต้องให้หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐออกคำสั่งทางปกครองเรียกเสียก่อน ถ้าไม่ได้แล้วจึงไปฟ้องศาล มีแนวคำวินิจฉัยออกมาเยอะแยะ

น่าผิดหวังตรง กกต. มีทั้งอดีตนักกฎหมายใหญ่ มีทั้งกองนิติการ มีอะไรต่างๆ นานาเยอะแยะไปหมด กรณี กปปส.นั้นชัดเจนว่าขัดขวางการเลือกตั้ง แต่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีประเด็นที่ตลกๆ เยอะเลย เช่น บอกว่ามีมติฟ้องแพ่งในความผิดฐานละเมิด ทั้งที่การละเมิดกับการใช้อำนาจหน้าที่เป็นคดีปกครอง ไม่ใช่คดีแพ่ง แต่ว่าคดีพวกนี้ ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ก็มีวิธีการเรียกความผิดต่างกันไปๆ ในฐานะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ วิธีการที่หน่วยงานจะเรียกค่าเสียหายจากเจ้าหน้าที่ของรัฐมี 2 วิธี คือ 1.ออกคำสั่งทางปกครอง เหมือนที่พยายามทำในกรณีจำนำข้าว และ 2.ฟ้องคดีต่อศาลปกครอง

จากคำวินิจฉัยของศาลปกครองที่ออกมาตลอด ต้องใช้วิธีการเรียกค่าเสียหายก่อน ถ้าเรียกไม่ได้แล้วถึงจะนำคดีมาฟ้องศาล ถ้าฟ้องทันที ศาลจะไม่รับ เพราะมีวิธีการอื่นได้ กรณีเรียกค่าเสียหายจากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือในกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจจะถูกฟ้องสวนกลับมาก็ได้ หรือแก้ต่างก็แล้วแต่ ฉะนั้น กรณีนี้ที่มีมติให้เรียกค่าเสียหายหรือค่าอะไรต่างๆ โดยฟ้องแพ่ง อาศัย พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่

ถือเป็นการลงมติที่ผิดฝาผิดตัว ใช้กฎหมายที่ไม่ถูกต้องตามนั้น

ที่สำคัญคือว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา รัฐบาลมีหน้าที่ในการประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง แล้วหน้าที่ในการดำเนินการเลือกตั้งเป็นของ กกต.ทั้งหมด จากนั้นรัฐบาลมีหน้าที่อำนวยความสะดวกตามที่ กกต.ร้องขอ ฉะนั้น ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการเลือตั้งโดยตรงก็คือ กกต.เองนั่นแหละ ไม่ใช่รัฐบาลสมัยนั้น

ถามว่า กกต.มีความผิดด้วยหรือไม่ จริงๆ แล้ว กกต.คือคนที่ไม่พยายามดำเนินการเลือกตั้ง แต่ของแบบนี้ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าจริงเท็จแค่ไหน ว่าด้วยพยานหลักฐาน ต้องต่อสู้กันในศาลปกครอง ใช้ระบบวิธีไต่สวนหาข้อเท็จจริง ไม่จำเป็นต้องฟังเฉพาะพยานหลักฐานหรือคู่ความ อย่างไรก็ตาม กรณีนี้คงไม่เกี่ยวกัน เพราะ กกต.จะฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในความเห็นส่วนตัวเชื่อว่าฟ้องไม่ได้ ต้องเรียกค่าเสียหายตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดก่อน

กรณีบางคูหาเลือกตั้งที่เจ้าหน้าที่ไม่เปิดคูหา ก็เป็นอำนาจและดุลพินิจของเจ้าพนักงาน อาจจะเปิดไม่ได้เพราะเหตุว่าจะเกิดอันตราย เกิดภัยพิบัติ เกิดจลาจล ซึ่งอำนาจหน้าที่ก็เป็นของ กกต.ในการระงับยับยั้งไว้ชั่วคราวหรือลงคะแนนในวันใหม่ กกต.สามารถทำได้ จะเลื่อนกี่หนก็แล้วแต่ ใน พ.ร.บ.ประกอบการเลือกตั้งของรัฐธรรมนูญฉบับเดิมก็ทำได้อยู่

แต่ว่าอยู่เฉยๆ แล้วไม่เปิดให้ลงคะแนน ก็ต้องมีเหตุผลว่าทำไมไม่เปิด สมเหตุสมผลหรือเปล่า

ราศีเริ่มจับคู่ชิงปธน.สหรัฐ ฮิลลารี-ทรัมป์ ชนะทิวสเดย์

เมื่อ 2 มี.ค. บีบีซีรายงานว่า ฮิลลารี คลินตัน แห่งพรรคเดโมแครต และนายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีพรรครีพับลิกัน ต่างโกยชัยชนะในการแข่งขันศึกหยั่งเสียงขั้นต้นนัดสำคัญ 11 รัฐพร้อมกันในวันอังคารตามเวลาสหรัฐ หรือ ซูเปอร์ทิวสเดย์ เพื่อเป็น

สรุปผลศึกทิวสเดย์ในฝั่งเดโมแครต

ฮิลลารี คลินตัน ชนะในพื้นที่ แอลาบามา จอร์เจีย เวอร์จิเนีย เทนเนสซี เท็กซัส อาร์คันซอ แมสซาชูเส็ตส์ รวมไปถึงอเมริกันซามัว

เบอร์นี แซนเดอร์ส ชนะในรัฐเวอร์มอนต์ ถิ่นของตนเอง รวมถึง โอกลาโฮมา มินเนโซตา

รวมคะแนนล่าสุด นางฮิลลารีเก็บคะแนนเสียงคณะตัวแทน (เดลิเกต - delegate) ในศึกซูเปอร์ทิวสเดย์ ซึ่งจะไปเลือกตนเองเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้ 457 เสียง เมื่อรวมกับคะแนนก่อนหน้านี้ จึงมีอย่างน้อย 1,034 เสียง ส่วนนายแซนเดอร์ส์เก็บเพิ่ม 286 เสียง รวมตอนนี้มี 408 เสียง ขณะที่ผู้ชนะเป็นตัวแทนพรรคจะต้องมีคะแนนสนับสนุนทั้งสิ้น 2,383 เสียง ในวันลงคะแนนเสียงในการประชุมใหญ่ของพรรค

ด้านพรรครีพับลิกัน คะแนนเสียงค่อนข้างแตก

โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เสียงในแอลาบามา จอร์เจีย เวอร์จิเนีย แมสซาชูเส็ตส์ อาร์คันซอ เทนเนสซี เวอร์มอนต์ รวมคะแนน 203 เสียง

เท็ด ครูซ ได้เท็กซัส โอกลาโฮมา และอลาสกา รวมคะแนน 144 เสียง

มาร์โก รูบิโอ คว้าชัยได้เพียงรัฐเดียวคือ มินเนโซตา รวมคะแนน 71 เสียง

รวมคะแนนล่าสุด ทรัมป์มีคะแนนแล้ว 316 เสียง ครูซ มี 226 เสียง รูบิโอมี 106 เสียง และอีกสองคนที่ยังมีคะแนนน้อยมาก คือ จอห์น คาซิช มี 25 เสียง และเบน คาร์สัน มี 8 เสียง ซึ่งในพรรคนี้ ใครที่เก็บคะแนนได้ถึง 1,237 เสียงได้ก่อน จะเป็นผู้ชนะ

เอพีรายงานว่า หลังจากทราบผลซูเปอร์ทิวสเดย์ ทั้งทรัมป์และฮิลลารีเริ่มปราศรัยโจมตีกันทันที ฝั่งฮิลลารีกล่าวที่เมืองไมอามี รัฐเท็กซัสว่า ว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เคยมีการเดิมพันสูงเท่านี้มาก่อน แต่วาทะที่ได้ยินในอีกฝั่งหนึ่ง (รีพับลิกัน) ก็ไม่เคยย่ำแย่แบบนี้มาก่อน

ด้านทรัมป์กล่าวว่า ตนเองเป็นมือประสานสิบทิศ จะนำคู่ต่อสู้ภายในพรรครีพับลิกันรวมพลังกันไปสู้นางฮิลลารี คลินตันในการแข่งขันสนามใหญ่เพื่อชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐให้ได้

"หล่อนอยู่ในการเมืองนี้มานานมากแล้ว ถ้าหล่อนสร้างความแข็งแกร่งให้เห็นไม่ได้ถึงบัดนี้ หล่อนก็คงสร้างความแข็งแกร่งในอีก 4 ปีข้างหน้าไม่ได้หรอกครับ" นายทรัมป์กล่าว

อย่างไรก็ตาม เท็ด ครูซ ส.ว.เท็กซัส ยังไม่ยอมแพ้ กล่าวท้าทายทรัมป์ว่า ขอให้คู่แข่งคนอื่นๆ ในพรรควางมือแล้วเทคะแนนให้ตน เพื่อไปแข่งกับนายทรัมป์ให้เด็ดขาด