ข่าว
สุดน่ากลัว เกิดไฟป่าทั่วนิวเซาท์เวลส์ คนติดในบ้านอื้อ หนีไม่ทัน

ออสเตรเลียสุดตระหนก เกิดไฟป่าทั่วรัฐนิวเซาท์เวลส์ กว่า 90 จุดแล้ว ลมร้อนบวกความแห้งแล้ง ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายหนักขึ้น มีผู้คนจำนวนมากติดอยู่ในบ้าน หนีไม่ทัน จนท.เข้าไปช่วยไม่ได้

เมื่อ 8 พ.ย.62 สำนักข่าวต่างประเทศ และบีบีซี รายงานเกิดเหตุไฟป่าครั้งใหญ่รุนแรงน่ากลัวกว่า 90 จุดทั่วรัฐนิวเซาท์เวลส์ ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย โดยเจ้าหน้าที่ออสเตรเลียถึงกับกล่าวว่า จำนวนการเกิดไฟป่าระดับฉุกเฉินซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกำลังคุกคามรัฐนิวเซาท์เวลส์ ขณะที่กระแสลมร้อนระดับ 35 องศาเซลเซียส ยิ่งทำให้สถานการณ์ไฟป่าเลวร้ายมากขึ้น เพราะพื้นที่จำนวนมากได้รับผลกระทบจากภาวะแห้งแล้ง

บีบีซี รายงานว่า มีรายงานว่ามีประชาชนติดอยู่ในบ้านในหลายพื้นที่ ซึ่งทีมกู้ภัยและเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปถึงได้เนื่องจากไฟไหม้ป่ารุนแรง โดยขณะนี้ ทางการออสเตรเลียได้ระดมกำลังพนักงานดับเพลิงกว่า 1,000 นาย และเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์นับ 70 ลำในการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุไฟป่าเท่าที่จะทำได้

ด้านหน่วยงานดับเพลิงในเขตชนบท ได้ทวีตแจ้งข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 8พ.ย.ว่า ขนาดของพื้นที่ที่ประสบเหตุไฟป่าและความเร็วในการลุกลามของไฟทำให้พวกเราไม่สามารถเข้าไปช่วยทุกคนได้ แม้แต่ทางถนนหรือเฮลิคอปเตอร์ เนื่องจากเกิดไฟป่าในทั่วพื้นที่ชายฝั้งของออสเตรเลีย เป็นระยะทางราว 1,000 กิโลเมตร ขณะที่ ประชาชนบางคนยังได้รับการแจ้งเตือนว่าให้พยายามหาที่หลบภัยมากกว่าจะหนีออกมา เพราะขณะนี้สายเกินไปที่จะหนีแล้ว

ทั้งนี้ รัฐนิวเซาท์เวลส์ เป็นรัฐในออสเตรเลียที่ประสบภัยไฟป่ารุนแรงที่สุด โดยพนักงานดับเพลิงได้พยายามต่อสู้ควบคุมเหตุไฟป่ามาหลายร้อยจุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน ตุลาคม ที่ผ่านมา อีกทั้งยังเกิดเหตุสลด เมื่อเจ้าของบ้าน 2 รายได้เสียชีวิตขณะพยายามจะรักษาป้องกันไม่ให้บ้านของตนถูกไฟไหม้

ปีติ “เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา” เสด็จช่วยฟื้นฟูอุบลฯ หลังน้ำท่วม ทรงให้กำลังใจชาวบ้าน

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ในฐานะองค์ประธาน มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่งภายามยาก สภากาชาดไทย เสด็จเยี่ยมและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตราษฎรหลังน้ำลด ที่ จ.อุบลราชธานี

โดยคณะกรรมการมูลนิธิฯ ได้จัดรถผลิตอาหาร น้ำดื่ม ไปบริการแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่มาตั้งแต่เริ่มมีเหตุอุทกภัย

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดีฯ พระราชทานเครื่องกีฬาและชุดนักเรียนแก่นักเรียน 10 โรงเรียน พระราชทานปัจจัยการผลิต ที่ชาวบ้านใช้ประกอบอาชีพพื้นฐาน พระราชทานหญ้าอาหารสัตว์ พระราชทานพันธุ์ข้าว พระราชทานเงินทุน และพันธุ์ปลาเพื่อปล่อยลงแหล่งน้ำ

นอกจากนี้ พระราชทานเวชภัณฑ์และบริการการแพทย์ พระราชทานวัสดุซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้าง และถวายสีทาอาคารแด่วัดในพื้นที่ที่รับผลกระทบจากน้ำท่วม เพื่อเป็นการฟื้นฟูกำลังใจและการช่วยคืนสู่สภาวะการเริ่มกลับสู่ปกติของราษฎร

ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดีฯ ทรงร่วมทาสีผนังวัด และมีพระปฏิสันถารกับราษฎรที่มารอรับเสด็จอย่างใกล้ชิดตามจุดต่างๆ อย่างไม่ถือพระองค์ สร้างความปลื้มปีติแก่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง


สงสัยส่งผิดท่าเรือ โคเคนมูลค่า 2 พันล้าน โผล่เมืองโกเบ ทุบสถิติญี่ปุ่น

เมื่อ 8 พ.ย. เจแปนไทมส์ รายงานว่า ญี่ปุ่นแถลงข่าวการยึดโคเคนมากเป็นประวัติการณ์ถึง 40 กิโลกรัม มูลค่า 73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,220 ล้านบาท ที่ท่าเรือในเมืองโกเบ ทางตะวันตกของประเทศ

ศุลกากรของญี่ปุ่นกล่าวว่า โคเคนล็อตนี้ถูกยึดตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่เพิ่งมีการเปิดเผย เนื่องจากคดียังอยู่ระหว่างการสอบสวน ปริมาณโคเคนดังกล่าวทำลายสถิติเดิมที่เคยพบที่เมืองมิกะวะ จังหวัดไอจี เมื่อเดือนสิงหาคม 177 กิโลกรัม

เจ้าหน้าที่ศุลกากรและตำรวจเชื่อว่า มีคนพยายามขนส่งโคเคนข้ามประเทศ เพราะยาถูกบรรจุในคอนเทนเนอร์สินค้า แต่อาจส่งผิดมาโกเบ จริงมีเป้าหมายปลายทางอื่น

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ มีคนในญี่ปุ่นถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับโคเคนรายบุคคล 217 ราย เมื่อปี 2561 และเห็นแนวโน้มคดีโคเคนในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น เพราะแก๊งยากูซ่าได้ประโยชน์จากการลักลอบขนส่งยาเสพติด

อีกทั้งบรรดาดาราและคนดังถูกดำเนินคดีใช้ยาเสพติดประเภทโคเคนด้วย เช่น เมื่อเดือนกรกฎาคม ปิแอร์ ทากิ นักแสดงรุ่นใหญ่และสมาชิกวงดูโอ Denki Groove ถูกตัดสินจำคุก 18 เดือน และระงับงาน 3 ปี หลังจากถูกจับใช้ยาโคเคน


สุราษฎร์ฯฝนหนัก น้ำล้นคลอง ท่วมถนน – บ้าน 2 ตายาย ระดมช่วยขนของหนี

น้ำล้นคลอง / เมื่อกลางดึกวันที่ 8 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี มีอย่างน้อย 2 อำเภอ ที่ได้รับผลกระทบน้ำล้นคลองเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน และถนนหนทาง

มีอย่างน้อย 4 จุดที่รถสัญจรได้ลำบาก โดยเฉพาะริมคลอง เช่นที่ อ.ชัยบุรี และ อ.คีรีรัฐนิคม

ที่บ้านต้นมะพร้าว ม.6 ตำบลถ้ำสิงขร อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทหารหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 46 และชาวบ้าน เข้าช่วยกันขนของ ให้กับบ้านนายสมหมาย ชูพรมแก้ว อายุ 73 ปี ที่อยู่อาศัยกับภรรยาเพียงสองคน

ภายหลังน้ำล้นคลอง ต.เต่า ที่ห่างจากตัวบ้านประมาณ 20 เมตร เข้าท่วมบ้านอย่างรวดเร็วแบบไม่คาดคิด ระดับน้ำสูงประมาณ 50 เซนติเมตร ทำให้ต้องเร่งย้ายของจากใต้ถุนขึ้นบนบ้านชั้นสองอย่างเร่งด่วน

นายสมหมาย เล่าว่า เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ตั้งแต่เวลาประมาณ 17:00 น. นานกว่า 2 ชั่วโมงก่อนจะลดระดับความแรงลง ทำให้น้ำป่าที่ไหลตามลำคลองล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว

ตนเองพักอาศัยอยู่กับภรรยาแค่สองคน แต่โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 46 อยู่ในพื้นที่และให้การช่วยเหลือ เพราะที่บ้านเคยท่วมหนักแค่ครั้งเดียวเมื่อปีน้ำท่วมใหญ่ 2554 จึงไม่คาดว่าน้ำจะมาเร็วเช่นนี้

สำหรับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 46 ได้จัดกำลังกระจายเข้าเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยงต่างๆ เพื่อให้การช่วยเหลือร่วมกับชาวบ้านในเบื้องต้น พร้อมรายงานสถานการณ์น้ำหลากในพื้นที่ให้ต้นสังกัดรับทราบ เพื่อเข้าช่วยเหลืออีกครั้ง


ราชกิจจาฯ แพร่ประกาศ ห้ามบุคคล “ในจังหวัดชายแดนใต้” ออกนอกเคหสถาน

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 - 16:15 น. ราชกิจจานุเบกษา แพร่ประกาศ ห้ามบุคคล “ในจังหวัดชายแดน ใต้” ออกนอกเคหสถาน ตามเวลาที่กำหนด โดยให้อำนาจ “กอ.รมน.”

เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ “ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551” ลงนามท้ายประกาศโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการ หรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนการดําเนินการในอำนาจหน้าที่ของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และพนักงานเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. และห้ามบุคคลใดเข้าหรือให้บุคคลใดต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือ สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ ของ กอ.รมน. ภายในระยะเวลา การปฏิบัติหน้าที่ ของ กอ.รมน. เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

ทั้งนี้ ห้ามบุคคลใดออกนอกเคหสถานในเวลาที่กําหนด ตามที่ผู้อำนวยการ กอ.รมน. หรือผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการ ประกาศกำหนด และห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน รวมถึงห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ และให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ ตามชนิด ประเภท ลักษณะการใช้ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สินของประชาชน

ในการนี้ ผู้อํานวยการกอ.รมน.กําหนดเงื่อนเวลาในการปฏิบัติตามข้อกําหนด หรือเงื่อนไขในการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่เห็นสมควร เพื่อมิให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน โดยให้มีผลใช้บังคับในเขตพื้นที่ อําเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี อําเภอจะนะ อําเภอนาทวี อําเภอเทพา และอําเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา อําเภอเบตง จังหวัดยะลา และอําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และในเขตพื้นที่ อําเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส


ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2562

ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563

ประกาศ ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นายกรัฐมนตรี

‘ทวี’ นำ ส.ส. ประชาชาติ ร่วมงานศพ ชรบ.ยะลา ดันแก้ปัญหาภาคใต้เป็นวาระแห่งชาติ

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 8 พ.ย. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ และอดีตเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นประธานในพิธีสวดพระอภิธรรมศพผู้เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายกราดยิงป้อมชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เป็นชาวพุทธ 13 คน และมุสลิม 2 คน จากทั้งหมด 15 คน

สำหรับผู้เสียชีวิตที่เป็นมุสลิมได้ประกอบพิธีฝังศพที่กุโบร์เรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้เสียชีวิตที่เป็นพุทธศาสนิกชนได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา โดย พ.ต.อ.ทวี ได้เดินทางพร้อมด้วยนายอับดุลอายี สาแม็ง ส.ส.ยะลา พรรคประชาชาติ และทีมบริหารพรรค เพื่อให้กำลังใจครอบครัวผู้สูญเสีย

หลังเสร็จสิ้นการสวดพระอภิธรรมศพ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า วันนี้ได้มาระลึกถึงผู้เสียชีวิตทั้ง 15 ท่าน ซึ่งเป็นประชาชนที่เสียสละออกมาปกป้องหมู่บ้านตนเอง เขาเป็นผู้ไม่มีอาวุธ แต่อาสามารักษาความปลอดภัยบ้านเกิด ถือเป็นเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง ประการสำคัญคือเรามาให้กำลังใจผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งมีสมาชิกในครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากที่สำรวจมีทั้งหมดมี 49 คน

ในทางพุทธศาสนาการเกิดแก่เจ็บตายนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่การตายจากเหตุการณ์ความไม่สงบนั้น เป็นความรับผิดชอบของสังคม ที่ผ่านมาเรามีบทเรียนเยอะซึ่งไม่ควรจะให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้น จึงขอเรียนไปยังเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจว่า เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องสะเทือนใจ อยากให้นำความรู้ความสามารถทุ่มเทในการนำตัวผู้กระทำผิด มาดำเนินคดีตามกฎหมาย ประเทศไทยโดยเฉพาะสามจังหวัดใต้ ได้รับการยอมรับจากนานาชาติเป็นอันดับต้นๆ ของโลกในเรื่องการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ

พ.ต.อ.ทวี กล่าวอีกว่า ชุมชนลำพะยา จะต้องได้รับการเยียวยาชุมชน และจิตใจด้วย เช่น ที่วัดพรหมประสิทธิ์ หรือที่บ้านไอร์ปาแย เราเคยเยียวยาประชาชนคนละ 7,500,000 บาท รัฐต้องกล้าดูแล เราเป็นคนไทยด้วยกันจะต้องทำเพื่อประชาชน สำคัญที่สุด จะต้องไม่มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก การดำเนินคดีต้องดำเนินไปอย่างตรงไปตรงมา เพราะใน 3 จังหวัดภาคใต้คนตายไม่มีสาเหตุ ไม่มีปัญหาขัดแย้งกับใครก็ตายได้

ดังนั้น สาเหตุที่แท้จริงคือรัฐไม่เข้าใจ จึงต้องแก้ไข และทุกคนอยากให้สันติสุข สันติภาพ ความรัก ความสามัคคีเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้นับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนน้อย เราก็เข้าใจความรู้สึกของผู้นับถือศาสนาพุทธ บางครั้งก็ตกเป็นเป้าหมาย ซึ่งการดูแลพื้นที่ต้องดูแลให้มีความเสมอภาค โดยไม่ยึดจากจำนวนคน ต้องให้ความสำคัญกับทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน

นอกจากนี้ ปัญหาความไม่สงบเราต้องรีบแก้ไขโดยเร็วไม่ควรปล่อยให้เลือดไหล ข่าวที่ออกไปเหมือนเราเป็นคนป่วยของอาเซียนและเอเชีย การแก้ปัญหาภาคใต้ ต้องไม่มีอคติกัน ต้องยึดถือว่าเราทุกคนเป็นพลเมืองไทยด้วยกัน ซึ่งการแก้ปัญหาในระยะยาวจะต้องนำวาระการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นวาระแห่งชาติ ไม่ใช่พอเกิดเหตุแล้วใช้อารมณ์

“เรามีกฎหมาย มีงบประมาณ เราทุ่มเทซื้ออาวุธไปจำนวนมาก ใช้งบประมาณเป็นหมื่นล้าน แต่บางทีเราอาจจะต้องใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา โดยให้ประชาชนทั้งพุทธ และมุสลิม มีส่วนร่วมในการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง โดยเฉพาะพี่น้องชาวพุทธ เพราะจู่ๆ เขาก็ถูกฆ่าตาย เราต้องนำปัญหาภาคใต้เป็นปัญหาของทุกคน ผมเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมแก้ปัญหา เพราะหากใช้กำลังความมั่นคงอย่างเดียว เขาเป็นข้าราชการ เขาก็กลับไปอยู่ในที่ปลอดภัย แต่ประชาชนยังต้องอยู่ในพื้นที่เพราะเป็นบ้านของเขา”

ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องแนวคิดการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า หากถอนกำลังทหารออกไป พี่น้องชาวไทยพุทธก็จะอยู่กันอย่างหวาดระแวง แต่เราจะต้องจัดรูปแบบ เช่นในพื้นที่ให้มีกำลังของตำรวจเป็นหลัก และทหารคอยสนับสนุน ส่วนเรื่องกฎหมายพิเศษจะต้องไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น บางครั้งจะจับกุมคนร้ายแต่ไปละเมิดสิทธิสักคน มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมคิดว่ารูปแบบกฎหมายที่เหมาะสมก็คือให้นำกฎหมายพิเศษทั้ง 3 ฉบับมาบูรณาการกันว่าเจ้าหน้าที่จะทำได้แค่ไหน และจะทำอย่างไรหากประชาชนรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จะมีช่องทางให้เขาได้เข้าถึงความยุติธรรมตรงนี้หรือไม่ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ