ข่าว
บุกรวบ "ครูสอนศาสนา" กระทำชำเราเด็กหญิง

เวลา 16.00 น. วันที่ 3 ตุลาคม ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค5 พ.ต.อ.วีรชน บุญทวี ผกก.สส.3 บก.สส.ภ.5 พ.ต.ท.อภิชาติ หัตถสิน สว.กก.สส.3 บก.สส.ภ.5 และ พ.ต.ต.ชยกร มามุ่งปณิธาน สว.ฝอ.ช่วยราชการ กก.สส.3 บก.สส.ภ.5 นำกำลังชุดสืบสวนกองสืบฯ3 ตำรวจภูธรภาค5 ร่วมกันจับกุมตัวนายมนู มณีวรรณ์ อายุประมาณ 50 ปี ครูสอนศาสนา ที่สถาบันพระคริสต์เชียงใหม่ ต.แม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่ เป็นการจับกุมตามหมายจับของศาล จ.เชียงใหม่เลขที่ 121/2556 ลงวันที่ 25 กันยายน 2556 ในข้อหาพรากเด็กฯและกระทำชำเราฯเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี

พ.ต.อ.วีรชน ผกก.สส.3 บก.สส.ภ.5 เปิดเผยว่า การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจาก ประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2556 ศูนย์พิทักษ์เด็กสตรีและป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ตำรวจภูธรภาค5 (ศพดส.ภ.5) ได้รับเบาะแสจากมูลนิธิอากาเป้ ซึ่งเป็นมูลนิธิเอกชนที่ดูแลเด็กด้อยโอกาส ว่ามีเด็กหญิงในความดูแลของมูลนิธิถูกนายมนู ผู้ต้องหา ซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมของเด็กหญิงรับตัวไป กระทำชำเราและกระทำอนาจารอยู่บ่อยครั้ง โดยช่วงแรกเด็กไม่กล้าบอกเพราะเกรงกลัวและอับอาย

ต่อมานายมนูมารับตัวไปบ่อยขึ้น เด็กหญิงจึงตัดสินใจเล่าให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฟัง มูลนิธิฯจึงรีบประสานมายัง ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กสตรีฯ ภาค5 เพื่อเร่งทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และแจ้งความที่ สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ กระทั่งศาลจังหวัดเชียงใหม่อนุมัติออกหมายจับตัวมาดำเนินคดีดังกล่าว

พ.ต.อ.วีรชน กล่าวว่า จากการสืบสวนทราบว่านายมนูนั้น จะไปรับอุปการะดูแลเด็กผู้เสียหาย ซึ่งจะเลือกเด็กหญิงหน้าตาดีจำนวนหลายรายอายุระหว่าง 13-15 ปี โดยอ้างว่ามาช่วยเหลือในนามของสมาคมคริสตจักร ทั้งยังอ้างว่าจะดูแลและให้ได้รับการศึกษาที่ดี แต่ภายหลังจะฉวยโอกาสว่าเป็นผู้ดูแลรับตัวเด็กไปที่บ้านในพื้นที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ พาไปนอนด้วยกันสองต่อสอง อาบน้ำให้เด็กหญิงผู้เสียหาย เมื่อสบโอกาสก็จะทำการกระทำชำเราเด็กและล่วงละเมิดทางเพศ โดยนายมนูได้กระทำในลักษณะดังกล่าวมาแล้วจำนานหลายราย

ศาล สั่งจำคุก 2 ปี ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ หมิ่นสถาบันฯ

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 1 ต.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 814 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ พิพากษาจำคุก นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 8 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 คงเหลือจำคุก 2 ปี คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีหมายเลขดำ 2066/2553 สรุปว่าเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2551 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีปราศรัยกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ด้วยการกระจายเสียงเครื่องขยายเสียง ท่ามกลางประชาชนที่มาฟังจำนวนหลายคน มีข้อความซึ่งจำเลยนำเอาคำปราศรัยของน.ส.ดารณีชาญเชิงศิลปะกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” ที่พูดบนเวทีปราศรัยที่ท้องสนามหลวง อันเป็นการพูดที่มีถ้อยคำหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์มาพูดซ้ำ อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ศาลอุทธรณ์ประชุมตรวจสำนวนปรึกษากันแล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีเจตนาดูหมิ่นใส่ร้ายอาฆาต สถาบันหรือไม่ เห็นว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยโต้แย้งกันในศาลล่างรับฟังได้ว่า วันที่ 20 กรกฎาคม 2551 จำเลยนำคำพูดของน.ส.ดารณี ที่มีเนื้อหาพูดพาดพิงสถาบันมาพูดที่เวทีพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นการนำคำพูดมาหมิ่นประมาทซ้ำ ที่จำเลยอ้างว่าไม่มีเจตนา แต่กลับเอาคำพูดมาพูดซ้ำเพื่อให้เห็นถึงการดำเนินคดีกับน.ส.ดารณี ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยไม่มีความจำเป็นต้องนำเนื้อหามาถ่ายทอดพูดซ้ำในที่สาธารณะ เพราะคนไทยบางส่วนไม่ทราบว่าเนื้อหาที่น.ส.ดารณี พูดเป็นอย่างไรบ้าง ก็ได้มาทราบจากการที่จำเลยพูด ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ส่งผลกระทบต่อสถาบัน อันเป็นการกระทำที่ไม่ระมัดระวังอย่างเพียงพอ การกระทำเป็นการครบองค์ประกอบความผิดแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น จึงมีความผิดฐานหมิ่นสถาบันฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 112 พิพากษากลับ ลงโทษจำคุก 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 คงเหลือจำคุก 2 ปี

ศาลรธน.ไม่รับเบรก'ปู'ทูลเกล้าฯ

2 ต.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงวานว่าศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณาคำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา กับคณะรวม 50 คน และนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กับคณะรวม 62 คน กรณีที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ ปี 2557 มาตรา 27 ในส่วนของสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลปกครอง และมาตรา 28 ของสำนักงาน ป.ป.ช. ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ กรณีที่ไม่จัดสรรงบประมาณให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญให้พอเพียง และไม่ให้ตัวแทนเข้าแปรญัตติของบประมาณเพิ่มเติมต่อกรรมาธิการ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 168 วรรค 8 วรรค 9 หรือไม่ ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดให้ ประธานกรรมาธิการงบประมาณ ผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม ผู้แทนสำนักงานศาลปกครอง ผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้แทนจากสำนักงาน งบประมาณ เข้าชี้แจงในวันนี้ ได้กำหนดให้ มีการแถลงด้วยวาจาก่อนลงมติ และมีการลงมติในวันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม เวลา 10.00 น. นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ ยังพิจารณา ให้ยกคำร้องของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา กับคณะ และคำร้องนายสาย กังกเวคิน ส.ว ระยอง กับคณะ ที่ขอให้ศาล มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เพื่อไม่ให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว. ศาลพิจารณาแล้วให้ยกคำขอ เนื่องจากไม่มีเหตุจำเป็นที่จะสั่งคุ้มครองชั่วคราว

อนุมัติหมายจับล่ามสาวเวียดนาม ตุ๋น 25 ล้านบาท

พล.ต.ต.ประยนต์ ลาเสือ ผบก.สส.บช.น. สั่งชุดสืบสวนบก.สส.บช.น. ล่าตัวนางโล ทิ เทียน แทน สาวเวียดนาม ฐานก่อเหตุหลอกให้นายฟาม เทียน แพง เศรษฐีชาวเวียดนามมาทำสัญญาซื้อขายผลไม้กับ 2 ผัวเมียชาวไทย ก่อนโกงเงินหลบหนีไปทำให้ 2 ผัวเมียแค้นจัดคิดว่านายฟามเป็นพี่น้องกับนางโล จึงจับเหยื่อไปซ้อมและกักขังบังคับให้เอาเงินมาจ่ายหนี้สิน 25 ล้านบาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น พล.ต.ต.ประยนต์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ศาลแขวงนครศรีธรรมราช ออกหมายจับนางโล ทิ เทียน แทน แล้ว อยู่ระหว่างการติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี คาดว่ายังไม่ได้หลบหนีออกนอกประเทศ ส่วนสามีนางโล ยังไม่มีพยานหลักฐานชัดว่าเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ นอกจากนั้น ขณะนี้ยังดำเนินคดีกับนายเจษฎากร จินา อายุ 45 ปี และนางภัทรานิษฐ์ ทองศรีรุ่งโรจน์ สองสามีภรรยาพ่อค้าผลไม้ชาวนครฯ แล้ว ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกาย ที่สภ.ช้างกลาง พล.ต.ต.ประยนต์ ระบุว่า นางโล เป็นล่ามชาวเวียดนาม ทำหน้าที่ติดต่อซื้อขายผลไม้ระหว่างนายทุนเวียดนามกับพ่อค้าคนกลางในไทย เพื่อส่งออกไปเวียดนาม สามารถพูดภาษาไทยได้ แต่นางโล กลับหลอกทั้งนายทุนชาวเวียดนามและพ่อค้าชาวไทย โกงเงินไปหลายล้านบาท โดยกรณีของนายเจษฎากรและนางภัทรานิษฐ์ ถูกโกงเงินไป 25 ล้านบาท และยังมีผู้เสียหายอีกหลายรายถูกนางโล โกงเงินด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดทยอยกันเข้าแจ้งความในท้องที่แล้ว เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันระหว่างพ่อค้าคนไทยกับชาวเวียดนาม ทำให้ถูกล่ามสาวรายนี้หลอก เมื่อส่งสินค้าไปจำนวนมากแต่กลับได้เงินกลับมาไม่ครบ ก่อนหน้านี้นางโล เคยก่อเหตุอยู่ในแถบภาคตะวันออก เมื่อหมดช่องทางก็มาก่อเหตุทางภาคใต้