ญี่ปุ่นปล่อยแล้ว ตัวรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา โดยไม่มีการดำเนินคดี หลังสถานกงสุลใหญ่ นครโอซากา ส่ง จนท.ไปเจรจากับเจ้าของโรงแรมผู้เสียหาย ยอมถอนคดี...
จากกรณีอื้อฉาว ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของไทย นายสุภัฒ สงวนดีกุล รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่นจับกุมตัวในคดีลักทรัพย์ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองเกียวโต ถูกควบคุมเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น และล่าสุดได้มีเจ้าหน้าที่ไทย จากสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา ได้รับอนุญาตให้เข้าพบนายสุภัฒ เป็นครั้งแรกภายหลังถูกจับกุม
ความคืบหน้าเรื่องนี้ วันที่ 27 ม.ค. มีรายงาน แจ้งมาจากกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าตามที่ได้ปรากฏข่าวในสื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นว่า ทางการญี่ปุ่นได้จับกุมคนไทยที่เป็นข้าราชการระดับสูง เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2560 นั้น(กต.รับเหตุรองอธิบดีฉกรูปในโรงแรมญี่ปุ่น กระทบภาพลักษณ์ไทย)
กระทรวงการต่างประเทศขอเรียนว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 มกราคม 2560 เจ้าหน้าที่ฝ่ายกงสุลของสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา ได้พบกับข้าราชการคนดังกล่าวแล้ว
ในส่วนของคดี ขณะนี้ศาลยังไม่ได้ประทับรับฟ้อง เพียงแต่มีคำสั่งกักตัวตามความเห็นอัยการเป็นเวลา 10 วัน โดยในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลใหญ่จะไปเจรจากับโรงแรม ซึ่งหากตกลงกันได้ อัยการก็จะขอถอนคดีและปล่อยตัวต่อไป
ทั้งนี้ บรรยากาศการหารือเป็นไปด้วยดี และคาดว่าเรื่องนี้จะยุติได้โดยเร็ว
ล่าสุดมีรายงานว่า ช่วงเย็นวันที่ 27 ม.ค. ภายหลังเจ้าหน้าที่สถานกงสุลฯ เดินทางไปเจรจากับทางเจ้าของโรงแรมที่เกิดเหตุที่เป็นผู้เสียหายโดยยอมชดใช้ค่าเสียหาย จึงยอมยุติเรื่อง ไม่ดำเนินคดี ทางอัยการญี่ปุ่นจึงได้ถอนคดี และปล่อยตัวผู้ต้องหาออกมาแล้ว.
แถลงข่าวเรื่องการประกวดผลงานศิลปะประจำปีเสร็จสรรพ ในฐานะศิลปินคนดัง ศิลปินศิลปาธร อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จึงถูกนักข่าวมะรุมมะตุ้ม ถามโน่นนี้ เรื่องผลงาน เรื่องศิลปะอยู่พักใหญ่ พอเจอคำถามขอความเห็นเรื่อง "รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาไปขโมยภาพจากโรงแรมของญี่ปุ่น" เท่านั้นละ เสียงที่ดังอยู่แล้วดังขึ้นอีก แบบของขึ้น ฟังกันชัดว่าอาจารย์คนดังตอบว่าอะไร
"กูอาย กูเป็นศิลปิน กูเป็นคนไทย กูอาย ภาพดีๆ ในบ้านเมืองเราก็มีเยอะแยะไม่ขโมย และถ้าจะขโมยเลือกให้มันดีหน่อย ไปขโมยทำไมภาพห่วยๆ ไปขโมยที่วัดร่องขุ่นของกูซิ ภาพสวยๆ ดีเพียบ...กูอายจริงๆ นะ เข้าใจมั๊ย"
อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 3 นำพยานเบิกความ คดียื่นขอยึดทรัพย์ "เณรคำ" กว่า 40 ล้านบาท ทนายเผย เจ้าตัวยังสู้คดีขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน อยู่ที่อเมริกา...
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 25 ม.ค.60 ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 803 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานผู้ร้องในคดี 61/2556 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 3 ยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินของนายวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก กับพวกซึ่งเป็นผู้คัดค้านรวม 8 คน ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินโดยในวันนี้พนักงานอัยการผู้ร้องนำพยานเข้าสืบจำนวน 3 ปาก ประกอบด้วยพนักงานสอบสวนดีเอสไอ, พระที่เชี่ยวชาญในการสร้างพระพุทธรูป และประธานบริษัทดอกบัวคู่
ภายหลังสืบพยานในช่วงเช้า พ.ต.ท.รวมชัย มานะ อัยการประจำสำนักงานคดีพิเศษ 3 กล่าวว่า ในคดีนี้ทางพนักงานอัยการผู้ร้องขอนำพยานเข้าเบิกความจำนวน 30 กว่าปาก ขณะนี้เบิกความไปแล้วหลายปาก คงเหลือพยานผู้ร้องที่ต้องเบิกความจำนวน 3-4 ปาก หลังจากนั้นจะเป็นฝ่ายผู้คัดค้าน ซึ่งเตรียมพยานไว้กว่า 20 ปาก จะขึ้นเบิกความต่อ ก่อนที่ศาลจะนัดฟังคำพิพากษาต่อไป ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ เนื่องจากขณะนี้คดีเพิ่งอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์
"คดีนี้ทางพนักงานอัยการได้ร้องขอให้ยึดทรัพย์ที่เกิดจากการกระทำผิดหลายรายการ รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท" พ.ต.ท.รวมชัย กล่าว
ด้านนายกิตติ อธินันท์ ทนายผู้คัดค้านที่ 8 เปิดเผยว่า คดีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากหลวงปู่เณรคำถูกตั้งข้อกล่าวหาฉ้อโกงประชาชน ฟอกเงิน และพรากผู้เยาว์ ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งดำเนินคดี ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับกฎหมายการฟอกเงิน คณะกรรมการปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ส่งอัยการร้องขอต่อศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ประกอบด้วยที่ดิน บ้าน บัญชีเงินฝาก และรถยนต์ หลายสิบล้านบาท ที่ ปปง.อ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด ซึ่งขณะนี้ฝ่ายอัยการผู้ร้องเหลือการสืบพยานอีก 4 ปาก จากนั้นจะเป็นการสืบพยานฝ่ายผู้คัดค้านอีกหลายสิบปาก โดยเป็นการสืบพยานต่อเนื่องถึงวันศุกร์ที่ 27 มกราคม นี้
นายกิตติ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ตัวหลวงปู่เณรคำยังสู้คดีที่พนักงานอัยการต่างประเทศของประเทศไทยร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนจะต้องสู้คดีอีกนานแค่ไหนนั้นยังไม่สามารถกำหนดได้ เพราะต้องรอศาลชั้นต้นที่สหรัฐอเมริกามีคำสั่งลงมาก่อน แต่ตัวหลวงปู่เณรคำก็ยังสามารถใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งได้อีก.
อยุธยา พี่จัดงานศพให้น้องคิดว่าตายแล้ว สวดศพไป 1 คืน จู่ๆ ตัวจริงโผล่ ยืนยันยังมีชีวิตอยู่ที่นครสวรรค์ ที่แท้ เข้าใจผิดนึกว่า ศพคนประสบอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิตเป็นน้องชายตัวเอง แถมมีบัตรประชาชนของน้องชายตกใกล้ที่เกิดเหตุ เล่นเอาวุ่น!
เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่วัดประดู่ทรงธรรม ม.4 ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มีการจัดงานศพให้กับผู้เสียชีวิต ปรากฏว่า ผู้ที่ถูกระบุว่าเสียชีวิตกลับโผล่มาและยืนยันว่า มีชีวิตอยู่ ทำให้ทางญาติถึงกับงงไปตามๆ กัน
ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง พบว่า ที่ศาลาธรรมภายในวัดประดู่ทรงธรรม ปิดอยู่ ไม่มีญาติของผู้เสียชีวิตหรือผู้มาร่วมงาน มีเพียงนายประสาน มีสมโรจน์ อายุ 58 ปี บ้านอยู่ 61/1 ม 7 ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา สัปเหร่อของวัด นั่งอยู่ เมื่อเปิดศาลาพบว่า ภายในมีการจัดเครื่องตั้งและหีบศพ ประดับด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม ส่วนผู้เสียชีวิตที่อยู่ภายในโลงเย็นใกล้กันนั้น ระบุว่า เป็นนายกฤษณะ สุขกลิ่น อายุ 44 ปี บ้านอยู่ 125/5 ม 8 ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา
นายประสาน เปิดเผยว่า นายนตรี พันธุ์ชงค์ อายุ 45 ปี บ้านอยู่เลขที่ 47 ม. 3 ต.ข้าวเม่า อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นผู้ติดต่อนำศพของผู้เสียชีวิตมาที่วัด ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ม.ค. โดยระบุในใบมรณบัตรเป็นนายกฤษณะ สุขกลิ่น น้องคนละบิดากัน ซึ่งถูกรถชนเสียชีวิตบริเวณถนนสายอุทัย-หนองน้ำส้ม หน้า หจก.เอสรีไซเคิล อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 24 ม.ค.60 ซึ่งตอนที่นำศพมานั้น มีเอกสารใบมรณบัตรถูกต้อง จึงดำเนินการตามขั้นตอนจนถึงการสวดพระอภิธรรมศพในคืนแรก คือ วันที่ 25 ม.ค. จนกระทั่งเมื่อวันที่ 26 ม.ค. ตอนสายก็ได้รับแจ้งจากนายนตรี ว่า จะไม่สวดศพของนายกฤษณะ แล้ว เนื่องจากนายกฤษณะยังไม่เสียชีวิต ทำให้ตนต้องปิดศาลาเอาไว้ เพื่อรอนายกฤษณะ มายืนยันและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งตั้งแต่ทำหน้าที่สัปเหร่อมา 30 ปี ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ทราบว่า คนที่อยู่ในโลงเย็นเป็นใคร
นายนตรี เปิดเผยว่า ตนรู้สึกดีใจที่น้องชายไม่ได้เสียชีวิต ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุพอทราบข่าวว่าผู้เสียชีวิตเป็นน้องชายก็ตกใจ เนื่องจากมีบัตรประชาชนใกล้ที่เกิดเหตุ จึงไปดูศพและเห็นว่า มีลักษณะคล้ายจึงนำมาบำเพ็ญกุศล โดยไม่ได้ตรวจดูอย่างละเอียด และกำหนดจะฌาปนกิจวันที่ 28 ม.ค. จู่ๆ ญาติที่ จ.นครสวรรค์ ก็โทรศัพท์มาบอกว่า นายกฤษณะน้องชายไปถึงนครสวรรค์แล้ว จึงได้พูดคุยกันและตกใจที่ไปรับศพใครมาก็ไม่ทราบ ซึ่งก็จัดดอกไม้เตรียมงานหมดไปหลายแล้ว แต่ก็ถือว่า ทำศพให้คนตาย จากนั้นจึงไปแจ้งความแล้วมอบให้มูลนิธินำศพกลับไป เพื่อดำเนินการสืบหาญาติ
ต่อมานายนตรี พร้อมด้วยนายกฤษณะ ได้เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.พิเชษฐ์ อินทสูตร พนักงานสอบสวน สภ.อุทัย เพื่อลงบันทึกประจำวันและยืนยันว่า นายกฤษณะ ไม่ได้เสียชีวิต ซึ่งทางตำรวจได้รับเรื่องและตรวจสอบเอกสารพร้อมทั้งรายงานผู้บังคับบัญชา
โดย ร.ต.อ.พิเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่นายกฤษณะ มายืนยันตนเองก็จะต้องประสานกับทางสถาบันนิติเวชโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อรับศพกลับไป และตามหาญาติ ส่วนการที่มีการเข้าใจผิดว่า นายกฤษณะเสียชีวิตนั้น เกิดจากการที่นายกฤษณะ เดินทางไป จ.นครสวรรค์ โดยขึ้นรถไฟ แล้วทำกระเป๋าสตางค์ตกหายเมื่อหลายวันก่อน จากนั้นเกิดเหตุชายไม่ทราบชื่อถูกรถชนเสียชีวิต เบื้องต้นสันนิษฐานว่า เป็นคนเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง และพบบัตรประชาชนของนายกฤษณะในกระท่อมริมถนนใกล้ที่เกิดเหตุ จึงทำให้เข้าใจว่า ผู้เสียชีวิตคือ นายกฤษณะ ซึ่งต่อมาญาติเดินทางไปรับศพก็ยืนยันว่า เป็นนายกฤษณะ จึงได้นำศพกลับมาบำเพ็ญกุศลดังกล่าว
วันที่ 27 ม.ค. บีบีซีรายงานว่า วารสารนักวิทยาศาสตร์ด้านอะตอม (บีพีเอ) เปิดเผยว่าคณะนักวิทยาศาสตร์พิจารณาเลื่อนเข็ม “นาฬิกาวันสิ้นโลก” เร็วขึ้นอีก 30 วินาที จาก 3 นาทีจะถึงเที่ยงคืนที่ปรับในปี 2558 เป็น 2 นาที 30 วินาที เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ขึ้นเป็นผู้นำมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา
เข็มนาฬิกาดังเป็นสัญลักษณ์ความเสี่ยงภัยจากฝีมือมนุษย์ สะท้อนผ่านจังหวะเวลาของการใกล้วันสิ้นโลกมากที่สุดอันดับสอง รองจากจังหวะเดิมที่เหลือเวลา 2 นาทีจะถึงเที่ยงคืน เมื่อปีพ.ศ. 2496 (ค.ศ.1953) ภายหลังสหรัฐอเมริกา และรัสเซีย ทดสอบระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ หรือเอช-บอมบ์
นางเรเชล บรอนสัน ผู้อำนวยการวารสารบีพีเอ กล่าวว่าการเลื่อนนาฬิกาวันสิ้นโลกให้เร็วขึ้นนั้น มีปัจจัยการพิจารณามาจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ซึ่งไม่เห็นความสำคัญของแผนลดภาวะโลกร้อน และสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่กลับสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงาน โดยเฉพาะถ่านหิน
การที่นายทรัมป์ยืนกรานว่าจะเดินหน้าขยายศักยภาพด้านนิวเคลียร์ ยิ่งทำให้โลกตกอยู่ในความเสี่ยงจากการได้รับสารกัมมันตรังสี หากการทดลองมีความผิดพลาด
นอกจากนี้ วารสารบีพีเอยังเรียกร้องให้ผู้นำชาติมหาอำนาจ และผู้นำทั่วโลก หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความขัดแย้งที่อาจก่อให้เกิดสงคราม เพราะอาวุธร้ายแรง อย่างระเบิด และระเบิดนิวเคลียร์ เป็นผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับวารสารบีพีเอ เริ่มจัดทำนาฬิกาวันสิ้นโลกตั้งแต่ปี 2488 หรือเมื่อ 72 ปีก่อน หลังจากกองทัพสหรัฐทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ ลิตเติลบอย และแฟตแมน โจมตีเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ ของญี่ปุ่น จนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 220,000 ราย
ปัจจุบันคณะนักวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์และสิ่งแวดล้อมจากทั่วโลกจะทำงานร่วมกับคณะกรรมาธิการสนับสนุนซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล 15 คน เพื่อพิจารณาการเลื่อนเข็มนาฬิกาวันสิ้นโลก