ข่าว
ปูตินขอโทษอิสราเอล ประเด็นที่อ้างว่าฮิตเลอร์มีสายเลือดยิว

6 พฤษภาคม 2565 : ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ติดต่อไปยังนายกรัฐมนตรี นาฟตาลี เบนเน็ตต์ ของอิสราเอล เพื่อกล่าวขอโทษในกรณีที่ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย เปิดประเด็นอื้อฉาวว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ มีเชื้อสายยิว

เอเอฟพีรายงานจากประเทศอิสราเอล เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 กล่าวว่าประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวขอโทษนายกรัฐมนตรี นาฟตาลี เบนเน็ตต์ ของอิสราเอล ในกรณีที่ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย เคยกล่าวอ้างก่อนหน้านี้จนเป็นประเด็นใหญ่โตระหว่างประเทศว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อาจมี “สายเลือดยิว” และความคิดเห็นดังกล่าวสร้างความไม่พอใจในหมู่ชาวยิวและอิสราเอล

เซอร์เก ลาฟรอฟ เคยให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งของอิตาลีเกี่ยวกับเหตุผลที่แท้จริงที่รัสเซียบุกยูเครน มีการพูดถึงประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนว่ามีเชื้อสายยิว และลาฟรอฟ ก็หลุดปากพูดออกมาว่า ฮิตเลอร์ก็มีสายเลือดยิว

ยาเออร์ ลาปิด รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล ออกมากล่าวถึงความคิดเห็นของลาฟรอฟว่าเป็น “คำกล่าวที่ไม่น่าให้อภัยและน่ารังเกียจ รวมทั้งบิดเบือนทางประวัติศาสตร์อย่างร้ายแรง” และอิสราเอลได้เรียกเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำอิสราเอลมาชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวทันที

เพื่อสยบความขัดแย้งที่อาจบานปลาย ปูตินจึงต่อสายตรงเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจและกล่าวขอโทษต่อนายกรัฐมนตรี เบนเน็ตต์ และเรื่องราวดูเหมือนจะจบลงด้วยดี

“นายกรัฐมนตรีเบนเน็ตต์ ยอมรับคำขอโทษของประธานาธิบดีปูติน สำหรับคำพูดที่ไม่ระมัดระวังของเซอร์เก ลาฟรอฟ และขอบคุณที่ปูตินให้เกียรติชี้แจงทัศนคติของเขาที่มีต่อชาวยิวและความทรงจำเกี่ยวกับหายนะที่เคยเกิดขึ้น” แถลงการณ์จากสำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอล กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี

จีนยุติค้นหา คนติดใต้ซากตึกถล่มในฉางชา ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งเป็น 53 ราย

วันที่ 6 พ.ค. ซีซีทีวี สื่อทางการจีน รายงานความคืบหน้าตึกถล่มในเมืองฉางชา มณฑลหูหนาน ตอนกลางของจีน เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ว่า ทางการประกาศยุติภารกิจการค้นหาผู้รอดชีวิตแล้ว

หลังหน่วยกู้ภัยพบผู้ติดค้างและผู้ติดต่อไม่ได้ทั้งหมดจากจุดเกิดเหตุแล้ว ด้วยยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 53 ราย จาก 26 รายเมื่อวันก่อน ส่วนผู้ได้รับความช่วยเหลือออกมามี 10 คน

ผู้ได้รับความช่วยเหลือคนที่สิบยังมีชีวิตและถูกดึงออกมาจากซากตึกเพียงช่วงหลังเที่ยงคืนวันพฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. หลังถูกฝังในซากตึกเป็นเวลา 6 วัน ตามสื่อทางการรายงานก่อนหน้านี้

นายอู๋ กุ้ยอิง เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์สูงสุดของนครฉางชา นำเจ้าหน้าที่นครฉางชา ขอโทษสำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น และโค้งคำนับในรำลึกถึงผู้เคราะห์ร้าย

สื่อทางการจีนรายงานว่า “เจ้าหน้าที่ขอโทษต่อสังคมอย่างจริงใจ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อทุกครอบครัวของเหยื่อและผู้ได้รับบาดเจ็บ” ขณะที่นายอู๋กล่าวถึง “ความทุกข์สุดขีด” และ “การตำหนิตนเองอย่างหาที่เปรียบมิได้”

นายอู๋ให้คำมั่นว่า “เจ้าหน้าที่จะร่วมกับหน่วยงานระดับสูงกว่าเพื่อสอบสวนสาเหตุอุบัติเหตุอย่างละเอียดถี่ถ้วน … และให้คำอธิบายอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งหมด”

ทางการนครฉางชาระบุว่า เจ้าของตึกและชุดทีมผู้ตรวจสอบความปลอดภัยทั้งหมด 11 คน ถูกจับกุมเนื่องจากความเกี่ยวข้องกับตึกถล่ม ในจำนวนมี 2 คน ต้องสงสัยเกี่ยวข้องในการดัดแปลงตึกอย่างผิดกฎหมาย”

เจ้าหน้าที่กล่าวหาว่านักสำรวจปลอมการตรวจสอบความปลอดภัยของตึก สื่อทางการระบุว่า อาคารนี้เป็นที่อยู่อาศัยที่สร้างขึ้นเอง หมายถึงสร้างโดยบุคคลหรือบริษัทที่ไม่มีเงินทุนจากรัฐ

ข่าวแจ้งว่าเมื่อวันที่ 5 พ.ค. บีบีซี รายงานความคืบหน้าตึก 6 ชั้น ถล่มในนคร ฉางชา ตอนกลางของจีน เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ว่า หน่วยกู้ภัยนำผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตออกมาจากซากตึกในช่วงเช้ามืดวันที่ 5 พ.ค. หลังใช้เวลา 132 ชั่วโมง ติดค้างในซากตึก ส่วนผู้หญิงอีกคนวัย 21 ปี ได้รับการช่วยเหลือออกมาหลังผ่านไป 88 ชั่วโมง พร้อมเผยวิธีเอาตัวรอดด้วยการปันส่วนน้ำดื่มและทำให้ร่างกายอบอุ่น ผู้หญิงคนนี้อยู่บนเตียง นอนตอนที่ด้านหลังตึกถล่มลงมา

โกลเบิล ไทม์ สื่อทางการจีน รายงานว่า ผู้หญิงวัย 21 ปีคนนี้พลัดตกลงมา 4 ชั้น แต่โชคดีที่กำแพงไม่ได้ทับเธอ แต่ก่อตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมที่คว่ำเหนือศีรษะของเธอ และอาศัยน้ำครึ่งหม้อประทังชีวิต ด้วยการ ดื่มครั้งละ 1 จิบ (น้ำยังเหลือนิดหน่อยแม้แต่ตอนที่เธอได้รับความช่วยเหลือแล้ว) และห่มผ้าเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น ส่วนมือถือของผู้หญิงคนดังกล่าวไม่มีสัญญาณหลังตึกถล่ม แต่ใช้ติดตามวันที่และเวลา และยังระมัดระวังไม่ให้แบตเตอรี่หมดเป็นเวลานานถึงวันที่หน่วยกู้ภัยพบตัว

ผู้หญิงวัย 21 ปีคนนี้ใช้วัตถุแข็งเคาะบนกำแพงที่อยู่ข้างๆ ส่งสัญญาณเพื่อขอความช่วยเหลือ “ฉันไม่ได้เคาะตอนได้ยินเสียงด้านนอก แต่ฉันเคาะไม่หยุดเมื่อรู้สึกว่าหน่วยกู้ภัยเข้ามาใกล้หรือด้านนอกเงียบ และฉันได้ตอบรับไปในเวลานาน” (หน่วยกู้ภัยในฉางชาใช้วิธีเดิมๆ ตรวจจับสัญญาณชีพ เช่น ตะโกน เคาะ และให้สุนัขดมกลิ่น รวมถึงใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โดรน)

เรื่องราวของสาวน้อยแห่งฉางชากลายเป็นแรงบันดาลใจทั่วไป จีนประเทศที่ตึกถล่มกลายเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนสุดๆ ในสื่อสังคมออนไลน์ของจีน อุบัติเหตุดังกล่าวมีรายงานว่าผู้รอดตาย 10 คน แต่ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มจาก 5 ราย เป็น 26 ราย หลังหน่วยกู้ภัยพบศพเพิ่มขึ้น

ขณะที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สั่งให้ความพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่และการสอบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน มีผู้ถูกจับกุมอย่างน้อย 9 คน ในจำนวนนี้ 4 คน ถูกตั้งข้อหาเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุจากความบกพร่องร้ายแรง ส่วน 5 คนที่เหลือถูกกล่าวหาให้เอกสารเท็จ

ทั้งนี้ มาตรฐานความปลอดภัยและการก่อสร้างหละหลวม ตลอดจนทุจริตในหมู่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ส่งผลให้อาคารจำนวนไม่น้อยในจีนถล่ม


'สหรัฐฯ' วอนประชาชนสวมหน้ากาก บนขนส่งสาธารณะต่อไป

6 พ.ค.65 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) เรียกร้องชาวอเมริกันสวมหน้ากากอนามัยบนเครื่องบิน รถไฟ รถโดยสารประจำทาง และระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ ต่อไป แม้ศาลประกาศตัดสินยกเลิกคำสั่งสวมหน้ากากอนามัยบนระบบขนส่งสาธารณะทั่วประเทศ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

“ศูนย์ฯ ยังคงแนะนำให้ทั้งผู้โดยสารและพนักงาน สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากป้องกันฝุ่นละอองที่เหมาะสมบนระบบขนส่งสาธารณะในร่มและศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง เพื่อปกป้องตนเองและนักเดินทางคนอื่นๆ ในสภาพแวดล้อมที่มีฝูงชนแออัด” โรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์ฯ กล่าวในแถลงการณ์ “ขณะนี้สหรัฐฯ มีสารพัดเครื่องมือจำเป็นในการป้องกันผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ซึ่งรวมถึงหน้ากากอนามัยและหน้ากากป้องกันฝุ่นละอองคุณภาพสูงสำหรับประชาชนทุกคนที่ต้องการ”

ศูนย์ฯ แนะนำให้ผู้มีอายุ 2 ปีขึ้นไป รวมทั้งผู้โดยสารและพนักงาน สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากป้องกันฝุ่นละอองกระชับใบหน้าที่ปกปิดจมูกและปากบนระบบขนส่งสาธารณะในร่ม อาทิ เครื่องบิน และรถไฟ และในศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง อาทิ ท่าอากาศยานและสถานีโดยสาร

คำแนะนำดังกล่าวเป็นไปตามข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสฯ สายพันธุ์ต่างๆ และผลกระทบของมันต่อความรุนแรงของโรคและประสิทธิภาพของวัคซีน แนวโน้มการแพร่ระบาดระดับชุมชนในประเทศ และการคาดการณ์แนวโน้มของโรคโควิด-19 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

“เราจำเป็นต้องปกป้องทั้งตนเองและคำนึงถึงผู้อื่นที่อาจเผชิญความเสี่ยงต่ออาการป่วยรุนแรง และผู้ที่ยังไม่สามารถเข้ารับวัคซีนได้” วาเลนสกีย้ำ

ทั้งนี้ สำนักบริหารความมั่นคงทางคมนาคมของสหรัฐฯ (TSA) กำหนดข้อบังคับให้ผู้โดยสารและพนักงานสวมหน้ากากอนามัยเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ขณะศูนย์ฯ ได้ขยายระยะเวลาใช้ข้อบังคับหน้ากากอนามัยต่อมาจนถึงวันที่ 3 พ.ค. ทว่าผู้พิพากษาเขตของรัฐบาลกลางในรัฐฟลอริดาได้ประกาศยกเลิกข้อบังคับดังกล่าวเมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา

ที่มา xinhuathai


'อนามัยโลก' ย้ำวัคซีนยังสามารถป้องกันโควิด-19 กลายพันธุ์ใหม่ๆ

วันศุกร์ ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวย้ำว่าวัคซีนยังคงมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) แม้กระทั่งเชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อุบัติขึ้นในแอฟริกาใต้และสหรัฐฯ

ข้อมูลจากองค์การฯ ชี้ว่าจำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ทั่วโลกลดลงต่อเนื่อง ขณะจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตรายสัปดาห์ลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่มีนาคม 2020 แต่ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การฯ เตือนว่าแนวโน้มเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนภาพรวมทั้งหมด

“จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 กำลังเพิ่มขึ้นในอเมริกาและแอฟริกา เพราะการระบาดของเชื้อไวรัสฯ สายพันธุ์โอไมครอน สายพันธุ์ย่อยใหม่ๆ โดยขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ของแอฟริกาใต้ที่เคยตรวจพบเชื้อไวรัสฯ สายพันธุ์โอไมครอน เมื่อปลายปีก่อน ได้ตรวจพบสายพันธุ์โอไมครอน สายพันธุ์ย่อยอีก 2 สายพันธุ์ ได้แก่ บีเอ.4 (BA.4) และบีเอ.5 (BA.5) ซึ่งส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยในแอฟริกาใต้เพิ่มขึ้น” กีบรีเยซุสกล่าว

“ยังเร็วเกินไปที่จะทราบว่าเชื้อไวรัสฯ สายพันธุ์โอไมครอน สายพันธุ์ย่อยใหม่ๆ เหล่านี้ สามารถก่อให้เกิดอาการป่วยรุนแรงกว่าสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ หรือไม่ แต่ข้อมูลเบื้องต้นบ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีนยังคงสามารถป้องกันอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตได้”

ด้านมาเรีย แวน เคอร์โคฟ เจ้าหน้าที่โครงการเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพขององค์การฯ พบว่าสายพันธุ์ย่อยบีเอ.4 และบีเอ.5 ถูกตรวจพบในหลายประเทศแล้ว โดยองค์การฯ กำลังประเมินความรุนแรงของทั้งสองสายพันธุ์ใหม่นี้

อย่างไรก็ดี เคอร์โคฟ กล่าวว่า ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าสายพันธุ์ย่อยบีเอ.4 และบีเอ.5 ส่งผลให้การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นหรือไม่ เนื่องจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในแอฟริกาใต้อาจมาจากผู้ป่วยสายพันธุ์ทั่วไป พร้อมย้ำว่าวัคซีนยังคงมีประสิทธิภาพป้องกันอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต รวมถึงเรียกร้องทุกประ เทศติดตามและตรวจโรคโควิด-19 ต่อไป

ที่มา xinhuathai


เลื่อนเอเชียนเกมส์ 2022 หลังโควิดระบาดไม่หยุดในจีน

เอเชียนเกมส์ 2022 ที่จะจัดขึ้นที่เมืองหางโจวของจีนในเดือนกันยายน ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดเนื่องจากโควิด-19 ยังระบาดไม่หยุด

เอเอฟพี รายงานสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในจีน เมื่อวันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 กล่าวว่า เอเชียนเกมส์ 2022 ที่เมืองหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-25 กันยายน 2565 จำเป็นจะต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะประเทศเจ้าภาพยังคงหัวหมุนกับการจัดการสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จนทุกอย่างล่าช้าออกไป ไม่ทันตามกำหนด โดยหางโจวอยู่ห่างจากเซี่ยงไฮ้ที่ถูกล็อกดาวน์นานหลายสัปดาห์และเป็นศูนย์กลางการระบาดในปัจจุบัน ไม่ถึง 200 กิโลเมตร

สภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (โอซีเอ) กล่าวในแถลงการณ์ว่า การตัดสินใจเลื่อนการแข่งขัน เกิดขึ้นจากการที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ได้พิจารณาสถานการณ์การระบาดใหญ่และโปรแกรมการแข่งขันอย่างถี่ถ้วนรอบคอบแล้ว ส่วนวันแข่งขันใหม่จะประกาศในเร็วๆ นี้ รวมถึงเอเชียนยูธเกมส์ ซึ่งมีกำหนดจะจัดขึ้นในเดือนธันวาคม ที่เมืองซัวเถา ก็จะถูกเลื่อนออกไปเช่นกัน

การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลก ซึ่งมีกำหนดแข่งขันในเดือนมิถุนายนที่เมืองเฉิงตู และเลื่อนออกไปแล้วหนึ่งครั้งเมื่อปีที่แล้ว ก็ถูกเลื่อนออกไปอีกครั้งจนถึงปี 2566 อ้างอิงคำแถลงของสหพันธ์กีฬามหาวิทยาลัยนานาชาติ (เอฟไอเอสยู) และเช่นเดียวกันกับเอเชียนเกมส์ กำหนดวันแข่งขันใหม่จะถูกพิจารณาและประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ผู้รับผิดชอบในการจัดมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า เมืองหางโจว ทางภาคตะวันออกของจีน ซึ่งมีประชากร 12 ล้านคน ได้สร้างสถานที่จัดการแข่งขันกว่า 56 แห่งสำหรับเอเชียนเกมส์และเอเชียนพาราเกมส์ เสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งวางแผนที่จะจัดงานภายใต้แผนการควบคุมโควิดแบบบับเบิล เหมือนที่ประสบความสำเร็จในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่ง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

แต่ด้วยทิศทางของสถานการณ์การระบาดของโควิดในจีน ยังคงมีความไม่แน่นอน เห็นได้จากสภาพการใช้ชีวิตของประชาชนจีนในปัจจุบัน สภาโอลิมปิกแห่งเอเชียจึงจำเป็นต้องพิจารณาเลื่อนการแข่งขันออกไปก่อน

จีนยังคงยึดมั่นในนโยบายปลอดโควิด โดยกำหนดให้มีการล็อกดาวน์พื้นที่, ระดมตรวจหาเชื้อเพื่อคัดกรองและแยกกักตัวผู้ติดเชื้อ รวมถึงการจำกัดการเดินทางและการเคลื่อนที่ของผู้คนอย่างเข้มงวด ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ทยอยกลับมาเปิดประเทศแล้วอีกครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดที่มีทิศทางดีขึ้น

ส.ส.ยูเครนอ้าง กองทัพยิงมิสไซล์ถล่มเรือรบรุ่นใหม่รัสเซียในทะเลดำ

ส.ส.ยูเครนอ้าง กองทัพยิงมิสไซล์โจมตีถูกเรือรบรัสเซียในทะเลดำได้อีกลำเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยเป็นเรือฟริเกตรุ่นใหม่ แต่ยังไม่ยืนยันว่าเรือจมหรือไม่

6 พ.ค. 2565 :เว็บไซต์ข่าว เดลีเมล รายงานว่า ยูเครนอาจโจมตีเรือรบของรัสเซียในทะเลดำได้อีกลำแล้ว หลังจากนายโอเลกซีย์ กอนชาเรนโก ประธานสภาเมืองโอเดสซา ทางตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งฐานทัพเรือขนาดใหญ่ที่สุดของยูเครน ระบุผ่านเทเลแกรมเมื่อวันศุกร์ที่ 6 พ.ค. 2565 ว่า เรือฟริเกตรุ่นใหม่ของรัสเซียกำลังประสบปัญหาใหญ่เมื่อคืนที่ผ่านมา

นายกอนชาเรนโกระบุว่า เรือลำดังกล่าวคือชื่อ แอดไมรัล มาคารอฟ เป็นเรือฟริเกตมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เพิ่งประจำการได้เพียง 5 ปี “เรือฟริเกต แอดไมรัล มาคารอฟ เริ่มสร้างที่อู่ต่อเรือยันตาร์ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เปิดตัวในเดือนกันยายน 2558 และในปี 2565 เรือลำนี้ก็ถูกโจมตีโดย ‘เทพเจ้าแห่งท้องทะเล’ ระหว่างเข้าร่วมการเข่นฆ่าชาวยูเครน” ซึ่งคำว่า เทพเจ้าแห่งท้องทะเลอาจหมายถึง เนปจูน ที่ถูกใช้เป็นชื่อขีปนาวุธต่อต้านเรือรบของยูเครน

ต่อมาเขาก็โพสต์เนื้อหาจากข่าวท้องถิ่นซึ่งรายงานว่า เรือลำนี้ถูกมิสไซล์ของยูเครนยิงขณะลอยลำใกล้เกาะงู ซึ่งเป็นจุดแรกๆ ที่ถูกรัสเซียโจมตีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และมีรายงานที่ไม่ได้รับการยืนยันด้วยว่า เรือกู้ภัยและเครื่องบินหลายลำถูกส่งออกจากเมืองเซวาสโตโปล ท่าเรือใหญ่สุดของรัสเซียในทะเลดำ ไปยังจุดเกิดเหตุ ขณะที่ข้อมูลการติดตามการบินชี้ว่า มีโดรนอเมริกันบินวนบริเวณดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ หากมีการยืนยันว่าเรือ แอดไมรัล มาคารอฟ ถูกโจมตีจริง นี่จะเป็นความเสียหายใหญ่ครั้งที่ 2 ต่อกองเรือทะเลดำของรัสเซีย หลังจากเมืองเดือนก่อน ‘มอสควา’ เรือธงของพวกเขาเพิ่งถูกยูเครนยิงโจมตีจนอับปาง

สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานในวันพฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. 2565 อ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวหลายคนว่า เมื่อเดือนเมษายน กองทัพของยูเครนตรวจพบเรือรบของรัสเซียในทะเลดำ ก่อนจะติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ประสานงานชาวอเมริกัน เพื่อยืนยันว่าเรือดังกล่าวคือ มอสควา เรือธงในกองเรือทะเลดำของรัสเซียหรือไม่ ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ ยืนยันว่าใช่และให้ข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้ง

อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่า ฝ่ายสหรัฐฯ รู้หรือไม่ว่ายูเครนจะยิงขีปนาวุธ 2 ลูกโจมตีเรือลำดังกล่าวเมื่อ 14 เม.ย.จนเรืออับปาง และไม่แน่ชัดด้วยว่า สหรัฐฯ มีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจที่ว่าหรือไม่

ทั้งนี้ หลายเดือนที่ผ่านมา สหรัฐฯ ให้ข้อมูลแก่กองทัพยูเครน เรื่องความเคลื่อนไหวของกองทัพรัสเซียภายในยูเครน ซึ่งรวมถึง ข้อมูลดักฟัง มาตลอด นอกจากนั้นยังแจ้งเรื่องภัยคุกคามจากเรือรบรัสเซียในทะเลดำ แต่ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายการโจมตีในแผ่นดินรัสเซีย สหรัฐฯ ยังยืนยันว่าไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่ของผู้นำกองทัพรัสเซียในยูเครนด้วย

“เราไม่ให้ข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับตำแหน่งของผู้นำทหารอาวุโสในสนามรบ หรือมีส่วนร่วมในการตัดสินใจกำหนดเป้าหมายของกองทัพยูเครน” นายจอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ บอกกับผู้สื่อข่าวในวันพฤหัสบดี หลังมีข่าวว่าสหรัฐฯ ช่วยยูเครนระบุตำแหน่งผู้นำกองทัพรัสเซีย “ยูเครนรวบรวมข้อมูลที่เราและพันธมิตรหาให้ร่วมกับข้อมูลข่าวกรองที่พวกเขาเก็บรวบรวมเองจากสนามรบ จากนั้นจึงทำการตัดสินใจ และลงมือด้วยตัวเอง”