ข่าว
แอม เสาวลักษณ์ ขออโหสิกรรม! เปิดความรู้สึกถึงรักเก่า ตั้ว ศรัณยู

เป็นที่ทราบกันดีว่า แอม เสาวลักษณ์ และ ตั้ว ศรัณยู เคยคบหาดูใจกันมา ถึงขั้นจะแต่งงานกัน แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องเลิกรากันไป ต่างคนต่างเริ่มต้นชีวิตความรักครั้งใหม่

และหลังจากที่เมื่อวาน พี่ฉอด สายทิพย์ ได้ลงรูปของตั้วและแอมกอดกันลงในอินสตาแกรมไปไม่นาน นักร้องสาวก็ได้นำภาพดังกล่าวมาลงอีกครั้ง พร้อมเปิดใจถึงความรู้สึกที่ไม่เคยบอกใครว่า

"วันนี้เป็นอีกหนึ่งในวันที่ดีที่สุด ไม่มีชีวิตของใครที่ทำอะไรลงตัวไปหมดทุกอย่าง แต่เมื่อเวลาล่วงเลย วัยวุฒิพาเรามาสู่จุดแห่งความเข้าใจชีวิต สิ่งที่มีค่าที่สุดคือมิตรภาพที่ดีต่อกันในวันนี้ วันนี้เจอกันโดยไม่ได้นัดหมาย

กระโดดกอดกันด้วยความดีใจ ความรักและมิตรภาพที่มีให้กันวันนี้กลับดีงามกว่าเมื่อวัยว้าวุ่นร้อยเท่า...ดีใจมากๆ ที่ได้เจอกันค้าบบลุงตั้ว...กราบขออโหสิกรรมในความเฮงซวยต่างๆ ของน้องที่พึงมีต่อคุงพี่ในวันฤทธิ์มาก กราบจากใจจริง.....รักนะ เย่ๆๆ..!! #รู้สึกตายตาหลับ #ยิบปี้ๆๆๆ..."

นายกฯ ย้ำตั้ง 4 คำถาม เพื่อเตือนสติประชาชน

เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 60 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า การตั้ง 4 คำถาม เพื่อต้องการให้สติ เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็น หาทางแก้ปัญหาของประเทศ และกำหนดอนาคตหลายอย่าง กำลังเดินหน้าไปตามโรดแม็ป ถ้าเราคิดไม่ตรงกันทำกฎหมายลูกก็มีปัญหาความขัดแย้งตรงนั้นอีก

ฉะนั้นประการหนึ่งตนเห็นว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ อีกประการหนึ่ง คือ อยากกระตุ้นให้สังคมไทยทุกระดับตระหนักถึงปัญหาที่เปรียบเสมือนทางตันในอดีต จนนำมาสู่การแก้ปัญหาของรัฐบาล และ คสช.ในปัจจุบัน และรัฐบาลในอนาคตที่ผ่านมาสังคมแตกแยกทางความคิด แต่วันนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ควรหันหน้าเข้าหากัน ทำอย่างไรให้ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่มีธรรมาภิบาล บริหารประเทศอย่างมียุทธศาสตร์ พร้อมนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปอย่างแท้จริง

หลายคนยังหลงประเด็นอยู่เป็นเสมือนว่าเป็นการทำโพล สำรวจคะแนนความนิยมหรือปูทางไปสู่การสืบทอดอำนาจ เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย ตนก็เสียใจที่ถูกนำไปเป็นประเด็นต่างๆ เพื่อสร้างความขัดแย้งทางการเมืองอีก ตนไม่ต้องการอย่างนั้น คำตอบเหล่านั้นถ้าเป็นความเห็นที่บริสุทธิ์และสร้างสรรค์จากประชาชน จะเป็นประโยชน์สำหรับพวกเราทุกคน เพราะจะได้มีส่วนร่วมในการหาทางออกให้กับประเทศ ขอให้แสดงความคิดเห็นมาจะดีหรือไม่ดี ตนฟังได้ทั้งนั้น จะมากจะน้อยก็ฟังแค่นั้น ไม่ใช่ต้องการทำเพื่อสร้างคะแนนนิยมหรือโจมตีนักการเมือง


“ณิชชาอร” ฟอร์มดุ โค่นมือ 1 โลก เข้ารอบรองฯ ขนไก่ “อินโดโอเพ่น”

การแข่งขันแบดมินตันระดับ ซูเปอร์ซีรีส์ รายการ บีซีเอ อินโดนีเซีย โอเพ่น 2017 ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ประจำวันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560 เป็นการแข่งขันรอบ 8 คนสุดท้าย

ประเภทหญิงเดี่ยว “แน็ต” ณิชชาอร จินดาพล มือ 14 ของโลก ที่เอาชนะ ไซน่า เนห์วาล อดีตมือ 1 โลก ชาวอินเดีย รอบ 16 คนสุดท้าย พบกับ ไท่ ซือ หยิง มือ 1 ของโลกในปัจจุบันจากไต้หวัน โดยสถิติที่ผ่านมา ทั้งคู่เคยพบกันมาแล้ว 7 ครั้ง และเป็นมือ 1 โลกที่เอาชนะได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ณิชชาอร สามารถคว้าชัยชนะนัดแรกในการเจอกับ ไท่ ซือ หยิง ได้สำเร็จ 2-1 เกม 21-19, 8-21 และ 21-17 คะแนน ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ไปรอพบ ซายากะ ซาโตะ มือ 17 โลก ที่เอาชนะ อากาเนะ ยามากูชิ มือ 3 ของรายการ


ครูอ้อย อ้างถูกมือมืด โจมตีขู่เรียก 11 ล้าน

(16 มิ.ย.) ที่โรงแรมสุโขทัย สาทร น.ส.ฐิตินาถ ณ พัทลุง หรือ ครูอ้อย โค้ชชีวิตและผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต แถลงข่าวระบุว่า ตนถูกโจมตีอย่างเป็นระบบและสลับซับซ้อน ด้วยการเปิดเว็บไซต์ เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ ทำลายตนและครอบครัว เช่น บิดาของตนเป็นเสื้อแดง และปลูกฝังให้ตนเป็นคนไม่ดี พร้อมขู่ให้ตนหยุดสอน หยุดชวนคนทำบุญ และจ่ายเงิน 11 ล้านบาท เพื่อแลกกับการหยุดกระจายข่าวในแพลตฟอร์มต่างๆ

โดยได้ไปปรึกษา พ.ต.ต.วรนันท์ ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และได้ขอความคุ้มครองตามกระบวนการยุติธรรม ตนเป็นเองเป็นครู มีความรักและปรารถนาดีกับลูกศิษย์ทุกคน แต่หลายครั้งที่พูดตรงๆ ทำให้ทุกคนโกรธ สำหรับลูกศิษย์ที่โกรธ ตนขอขมาและขออโหสิกรรม ตนไม่คิดว่าการเผยแพร่ข่าวต่างๆ เป็นฝีมือของลูกศิษย์ ซึ่งข้อมูลต่างๆ ได้ส่งให้ดีเอสไอแล้ว และแจ้งความให้ตำรวจประสานงานกับ ปอท. แล้ว

ส่วนการจัดอบรมหลักสูตรเข็มทิศภาวนา เข็มทิศมหาชน ฟรีหมด 4 วัน 3 คืน แม้แต่ค่าห้องพัก แต่ก็ถูกบิดเบือน มีคนเรียนฟรีกับตนมากถึง 9 ล้านคน ทำให้คนที่ไม่อยากเบียดกับคนที่อบรมฟรีก็อยากจะเรียนกลุ่มเล็กๆ ปัจจุบันคิดชั่วโมงละ 1,500 บาท วันละ 8 ชั่วโมง 2 วัน (24,000 บาท) เหมือนกับการเรียนพิเศษ แต่ไม่ได้บังคับ เทียบกับต่างประเทศที่มีการสอน ราคาแพงมากถึง 3 แสนบาท

"ขอร้องว่า ถึงแม้ครูอ้อยจะทำงานฟรี หลักสูตรฟรี แต่ขออนุญาตให้คนกลุ่มเล็กๆ ที่เขาอยากมีทางเลือก ที่จะไปเรียนแบบไม่ต้องเบียดกับคนเยอะ ก็อนุญาตให้มีทางที่จะไป" น.ส.ฐิตินาถ กล่าว

ส่วนข้อกล่าวหาว่า หลักสูตรเข็มทิศชีวิตเหมือนวัดพระธรรมกายนั้น ยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นพระ ไม่ได้เปิดรับบริจาค เหมือนมาซื้อข้าวกิน แต่มาแก้ปัญหา แก้ความทุกข์ให้กับคน ขณะนี้ข้อมูลต่างๆ อยู่ในมือของตำรวจแล้ว ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า ครูอ้อยนำภาพจากผู้ที่มีชื่อเสียงไปใช้โปรโมตคอร์สโดยไม่ได้ขออนุญาตนั้น ในขั้นตอนการสมัครก็ระบุว่า ผู้เรียนรับทราบว่าภาพและเสียงเป็นลิขสิทธิ์ของหลักสูตรอยู่แล้ว


มือบึ้ม รพ. เล็งก่อเหตุ ศิริราช - รามาฯ ชิงคุมตัว - หิ้วเมีย -เค้นหนักค่ายทหาร

(16 มิ.ย.) แหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคง เปิดเผยความคืบหน้ากรณีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงควบคุมตัว นายวัฒนา ภุมเรศ อายุ 62 ปี อดีตวิศวกรไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าว่า ก่อนการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มแกะรอยจากกล้องวงจรปิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กระทั่งพบนายวัฒนา เป็นบุคคลต้องสงสัย

จากการสะกดรอยนานกว่า 1 สัปดาห์ พบว่านายวัฒนา มักจะจอดรถไว้ที่ กฟผ.ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ก่อนขึ้นโดยสารรถประจำทางไปยังสถานที่เป้าหมาย ทั้งนี้พบว่านายวัฒนา เดินทางไปโรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลรามาธิบดีด้วย แต่ไม่ทราบว่าเดินทางไปทำอะไร จึงชิงเข้าควบคุมตัวไว้ก่อน หวั่นจะก่อเหตุร้าย

นอกจากนี้จากการสอบสวนโดยใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง นายวัฒนาให้การยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุวางระเบิดไปป์บอมบ์จริง โดยทำมาแล้ว 6 ครั้ง

ครั้งแรกก่อเหตุเมื่อเวลา 23.18 น. วันที่ 9 เม.ย.50 มีการวางระเบิดในตู้โทรศัพท์สาธารณะของบริษัททีโอที สีส้ม ด้านหน้าโรงภาพยนตร์เมเจอร์ รัชโยธิน ถ.พหลโยหล แขวงลาดยาว เขตจตุจักร ทำให้ตู้โทรศัพท์ได้รับความเสียหายไฟลุกไหม้พังยับเยินจนประชาชนที่เดินอยู่บริเวณใกล้เคียงแตกตื่นวิ่งหนีอลหม่านแต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นการก่อกวน ไม่ประสงค์ให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งจากการทำระเบิดครั้งนี้จะทำให้เกิดไฟลุกไหม้ก่อน เพราะไม่มีเจตนาทำร้ายประชาชน

ส่วนครั้งที่2เหตุเกิดเมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 8 พ.ค.50 เหตุระเบิดตู้โทรศัพท์สาธารณะปากซอยราชวิถี 24

ครั้งที่ 3 เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 30 ก.ย.50 เกิดเหตุระเบิดบริเวณด้านข้างกรมแผนที่ทหารบก ติดกับกองบัญชาการทหารบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน กทม. เนื่องจากไม่ชอบพล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)

ส่วนครั้งที่4เกิดเหตุระเบิดด้านหน้ากองสลากกินแบ่งรัฐบาล ถ.ราชดำเนิน โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าวันที่สลายการชุมนุมเมื่อปี 53ได้อยู่จุดดังกล่าวและมีผู้เสียชีวิต

สำหรับครั้งที่ 5 ได้ลอบวางระเบิดบริเวณด้านหน้าโรงละครแห่งชาติ โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 53 มีผู้เสียชีวิตจุดนี้จำนวน 1 ราย โดยเหตุการณ์ทั้ง 5 จุดเป็นเพียงแค่การข่มขู่ที่ไม่หวังเอาชีวิตประชาชน

แหล่งข่าวรายเดิม กล่าวต่อว่า และจุดที่ 6 คือระเบิดภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ผู้ต้องหารับสารภาพว่าตัดสินใจที่จะวางระเบิดและใส่ตะปูนำไปวางไว้ที่ห้องวงษ์สุวรรณ เพื่อเป็นการล้างแค้นให้กับผู้ที่เสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร ในวันที่ทหารเข้ากระชับพื้นที่ช่วงปี 53 จึงตัดสินใจไปวางระเบิดที่โรงพยาบาลทหารในวันที่ครบรอบรัฐประหาร

ทั้งนี้พนักงานสอบสวนยังไม่ปักใจเชื่อว่า นายวัฒนา จะดำเนินการเพียงคนเดียว เพราะเวลาที่ก่อเหตุตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงปัจจุบันเป็นเวลานาน 10 ปี หากยังจับนายวัฒนาไม่ได้เชื่อว่าจะมีแผนการวางระเบิด เพราะพบไปป์บอมบ์พร้อมทำงานภายในบ้านของนายวัฒนาอีก 4 ลูก ซึ่งในช่วงเวลานี้ยังไม่มีเหตุการณ์สำคัญหรือวันสัญลักษณ์จึงยังรอคอยเวลาเพื่อก่อเหตุในครั้งต่อไป

รายงานข่าวเปิดเผยว่า สำหรับวัตถุพยานในที่เกิดเหตุและที่บ้านพักที่ตรวจพบทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานและเจ้าหน้าอีโอดีจะรวบรวมทั้งหมดส่งตรวจเพื่อหาความเชื่อมโยง เช่น ลวดที่ตัดเป็นท่อนๆ นำมาทำเป็นสะเด็ดระเบิดโดยทางนายวัฒนาได้ตัดลวดที่บ้านพัก และมีอีกส่วนหนึ่งเหลืออยู่ ทางเจ้าหน้าที่จะนำไปพิสูจน์ว่ามาจากชิ้นเดียวกันหรือไม่ นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวภรรยาของนายวัฒนาไว้ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) สนามเป้า พร้อมกับควบคุมตัวเพื่อนสาวคนสนิทของนายวัฒนาไว้ที่กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน4รอ.) สนามเป้า เพื่อขยายผลในคดีต่อไปว่ามีใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ ทั้งนี้ผู้ต้องหายังให้การรับสารภาพว่าได้ซื้อดินดำที่ร้านค้าย่านสะพานพระราม 7 เพื่อนำมาประกอบระเบิด

ยอดเหยื่อไฟนรกตึกในลอนดอน พุ่ง30ศพ ไม่พบสิ่งบ่งชี้'วางเพลิง'

ยอดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันในเหตุไฟไหม้อาคารที่พักอาศัยในลอนดอน เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 30 ราย จากการเปิดเผยของตำรวจในวันศุกร์(16มิ.ย.) ขณะที่หน่วยดับเพลิงยังคงค้นหาศพเหยื่อท่ามกลางความขุ่นเคืองต่อกรณีวัสดุหุ้มตึกที่ถูกกล่าวโทษว่าเป็นต้นตอไฟลุกลามอย่างรวดเร็วและเผาผลาญอพาร์ตเมนต์ทั้ง 120 ห้องวอดวาย

"เราทราบว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 30 คนในเหตุไฟไหม้ครั้งนี้ ผมเชื่อว่าจำนวนจะเพิ่มขึ้นอีก" ผู้บัญชาการตำรวจ สจ๊วร์ต คันดี บอกกับผู้สื่อข่าวบริเวณด้านหน้าของอาคารเกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ ที่ไหม้เกรียม พร้อมเผยว่าตำรวจได้เริ่มสืบสวนทางอาญาแล้ว แต่ไม่พบสิ่งบ่งชี้ว่าไฟปะทุขึ้นจากความตั้งใจ

สื่อมวลชนรายงานว่ายังมีผู้สูญหายอีกกว่า 70 คน แม้ยังไม่ทราบชัดเจนว่าบางคนในนั้นอยู่ในบรรดาศพที่เก็บกู้มาได้แล้วหรือไม่ ส่วนตำรวจเตือนว่าเหยื่อบางรายอาจถึงขั้นระบุเอกลักษณ์ไม่ได้เลย สืบเนื่องจากสภาพของศพ

ยอดเหยื่อไฟนรกเผาวอดตึกที่พัก24ชั้นในลอนดอนพุ่ง30ศพ ไม่พบสิ่งบ่งชี้'วางเพลิง'

คันดี เผยว่าเหยื่อคนหนึ่งเสียชีวิตในโรงพยาบาล ทำให้ตอนนี้มีผู้รอดชีวิต 24 คนที่ยังรักษาตัวในโรงพยาบาลและในนั้นมีถึง 12 คนที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน

หน่วยดับเพลิงใช้โดรนและสุนัขดมกลิ่นค้นหาจากนอกและในอาคาร พร้อมเผยว่าบริเวณชั้นบนๆเจ้าหน้าที่ยังเข้าไปไม่ถึง สืบเนื่องจากความมั่นคงของตึก

พื้นที่โดยรอบของอาคาร พวกญาติๆที่สิ้นหวังต่างนำแผ่นป้ายประกาศที่มีรูปของผู้สูญหายมาติดโดยรอบ มีทั้งคุณปู่คุณย่าไปจนถึงเด็กๆ ขณะที่อาสาสมัครจำนวนมากคอยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้รอดชีวิต

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายวิลเลียม ทรงเสด็จเยือนศูนย์ประชาคมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่พักพิงชั่วคราวของผู้รอดชีวิตบางส่วน ท่ามกลางความขุ่นเคืองของชาวบ้านมากขึ้นต่อคำกล่าวอ้างที่ความกังวลด้านความปลอดภัยจากเหตุ

รัฐบาลออกคำสั่งให้ตั้งคณะไต่สวนที่นำโดยผู้พิพากษารายหนึ่งเข้าสืบสวนเหตุอัคคีภัยครั้งเลวร้ายเมื่อวันพุธ(14มิ.ย.) หลัง ยอดเหยื่อไฟนรกเผาวอดตึกที่พัก24ชั้นในลอนดอนพุ่ง30ศพ ไม่พบสิ่งบ่งชี้'วางเพลิง'

ส่วนนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน ต่อกรณีไม่พบปะกับชาวบ้านตอนที่ลงพื้นที่เกิดเหตุเพื่อพูดคุยกับพวกเจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินเมื่อวันพฤหัสบดี(15มิ.ย.) อย่างไรก็ตามเธอได้เดินทางไปเยี่ยมผู้รอดชีวิตที่โรงพยาบาลในวันศุกร์(16มิ.ย.)

มีคำถามมากขึ้นว่าทำไมไฟถึงลุกลามอย่างรวดเร็ว ซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์มุ่งเน้นไปที่วัสดุหุ้มอาคารที่ติดตั้งบนผนังด้านนอกระหว่างการปรับปรุงตึกเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่ปี 1974 แห่งนี้ ที่ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 11 ล้านดอลลาร์ และเพิ่งลุล่วงเมื่อกลางปีที่แล้ว

จากข้อมูลของบีบีซี วัสดุหุ้มอาคารที่เกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ ใช้มีพลาสติกเป็นแกนกลางและคล้ายกับวัสดุที่ใช้ในอาคารสูงในฝรั่งเศส สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ ออสเตรเลีย

แม้ ไรดอน บริษัทที่รับผิดชอบการปรับปรุงตึกแห่งนี้ ยืนยันว่าดำเนินการตามข้อกำหนดด้านอาคารทั้งหมดอย่างเคร่งครัด แต่เดอะ ไทมส์ รายงานว่าชนิดของวัสดุหุ้มที่ใช้ในอาคารแห่งนี้ถูกห้ามในสิ่งปลูกสร้างที่มีความสูงเกิน 12.2 เมตรในสหรัฐฯ สืบเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยหากมีเหตุเพลิงไหม้

นอกจากประเด็นโต้เถียงเกี่ยวกับวัสดุหุ้มแล้ว ยังมีคำถามเพิ่มเติมว่าทำไมถึงไม่มีระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ(sprinkler) ในอาคารแห่งนี้ ซึ่งอาจช่วยหยุดการลุกลามของเปลวไฟ หรือระบบเตือนควันไฟส่วนกลางที่จะช่วยปลุกชาวบ้านให้ตื่น