วันที่ 22 ก.ย.60 ภายหลัง พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รอง ผบก.น.5 ออกมาสารภาพว่า เป็นคนขับรถพา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หนีออกจากบ้านพักย่านวัชรพล กทม. เมื่อคืนวันที่ 23 ส.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานตามเอกสารการสอบปากคำ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ได้ให้การ มีใจความโดยสรุปว่า
“เวลา 18.20 น. วันที่ 23 ส.ค.60 ได้ขับรถสายตรวจโตโยต้า รุ่นอัลติส สีบรอนซ์เทา....ไปจอดรอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ลานจอดรถห้างฯโลตัส สาขาวัชรพล หลังจากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นั่งรถเก๋งเบนซ์สีดำออกมา วิ่งนำไปจนถึงหมู่บ้านชัยพฤกษ์ วัชรพล เข้าทางป้อมยามหมู่บ้าน เข้าไปในซอย 23 ก่อนจะมีรถเก๋งโตโยต้า คัมรี่ สีบรอนซ์เทา ขับออกมา ขับนำรถ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ไปที่บ้านของ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ซึ่งอยู่ท้ายซอย 38 และทราบว่ามี น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมเลขาฯที่เป็นผู้หญิง นั่งมาในรถคัมรี่ โดยทั้งสองคนมีผ้าแมสปิดจมูก
จากนั้น พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ได้ขับรถเก๋งคัมรี่ ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั่งมากับเลขาฯ ออกจากบ้านพักของ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ มุ่งหน้าออกจากหมู่บ้านชัยพฤกษ์ วัชรพล เลี้ยวซ้ายไปที่ถนนรามอินทรา มุ่งหน้ามีนบุรี จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปถนนสุวินทวงศ์ มุ่งหน้า จ.ฉะเชิงเทรา พ่อผ่านจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้เลี้ยวซ้ายไปทาง อ.พนมสารคาม เมื่อถึง ต.เขาหินซ้อน ได้เลี้ยวขวามุ่งหน้า จ.สระแก้ว ผ่านตัวจังหวัดสระแก้ว พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ได้ขับรถมุ่งไปยัง อ.อรัญประเทศ เมื่อถึงตัวอำเภออรัญประเทศ ซึ่งเป็นเวลา 22.00 น. ของวันที่ 23 ส.ค.60 ได้ขับไปตามถนนสุวรรณศร เพื่อไปที่นัดหมาย โดยมีรถมารอรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ห่างจากสถานีรถไฟอรัญประเทศประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีแสงไฟส่องสวาง
เมื่อไปถึง พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ เห็นรถยนต์กระบะสี่ประตู สีทึบ โดยไม่ได้สังเกตยี่ห้อ และหมายเลขทะเบียน จอดอยู่ มีชายลักษณะสูงประมาณ 180 ซม. ซึ่งมองหน้าไม่ชัด ว่าเป็นชายไทยหรือไม่ โดยรถยนต์กระบะคันดังดล่าวเปิดไฟกะพริบซ้ายขวาด้านหลังไว้ด้วย พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ได้จอดรถที่ขับมาต่อท้าย จากนั้นชายดังกล่าวได้เดินมารับ น.ส.ยิ่งลักษณ์และเลขาฯหญิง ไปขึ้นรถกระบะแล้วขับออกไป
ส่วน พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ได้ขับรถ่อไปอีก 500 เมตร จึงแวะจอดข้างทางเพื่อพักชั่วคราว โดยตื่นขึ้นมาเวลาประมาณ 12.00 น. ของวันที่ 24 ส.ค.60 จึงได้ขับรถยนต์กลับ กทม. ตามเส้นทางเดิมจนถึงบ้านที่หมู่บ้านชัยพฤกษ์ วัชรพล โดยที่ไม่ได้หยุดพัก...
วันที่ 28 ส.ค.60 พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ได้ขับรถยนต์โตโยต้า คัมรี่ คันดังกล่าว ที่เปลี่ยนป้ายทะเบียนท้ายแล้ว นำไปให้ ด.ต.พรพิพัฒน์ มากบุญงาม ผบ.หมู่ ฝอ.7 ภ.จว.นครปฐม ซึ่งเคยรับราชการสมัยอยู่กองปราบปรามด้วยกันเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน โดยนำไปให้ท่ีร้านอาหารแสงจันทร์ ของ ด.ต.พรพิพัฒน์ ตรงข้ามมหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ เพื่อนำไปแยกชิ้นส่วนทำลายหลักฐาน
ต่อมา วันที่ 30 ส.ค.60 ด.ต.พรพิพัฒน์ จึงติดต่อให้ พ.ต.ท.สามมิตร ไชยอิ่นคำ สว.ส.ภ.จว.นครปฐม ซึ่งเป็นนักเรียนพลตำรวจรุ่นเดียวกัน มานำรถยนต์คันดังกล่าวไปแยกชิ้นส่วนทำลายหลักฐาน ซึ่งหลังจากนั้น ด.ต.พรพิพัฒน์ ไม่ทราบว่ามีการแยกชิ้นส่วนทำลายหลักฐานแล้วหรือไม่".
เรียกว่าช็อกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับกรณีที่ “แอฟ ทักษอร เตชะณรงค์” ออกมาตอบคำถามแบบคลุมเครือ เรื่องสัมพันธ์รัก “สงกรานต์ เตชะณรงค์” หลังถูกลือว่าส่อเตียงหัก ไม่มีภาพคู่ครอบครัวมานานแล้ว โดยยอมรับว่าแยกกันอยู่ ขอเวลาอีกนิด ถ้าพร้อมเมื่อไหร่เดี๋ยวจะบอก ซึ่งทำแฟนคลับใจหายไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะทั้งคู่เป็นคู่สามีภรรยาที่น่ารักมาก ส่วนลูกสาว “น้องปีใหม่” ก็น่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย
ซึ่งภายหลังจากที่นางเอกสาวออกมาตอบเรื่องสถานะครอบครัว ชาวเน็ตรายหนึ่งก็เริ่มชี้เป้าว่าเรื่องนี้อาจมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องหรือเปล่า โดยมีการแคปคอมเมนต์จากไอจีปริศนาไอจีหนึ่ง ซึ่งเข้าไปคอมเมนต์ในอินสตาแกรม คุณพ่อของหนุ่มสงกรานต์ งานนี้จริงหรือไม่ โปรดใช้วิจารณญาณ
“ก่อนจะมองไปถึงอนาคต ปู่คิดถึงสิ่งที่ปีต้องเจอในตอนนี้ อย่างน้อยก็โชคดีที่แอฟเป็นแม่ที่เข้มแข็งเหลือเกิน บางอย่างมันต้องใช้ความซื่อสัตย์ จริงใจ หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้นะปู่นะ มาภาวนาอย่าให้แอฟถอดใจเสียก่อน”
“ผู้หญิงที่ดี จะไม่พรากพ่อไปจากลูก ผู้หญิงแบบไหนช่างใจร้ายจริงๆ เอาเด็กไปเปรียบเทียบกับหมา แม้แต่เด็กไม่สบายเข้าโรงพยาบาลยังล้อเลียน ไปซื้อกระเป๋าแบบเดียวกับเมียเขามาโชว์รัวๆ ด้วยนะ นานแล้วเนอะไม่หยุด สงสัยแฟนคลับจะคิดฟุ้งซ่านไปเองดูเพลิงบุญมากไป 555 เอาใจช่วยนะคะ ขอแอฟอย่าถอดใจ”
“อย่าบอกว่าลูกชายปู่ไม่รู้ ตั้งแต่กุมภามาเดือนนี้ที่ผู้หญิง ลูกชายปู่ไม่รู้จริงๆ เหรอ หรือคิดว่าเมียไม่รู้ เลยไม่สนใจ”
ซึ่งพ่อสงกรานต์ก็ไม่ได้ตอบโต้ไอจีดังกล่าว โดยภายหลังจากที่สาวแอฟออกมาให้สัมภาษณ์ก็มีการโพสต์ภาพ "น้องปีใหม่" พร้อมชมว่าหลานสวยที่สุด
เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 22 กันยายน ที่กองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 15 ค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์ ต.ลำภูรา อ.ห้วยยอด จ.ตรัง พ.อ.ต่อพงศ์ วรรณจันทร์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 15 ค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์ นำกำลังทหารกองเกียรติยศ ตั้งแถวรอรับศพ วีระบุรุษทหารกล้า อส.ทพ.ปฐมพร คงสัย หรือแขก อายุ 22 ปี สังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 44 อยู่ชาว ต.น้ำผุด อ.เมืองตรัง ขณะลำเลียงศพมากับเฮลิคอปเตอร์ คลุมธงชาติไทย กลับสู่มาตุภูมิ ท่ามกลางความโศกเศร้าของบรรดาญาติพี่น้อง และเพื่อนทหาร ก่อนนำร่างไปทำพิธีบำเพ็ญกุศลศพที่วัดไตรสามัคคี ต.นาวง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ต้องรอเฮลิคอปเตอร์ นาน 5 ชั่วโมง เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี
สำหรับ อส.ทพ.ปฐมพร หรือ แขก เป็น 1 ใน 4 ผู้เสียชีวิต จากเหตุกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ดักซุ่มในป่าข้างทาง ก่อนกดชนวนระเบิดแสวงเครื่อง น้ำหนักประมาณ 80-100 กก. ที่ซุกไว้ใต้ท่อระบายน้ำ จนเกิดระเบิดขึ้น ทำให้รถกระบะขาดสองท่อน เหตุเกิดบนถนนสายเจาะกือแย-สายบุรี ม.1 ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อช่วงเช้า ขณะออกจากฐานเพื่อไปดูแลความปลอดภัยโรงเรียนบ้านตะบิ้ง ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 4 นาย และ บาดเจ็บ 5 ราย
นางดุษฎี คงสัย อายุ 48 ปี แม่ของ อส.ทพ.ปฐมพร กล่าวทั้งน้ำตานองหน้าว่า ตอนแรกที่รู้ข่าวแทบช็อก เหมือนจะหยุดหายใจ เพราะว่ามีเขาคนเดียวที่เป็นกำลังหลักของครอบครัว พ่อเขาก็ไม่มีแล้ว ก่อนหน้าเสียชีวิตเอ่ยปากพูดเป็นลางกับตนว่า ถ้าเกิดตัวเองเสียชีวิต ให้ตั้งศพวัดเดียวกับพ่อ คือวัดไตรสามัคคี ต.นาวง อ.ห้วยยอด ลูกชายรักอาชีพทหารมาก เพราะพ่อเขาชอบทหาร ลุงเขาก็เป็นทหาร อาก็เป็นทหาร ญาติฝ่ายพ่อเป็นทหาร ฝ่ายแม่ก็เป็นทหาร ลูกบอกว่าไม่ได้เรียนต่อมหาลัยฯ ก็ขออาสาไปสมัครเป็นทหารพรานก่อน เพื่อจะสอบนายสิบทหาร
นางดุษฎี กล่าวต่อว่า ลูกชายรับใช้ชาติมาเกือบ 2 ปี รู้สึกภูมิใจมาก เพราะตอนเข้าไปใหม่ เขาให้อยู่ในกรม แต่ลูกขอออกนอกพื้นที่ ลูกบอกว่าถ้าอยู่ในกรมก็อยู่แบบสบายๆ แต่ถ้าได้ออกลาดตะเวน นั่นคือ รับใช้ชาติ ได้ทำหน้าที่ที่เขาอยากจะทำ อยากหาประสบการณ์ ไม่อยากอยู่แบบสุขสบาย อยากทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และขอวิงวอนโจรใต้ว่า หยุดได้แล้ว อย่าไปวางระเบิดฆ่าชีวิตผู้บริสุทธิ์อีกต่อไปเลย หยุดก่อเหตุได้แล้ว
เช่นเดียวกับ ที่สนามบินกองทัพภาคที่ 4 ค่ายวิชราวุธ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเวลา 19.00 น. พล.ต.จะนะ ปรีชา เสธนาธิการ กองทัพภาคที่ 4 เป็นประธานพิธีรับศพ อส.ทพ.ณัฎฐพล รังสิมันชาติ เจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวน ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์เดียวกัน โดยหีบศพ อส.ทพ.ณัฎฐพล รังสิมันชาติ ถูกคลุมด้วยธงชาติไทย และลำเลียงเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ จาก จ.ปัตตานี โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 4 ตำรวจ ส่วนราชการ ญาติ และครอบครัว ร่วมตั้งแถวรับศพอย่างสมเกียรติ ท่ามกลางความโศกเศร้าของญาติและครอบครัว
หลังจากนี้ญาติจะนำศพ อส.ทพ.ณัฎฐพล รังสิมันชาติ ตั้งบำเพ็ญกุศลศพที่บ้านเลขที่ 266 หมู่ 1 ต.ท้องลำเจียก อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช
เมื่อเวลา 20.15 น.วันที่ 22 ก.ย.2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ตอนหนึ่งว่า ในการบริหารราชการแผ่นดิน มีความจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมโยงทุกระดับ รัฐบาลยังมีความจำเป็นและเห็นความสำคัญอย่างมากในการลงพื้นที่ทุกภูมิภาค เพื่อพบปะประชาชน เพื่อรับทราบปัญหา ทุกครั้งที่ไปคงไม่ใช่ว่าไปพบพี่น้อง แล้วได้พูดคุยกับทุกท่านที่มาตรงนั้น เพื่อรับเรื่องปัญหาความเดือดร้อนประชาชน ทำให้รับทราบปัญหาในหลายๆ เรื่อง และได้สั่งการหน่วยงานในพื้นที่แก้ปัญหาไปแล้ว
"อย่ามองว่า ไปเพื่อจะไปทำงานการเมือง ไปทำประชานิยม ไปเรียกคะแนนเสียง ไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ต้องการทราบความต้องการที่แท้จริง จะได้หาวิธีการทำงานเพื่อจะตอบโจทย์ของประชาชนโดยตรง นี่คือประโยชน์ของการลงพื้นที่ของ ครม.ที่ต้องการทำงานร่วมกับภาคและจังหวัด ซึ่งก็ที่เปรียบเสมือนวงมโหรีปี่พาทย์ ถึงแม้ว่าเราจะมีเครื่องดนตรีดีด สี ตี เป่า มีความหลากหลาย และต่างก็เล่นตามโน้ตของตัวเอง คือ สรุปว่าทั้งวงก็ต้องบรรเลงในทำนองและจังหวะของเพลงนั้น จึงจะเป็น เสียงดนตรีที่ไพเราะ ผสมผสานกัน" นายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ รัฐบาลและคสช. ไม่ได้มุ่งหวังเพียงทำงานให้แล้วเสร็จเราจะต้องมีผลงานตามกำหนดเวลาเท่านั้น แต่ต้องปฏิบัติทุกภารกิจให้ เกิดผลสัมฤทธิ์นะครับ คือสำเร็จอย่างสัมฤทธิ์ จับต้องได้ เป็นรูปธรรม ไม่ใช่ว่าทำให้แล้วๆ ไป นั่นก็คือการบรรลุวัตถุประสงค์ของการทำงานร่วมกันทั้งในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ บางอย่างนั้นรัฐบาลไม่อาจดำเนินการได้ครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยระบบราชการเพียงอย่างเดียวที่ยังคงมีข้อจำกัดหลายๆ อย่าง เราริเริ่มให้มีกลไกประชารัฐที่จะช่วยเติมเต็ม และลดจุดอ่อนเหล่านั้น โดยการทำงานร่วมกันของทุกฝ่านสู่กุญแจความสำเร็จ
รองศาสตราจารย์ มานพ พงศทัต ศาสตราจารย์ภิชาน ประธาน หลักสูตร RECU CEO - 3 (Real Estate Chulalongkorn University ) นำทีมนักศึกษา RECU CEO - 3 PREMIUM - 3 120 คนมาดูงานในด้านอสังหาริมทรัพย์ /การพัฒนาเมือง ที่ฮาวาย/นครลอสแอนเจลิสและลาสเวกัส โดยคณะนักศึกษา RECU CEO รุ่นที่ 3 ที่มีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำในธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์และที่เกี่ยวข้องจากประเทศไทย
ฮาวาย : ชมเมืองที่น่าสนใจในอนาคต เพราะเป็นจุดกึ่งกลาง ของมหาสมุทรแปซิฟิก เพราะเป็นที่ตั้งใจกลางระหว่างประเทศจีน และสหรัฐอเมริกา เชื่อว่าในอนาคตจะต้องเป็นศูนย์กลางการเดินทางแลกเปลี่ยนการค้าของ 2 ประเทศ มหาอำนาจของโลก การค้าในอนาคตกว่า 80% จะต้องใช้เรือบรรทุกสินค้า ผ่านทะเลมหาสมุทรทั้งสิ้น
ลอสแอนเจลิส : เป็นมหานครแห่งการก้าวหน้ายุคใหม่ ทางฝั่งตะวันตกของอเมริกา จากระบบการกระจายออกไปนอกเมือง กลับเข้าสู่ในเมือง เหมือนนครนิวยอร์ก เมืองการค้าที่ยิ่งใหญ่ ของอเมริกาจะมีการก่อสร้างศูนย์ CBD (ศูนย์กลางกระจายสินค้า) ที่ยิ่งใหญ่มาก จะมีอาคารที่สูงที่สุดในภาคตะวันตกของอเมริกา มีโครงการใหญ่ๆซึ่งต่างชาติ กำลังมาลงทุน อาทิเช่น The Grand Wilshire จะเป็นตึกสูงถึง 78 ชั้น ในนครลอสแอนเจลิส โดยที่ผู้ลงทุนเป็นชาวเกาหลี และจะมีชาวต่างชาติมาลงทุนกันมากมาย รวมทั้งนักลงทุนชาวไทยด้วย ซึ่งประเทศไทยเป็นที่ยอมรับว่ามีความชำนาญด้านอาหาร เพราะได้ชื่อว่าเป็นครัวของโลก และยังมีศูนย์กระจายอาหาร เอเชียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ West Coast ดังเช่น บริษัทแล็ค-ซี (LAX-C)และการกระจายสินค้าเป็นธุรกิจ ที่สำคัญอย่างยิ่งของ Real Estate
ในโอกาสนี้ “คุณหรีด” รพีพรรณ เหลืองอร่ามรัตน์ ประธาน RECU CEO-PREMIUM รุ่น 2 และ คุณกิตติ พงษ์ศักดิ์ นักศึกษารุ่นพี่ บินมาให้การต้อนรับ และพาเยี่ยมชม กิจการของ แลค-ซี โดยมี คุณเอนก พลอยแสงงาม ประธานและเจ้าของนำชมด้วยตนเอง และ อีกทั้งยังรับฟังการบรรยายด้านอสังหาริมทรัพย์ จาก LEE&CO ที่ร้าน E-SEA FRESH RESTAURANT
หลังจากนั้น RECU CEO - 3 จะไปชมงานด้านอสังหาริมทรัพย์ การสร้างเมืองใหญ่ที่ลาสเวกัสโดยพัฒนาจากทะเลทรายให้มาเป็นเมืองศูนย์กลางการธุรกิจที่สำคัญ โดยนำธุรกิจ Entertainment เป็นกุญแจแห่ง ความสำเร็จโดยมี CASINO เป็นจุดขาย ซึ่งน่าจะนำมาเป็นข้อคิด ในการพัฒนาประเทศไทยต่อไป