ข่าว
เสธ.ทร.ไปจีน ลงนามเซ็นสัญญา ซื้อเรือดำน้ำเรียบร้อยแล้ววันนี้

(5 พฤษภาคม) พลเรือเอกลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือ ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาจัดซื้อเรือดำน้ำจีน ในฐานะตัวแทนกองทัพเรือ ได้ลงนามในสัญญาจัดซื้อเรือดำน้ำ S26T จากบริษัท CSOC รัฐวิสาหกิจของกลาโหมจีน แบบ G to G แล้ววันนี้

พลเรือเอกลือชัยเปิดเผยว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตรวจเอกสารแล้ว ฝ่ายจีนไม่มีแก้ไขฉบับที่ผ่านการตรวจสอบจากอัยการสูงสุดของไทยแล้ว และเรารับทราบว่า สตง.ให้ลงนามได้ จึงดำเนินการ จึงได้มีพิธีลงนามวันนี้ โดยฝ่ายไทยและฝ่ายจีนจะออกข่าวลงนามในสัญญานี้ทั้งในประเทศไทยและประเทศจีนด้วย

ทั้งนี้ กองทัพเรือได้แจ้งไว้ว่า พลเรือเอกลือชัยเดินทางมาประเทศจีน 4-7 พฤษภาคม เพื่อตรวจร่างสัญญา เมื่อตรวจเรียบร้อยไม่มีการแก้ไข ก็มีการลงนามเลยทันที

“บิ๊กตู่” ห่วง “เนติวิทย์” ทำเสียชื่อสถาบันจุฬาฯ

(5 พ.ค.) ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จ.นครปฐม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่องบทบาทมหาวิทยาลัยไทยต่อไทยแลนด์ 4.0 ถึงกรณีที่นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตคณะรัฐศาสตร์ ได้รับเลือกเป็นประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประกาศจะเปลี่ยนแปลงวิธีการถวายการเคารพพระบรมรูปทรงม้า บริเวณลานพระราชวังดุสิต เนื่องในวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม ว่าตนนึกเสียดายและเป็นห่วง เพราะเสียชื่อสถาบัน เมื่อตนไปต่างประเทศถ้าเขาบอกว่าไม่อยากอยู่ประเทศของเขา เขาจะให้ไปอยู่ที่อื่น ดังนั้นจึงต้องเคารพกฎหมาย ขอให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธี เสน่ห์ของเราต้องช่วยกันรักษา อยากไปข้างหน้าแล้วทิ้งข้างหลัง สถานที่เที่ยวในประเทศไทยสร้างในสมัยก่อนทั้งนั้น ประวัติศาสตร์ที่ดีเป็นความภาคภูมิใจ ขอให้เก็บเอาไว้ อันไหนไม่ดีก็ขอให้อย่าทำอีก

นายกฯ ยังกล่าวถึงกรณีจัดซื้อเรือดำน้ำอีกว่า เป็นเรื่องของหน่วยราชการเขาคิด ก็ไปพิจารณาจัดซื้อ ตนไม่ได้ไปก้าวล่วง เมื่อวานมีการเสนอมาในทีวีหลายช่อง เห็นด้วยประเทศไทยต้องเข้มแข็ง คนไทยทั้งประเทศช่วยกันบริจาคซื้อเรือดำน้ำ ประชาชนเขาก็โอเคนะ

“วันนี้ทรัพยากรมีเท่าไหร่ เหมือนต้องใส่กุญแจมีรหัสไว้ ไม่ใช่พึ่งคนอื่นตลอด ถ้าติดขัดไปทั้งหมด ไม่ใช่แค่เรื่องเรือดำน้ำบ้าบอคอแตก งบหลายแสนล้าน ไม่ได้ใช้หรือ ก็ใช้ในส่วนที่ใช้ของเขา แต่เป็นภาษี ก็ชัดเจนในเรื่องขั้นตอนดำเนินการก็จบ ไม่ใช่ว่าอันนี้จำเป็น อันนี้ไม่จำเป็น ถามว่าถ้าเอาอย่างนี้ไม่ต้องทำอะไรเลย เอาเงินให้ประชาชนหมดอย่างเดียวจบ สบาย จะจำนำข้าว ประกันราคาข้าว ทำได้หมด แล้วมันได้อะไรจริงๆ ไหม ผมรักคนทั้งประเทศ 70 ล้านคน ผมไม่ได้รักใครคนใดคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นผมทำงานเพื่อ 70 ล้านคน” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวถึงการเลือกตั้งว่า “เป็นไปตามโรดแมป เลือกให้ดีนะ ใครไม่ดีก็อย่าไปเลือก ผมเป็นห่วงอย่างเดียวจะเลือกเหมือนเดิม รักผมทุกคน แต่เวลาเลือกไปเลือกเหมือนเดิม ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถ้าเราคิดว่าจะสร้างสังคมที่ดีขึ้น เปลี่ยนแปลงประเทศ ปฎิรูป ต้องเลือกคนใหม่ ไม่จำเป็นต้องเลือกผมหรอก อะไรก็ได้ที่มันไม่ใช่คนที่มีปัญหาอยู่เดิม ไม่ต้องรักผมหรอก รักประเทศของท่าน อย่าเกลียดผมเพราะผมทำเพื่อประเทศ หรือเกลียดผมได้ แต่อย่าเกลียดประเทศของท่าน”

นอกจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า เราต้องช่วยกันสร้างหลักคิดที่ถูกต้องให้แก่คนไทยทุกระดับใช้กฎกติกาให้ถูกต้อง โปร่งใส สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ลดความสนใจเรื่องความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ คิดก่อนแล้วค่อยเชื่อ เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปประเทศ


“เนติวิทย์” เป็นประธานสภานิสิตจุฬาฯ เปลี่ยน “ถวายบังคม ร.5” ให้ยืนเคารพ

(4 พ.ค.) ในโลกโซเชียลได้มีการพูดถึง นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชื่อดัง ได้รับการเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2560 ด้วยคะแนนเสียง 27 เสียง จากองค์ประชุมทั้งหมด 36 คน

ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก Nawakhun Sanasilapin ได้มีการใช้เฟซบุ๊กไลฟ์สัมภาษณ์ นายเนติวิทย์ เจ้าตัวกล่าวว่า ระบบการศึกษาและประเทศไทยควรต้องเดินหน้า เพราะระบบเผด็จการนั้นครอบงำบ้านเมืองอยู่ ตนพร้อมจะเป็นแบบอย่างและโมเดลที่ดี เพื่อให้สภานิสิตจุฬาฯเป็นแบบอย่างให้แก่สภาเยาวชนทั่วประเทศ โดยหลังวันที่ 1 มิ.ย. จะเริ่มปฏิรูปการรับน้อง โดยรุ่นพี่ต้องไม่กดขี่รุ่นน้อง

ส่วนประเพณีถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้า บริเวณลานพระราชวังดุสิต เนื่องในวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันปิยมหาราช 23 ตุลาคมนี้ นายเนติวิทย์ กล่าวว่า “คุณต้องเปิดพื้นที่ให้คนที่ไม่อยากถวายบังคมแบบหมอบคลาน เปิดพื้นที่ให้เขายืนเคารพก็ได้ บางคณะยังบังคับกันอยู่ เราจะลงไปดูแล” นอกจากนี้ จะลงพื้นที่รับฟังทุกเสียงในจุฬาฯ อาทิ ทั้งนักศึกษา อาจารย์ ผู้บริหาร ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นกับตนอย่างไร

ด้านเฟซบุ๊ก Netiwit Chotiphatphaisal ได้มีผู้เข้ามาแสดงความยินดีกับนายเนติวิทย์จำนวนมาก

สำหรับ นายเนติวิทย์ อดีตเลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกจับตามองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ล่าสุด เคลื่อนไหวคัดค้านการเกณฑ์ทหาร โดยชูป้าย “การรักชาติควรทำได้หลายทาง การบังคับเกณฑ์ทหารเป็นสิ่งล้าสมัยและเกินจำเป็น”


ตร.เผย “บอส กระทิงแดง” ไม่รู้ไปไหน จอดเจ็ตทิ่สิงคโปร์ก่อนเผ่นหนี 27 เม.ย.

(4 พ.ค.) พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ ในฐานะหัวหน้าตำรวจสากลประเทศไทย ที่ขณะนี้ปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยถึงความคืบหน้าการติดตามตัวนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต ว่าจากการตรวจสอบข่าวกับตำรวจสากลประเทศสิงคโปร์ พบว่าเครื่องบินส่วนตัวของนายวรยุทธยังจอดอยู่ที่สิงคโปร์ จึงขอให้ตำรวจสากลประเทศสิงคโปร์ตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะอาจเป็นการจอดเครื่องบินทิ้งไว้แล้วโดยสารเครื่องบินพาณิชย์ไปประเทศอื่น ล่าสุดรับแจ้งว่านายวรยุทธออกจากสิงคโปร์วันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา ยังไม่ทราบจุดหมายว่าเดินทางไปประเทศใด

พล.ต.ต.อภิชาติกล่าวต่อไปว่า ล่าสุดตำรวจสากลอังกฤษแจ้งเมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า ได้รับเอกสารให้ตรวจสอบแหล่งพำนักนายวรยุทธแล้ว คาดว่าจะใช้ตรวจสอบ 1-2 วัน แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไม่รอ โดยจะประสานองค์การตำรวจสากลให้ออกหมายน้ำเงินแทนหมายแดงเพื่อตรวจสอบที่อยู่นายวรยุทธ ซึ่งการออกหมายดังกล่าวก็จะออกที่ศูนย์นวัตกรรรมองค์การตำรวจสากล ตั้งอยู่ประเทศสิงคโปร์ การร้องขอหมายน้ำเงินแทนหมายแดงเพราะต้องการปักหมุดที่อยู่นายวรยุทธที่ชัดเจนเพื่อส่งให้อัยการพิจารณาขอส่งตัวเป็นผู้รายข้ามแดนกับประเทศที่นายวรยุทธไปพำนัก สำหรับหมายน้ำเงิน หรือหมายฟ้า เป็นหมายที่แจ้งให้ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐในประเทศสมาชิกรวบรวมข้อมูลการเคลื่อนไหว, ถิ่นพำนัก, บุคลิกลักษณะของบุคคลที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า กองการต่างประเทศ จะต้องประสานตำรวจสากลเพื่อยืนยันถิ่นพำนักของนายวรยุทธ

หลังจากล่าสุดสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเปิดเผยว่า นายวรยุทธเดินทางออกจากประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา ก่อนจะดำเนินการประสานงานขอตัวผู้ร้ายข้ามแดน ไปยังประเทศนั้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งประเทศไทยมีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกับ 16 ประเทศ ดังนี้

1.สหรัฐอเมริกา 2.สหราชอาณาจักรและไอแลนด์เหนือ 3.แคนาดา 4.เบลเยี่ยม 5.จีน 6.เกาหลีใต้ 7.อินโดนีเซีย 8.ออสเตรเลีย 9.ฟิลิปปินส์ 10.กัมพูชา 11.ฮ่องกง 12.ลาว 13.บังคลาเทศ 14.ฟิจิ15.มาเลเซียและ16.อินเดีย

วันที่ 5 พ.ค. น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า หลังจากกระทรวงการต่างประเทศได้รับหนังสือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแจ้งขอให้เพิกถอนหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง "กระทิงแดง" ผู้ต้องหาตามหมายจับ ข้อหาขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล

ล่าสุด กรมการกงสุลได้เพิกถอนหนังสือเดินทางของนายวรยุทธแล้ว ซึ่งเป็นการพิจารณาตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 และเป็นการดำเนินการเช่นเดียวกับกรณีของคดีอาญาทั่วไป โดยหลังจากนี้ ทางกระทรวงฯ จะบันทึกเข้าในระบบว่า หนังสือเดินทางของนายวรยุทธถูกยกเลิก ทำให้ไม่สามารถใช้ในการเดินทางเข้าประเทศอื่นๆ ได้ แต่ถ้านายวรยุทธอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งแล้ว ก็จะกลายเป็นบุคคลเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งจะถูกดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าเมืองของประเทศนั้นๆ.


มัลลิกา จี้นายกฯและคมนาคม แก้กฎหมายรับอูเบอร์เป็นแท็กซี่

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ในฐานะประธานมูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน www.mallikafoundation.com ทวิต ว่า ให้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีคมนาคม และกรมการขนส่งใช้วาระเร่งด่วนแก้ปัญหาการบริหารรถโดยสารแท็กซี่ จากเหตุล่าสุดมีกลุ่มรถแท็กซี่ก่อเหตุล้อมข่มขู่รถบ้านที่สงสัยเป็นรถบริการแบบใช้แอพลิเคชั่นโทรเรียกรถบ้านมาบริการ อย่ารอให้เกิดเหตุฆ่ากันตายก่อนเพราะเรื่องนี้ง่ายนิดเดียวคือแก้กฎหมาย

นางมัลลิกา ชี้ว่าควรจะให้ประชาชนมีทางเลือกด้วยการเพิ่มการบริการแบบอูเบอร์ #Uber รัฐมนตรีต้องเลือกว่าจะให้ประชาชนสะดวกหรือจะให้แท็กซี่และบริษัทสะดวก เลือกมาจะทำงานเพื่อใคร และกรมการขนส่งทางบก ติดขัดอะไรเมื่อรู้ปัญหาแล้วทำไมจึงนิ่งเฉยแล้วไม่รีบเร่งปัดฝุ่นกฎหมายเก่าแก่นั้นโดยเร็ว

“ท่านรัฐมนตรีคมนาคมทำงานกระทรวงนี้มา3ปีไม่รู้หรือว่ากรมการขนส่งติดขัดอะไร อะไรติดกรมการขนส่ง และทนได้หรือที่อันธพาลครองเมืองล้อมข่มขู่ใครต่อใครโดยการอ้างกฎหมายของกรมการขนส่งประเทศนี้ต้องไทยแลนด์4.0ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ตามบัญชาของกระบวนการอื่น ประชาชนเดือดร้อนจากการโบกแท็กซี่จากการเรียกใช้บริการแท็กซี่ท่านเคยแก้ได้ไหม ขณะที่สิ่งทดแทนได้คือเทคโนโลยี ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปจะให้คนไปเสี่ยงยืนโบกแท็กซี่ 10คันแล้วไม่ไป ทั้งอันตราย ฝนตก ซอยมืด จะไม่ช่วยประชาชนหน่อยหรือ”นางมัลลิการะบุ

นางมัลลิกา ยืนยันว่าการทำงานนโยบายคือการนำวิชั่นไปบริหารนโยบายไม่ใช่รอความคิดจากผอ.กอง หรือ อธิบดีกรม ไม่เช่นนั้นเขาจะให้มีรัฐมนตรีไปทำไม และก็ไม่แปลกใจทำไมนายกฯถึงเหนื่อยก็เพราะใช้รัฐมนตรีที่มาจากซุปเปอร์ปลัด จึงอย่าบ่นที่ 3 ปีได้เท่านี้ ดังนั้นโปรดแก้ปัญหาแท็กซี่ความเดือดร้อนของประชาชนทำให้เป็นวาระเร่งด่วนเหมือนซื้อเรือดำน้ำได้ไหม โดยนางมัลลิกาใช้แฮชแทก #ด่วนก็ทำเป็นนี่

#แก้กฎหมายง่ายนิดเดียว #uber

วีระ สมความคิดโวยอัยการใช้เวลา 2 ชั่วโมง สั่งฟ้องผิด พ.ร.บ.ชุมนุมนำตัวไปศาลทันที

วันนี้ (5 พ.ค.) เมื่อเวลา 16.12 น. เฟซบุ๊ก "วีระ สมความคิด" ของนายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน และเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น (คปต.) ได้โพสต์ภาพคำฟ้องของศาลแขวงดุสิต ฐานความผิดร่วมกันจัดการชุมนุมสาธารณะในสถานที่ห้ามจัดการชุมนุมซึ่งอยู่ในรัศมีหนึ่งร้อยห้าสิบเมตรจากพระราชวัง วังของพระรัชทายาทหรือของพระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป พระตำหนักหรือจากที่ซึ่งพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท พระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป ประทับหรือพำนักโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โดยระบุข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 เวลากลางวัน จำเลยและพันโทหญิงกมลพรรณ ชีวพันธุ์ศรี ร่วมกันจัดการชุมนุม

ทั้งนี้ นายวีระได้โพสต์ภาพคำฟ้อง พร้อมข้อความระบุว่า "พนักงานอัยการใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง แล้วมีความเห็นสั่งฟ้องผมทันที ขณะนี้ผมถูกนำตัวส่งมายังศาลแขวงดุสิต เพื่อรอฟังผลจากศาลว่าต้องประกันตัวหรือไม่?" อย่างไรก็ตาม หลังทราบเรื่องดังกล่าว ผู้สื่อข่าว MGR Online พยายามติดต่อนายวีระทางโทรศัพท์เพื่อสอบถามรายละเอียด แต่ไม่มีผู้รับสาย

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 เม.ย. นายวีระพร้อมทีมทนายความเดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.บุนชัยฤทธิ์ สิทธิทองจันทร์ รอง ผกก.สส.สน.ดุสิต เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันจัดการชุมนุมสาธารณะในสถานที่ห้ามจัดการชุมนุมซึ่งอยู่ในรัศมี 150 เมตรจากพระราชวัง หลังจากมีผู้พบเห็น นายวีระ เดินทางไปปรากฏกายอยู่ใกล้ๆ ที่ชุมนุมเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) บริเวณฝั่งตรงข้ามอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งนายวีระปฏิเสธไปแล้วว่า แค่เดินทางไปพบเพื่อนตามนัดหมายภายในลานจอดรถของสวนสัตว์ดุสิตเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมแต่อย่างใด