หลังจากที่ประกวดรอบพรีลิมของเวที Miss Universe ไปเมื่อวานนี้ (26 ม.ค.) ในเช้าวันนี้ (27 ม.ค.) น้ำตาล ชลิตา ส่วนเสน่ห์ ตัวแทนจากประเทศไทยก็ได้เปิดใจแบบสุดพิเศษเบื้องหลังเวที Miss Universe ถึงกระแสเชียร์จากรอบประกวดพรีลิมเมื่อวานนี้ ผ่าน การสัมภาษณ์รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ถึงความรู้สึกในระหว่างการประกวดและหลังประกวดว่า
เมื่อคืนนี้นอนหลับมั้ย? “หลับค่ะ เมื่อคืนนี้ทำเต็มที่แล้วก็เลยนอนหลับฝันดีค่ะ (ยิ้ม)” พูดถึงการประกวดรอบพรีลิมหน่อย เบื้องหลังเวทีดูค่อนข้างวุ่นวาย? “ใช่ค่ะ ตลอดระยะเวที่มีการประกวดมันจะต้องมีการเปลี่ยนชุด ใส่ชุดโอเพนนิ่งโชว์ แล้วก็ต้องวิ่งกลับไปเปลี่ยนเป็นชุดบิกินี่ และก็เปลี่ยนเป็นชุดราตรี ในระหว่างนั้นก็ต้องมีการเปลี่ยนทรงผม แต่งหน้าเพิ่ม แล้วทุกอย่างกดดันมาก เพราะมันกระชั้นชิด ที่สำคัญคือชุดประจำชาติว่าจะต้องทำอย่างไรให้มันทัน เพราะว่าจะต้องเปลี่ยนผม 3 รอบ และต้องพาชุดไปให้ถึงเดินเร็วก็ไม่ได้ เค้าก็เรียก ไทยแลนด์ ควิก ควิก (หัวเราะ)” ต้องแก้ผมถึง 3 รอบ และชฎาก็ใส่ยาก? “เราต้องกะดีๆ ตรงหน้าผากเวลาที่ใส่มันจะดูสวย”
หลังจากจบรอบพรีลิมรู้สึกอย่างไรบ้าง? “จากที่แฟนคลับได้บอกเข้ามา ดีใจค่ะที่ตัวเองทำออกมาได้ดี ตอนแรกก็คิดอยู่ กังวลมากที่สุดคือตอนพูด ตาลมีปัญหามากที่สุดตอนพูด ไม่รู้ทำไม พอแนะนำตัวชื่อตัวเองพอจะไทยแลนด์มันไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ทุกคนกรี๊ดหมดเลย” ตอนก้าวเท้าออกมาหน้าเวที ตอนนั้นตื่นเต้นแค่ไหน? “ตอนนั้นเหรอค่ะ ต้องแอบเต้นรีแลกซ์ที่หลังเวที มันก็เบาลง ไปเอาน้ำร้อนมาราดมือตัวเองเพราะว่ามันเย็นมาก มือเย็นไปหมด (หัวเราะ) ก็เลยเบาลงค่ะ”
ชุดที่สวมใส่สวยงามมาก มีทั้งกองประกวดเตรียมไว้ให้ เราเตรียมไปเองด้วย? “ใช่ค่ะ สำหรับชุดโอเพนนิ่งโชว์ ชุดว่ายน้ำ ตาลเลือกเองค่ะ ฟรีสไตล์เลย อยากเลือกอันไหนก็เลือก แต่ว่าชุดโอเพนนิ่งเค้าจะแบ่งเป็นล็อกเอาไว้ว่าประเทศนี้ถึงประเทศนี้เลือกล็อกนี้นะ ระหว่างการเก็บตัวชุดที่เราใส่โชว์ทุกคนจะรอติดตามเราเยอะมาก เค้าจะชอบการแต่งตัวของเรา ดูสวยแตกต่างไม่เหมือนใคร” เกี่ยวมั้ยว่าชุดราตรีเปิดตัวต้องเป็นสีบานเย็น ตาลเลือกไว้เลย? “ในใจก็แอบชอบสีบานเย็นนะคะ อันอื่นมันเป็นลูกไม้ฟรุ้งฟริ้งมากเลย มันไม่เหมาะกับตาล และชุดนี้มันดูมีอะไร และเหลือชุดท้ายๆ แล้วด้วย เพราะว่าตาลเข้าไปเกือบจะสุดท้ายแล้ว เห็นมันซุกๆ อยู่ก็เลยลองเอาออกมาดู มาลองแล้วมันเข้าก็เลยเลือกเลยค่ะ”
สำหรับชุดประจำชาติ หลังจากที่ปรากฏโฉมบนเวที หลายคนกรี๊ดสนั่นฮอลล์ หลายคนชื่นชมว่าน้ำตาลพรีเซนต์ออกมาได้สวยงามและสง่างามมาก? “พี่โจ้แอบบอกว่าเดินเร็วไปหน่อยด้วย (หัวเราะ) ตอนนั้นเหมือนกับว่าจะต้องทำเวลา เพราะเราจะต้องดูคนคอนโทรลเราด้วย คิวมันต้องรันไปเรื่อยๆ แต่เบื้องหลังในการใส่ชุดนี้มันเป็นอะไรที่ตื้นตันใจมากๆ ทุกคนเข้ามารุมหนูหมด ประมาณเกือบ 10 กว่าคน แล้วเค้าก็เข้ามาจับมือหนู บอกให้หายใจเข้าออกเบาๆ ไม่ต้องกังวลนะ ได้อยู่ พอใส่ออกมาหนูก็รีบเดินไปหลังเวที กำลังก้าวขึ้นเวที ไทยแลนด์พอดีเลย มันเป็นอะไรที่พอดีมาก พอขึ้นไปทุกคนก็กรี๊ดให้กำลังใจเรา มันเป็นอะไรที่ตื้นตันใจมากๆ ค่ะ (ยิ้ม)” ตื้นตันใจถึงขั้นว่าพอลงจากเวทีน้ำตาลถึงกับร้องไห้ออกมาและพูดประโยคนึงออกมาด้วย? “ร้องไห้แล้วบอกว่าหนูทำได้แล้ว มันตื้นตันใจมากค่ะที่เบื้องหลังทุกคนเข้ามาช่วยหมด ทุกคนมื้อไม้สั่นและบอกให้ใจเย็นๆ หนูทำได้แล้ว พอไปหลังเวทีทุกคนเข้ามากอดหนู ก็ยิ่งจะร้องไห้ตลอดเลย”
ก่อนเข้าประกวดในรอบพรีลิม น้ำตาลได้เข้าไปสัมภาษณ์กับคณะกรรมการในการเก็บคะแนน ไปเจอใครในการสัมภาษณ์? “เจอ ริโยะ มิสยูนิเวิร์ส และกรรมการหลายท่าน น้ำตาลจำชื่อไม่ได้ (หัวเราะ) เป็นการสัมภาษณ์เรื่องเกี่ยวกับในหลวงของเรา ท่านสวรรคตไปประเทศไทยของเราเป็นอย่างไร ก็บอกไปว่าถ้าเข้าไปในประเทศไทยตอนนี้ ทุกคนจะสวมใส่เสื้อสีดำ มันเป็นอะไรที่โศกเศร้าที่เสียคนที่เป็นที่รักที่สุด ที่เปรียบเสมือนพ่อของเรา แต่เหนืออื่นใดในสิ่งที่ท่านสอนพวกเราคือทำหน้าที่ในทุกๆ วันให้ดีที่สุดค่ะ”
มีคำถามนึงที่ถามว่าถ้าหากได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส น้ำตาลจะไปอยู่ USA ได้มั้ย? “เค้าถามตาลว่าถ้าได้มิสยูนิเวิร์ส แล้วต้องไปอยู่นิวยอร์ก ต้องพูดภาษาอังกฤษ จะทำอย่างไร หนูก็เลยบอกว่า จากที่ตัวเองได้รับตอนที่อยู่ประเทศไทย คือไม่มีใครยอมรับเลย ต้องติว่าเราไม่ได้ภาษา เราส่วนสูงไม่ถึง หุ่นไม่ได้ แต่พอระยะเวลาในการเก็บตัวที่ผ่านมา ตาลพยายามฝึกฝนตัวเอง ปรับปรุงตัวเองทุกอย่างเพื่อให้ออกมาดี และให้ทุกคนยอมรับและจุดนั้นตาลทำสำเร็จ ทุกคนเห็นในความพยายามของตาล และตาลก็บอกเค้าว่าถ้าตาลไปอยู่ที่นิวยอร์ก ตาลก็จะทำอย่างนั้นเช่นกันค่ะ (ยิ้ม)”
กดดันมั้ยที่ถูกให้วางว่าเป็น 1 ใน 3 หรือว่าเป็นตัวเก็งที่จะได้รับมงกุฎ? “ไม่เลยค่ะ มันเป็นอะไรที่ดีใจมากกว่า อย่างน้อยก็มีคนจับตาดูเรา มันเป็นกำลังใจ มันเป็นแรงผลักดันว่าเราจะต้องทำให้ได้ยิ่งกว่าเดิมค่ะ” ระหว่างเก็บตัวหนักมาก คืนนึงนอนแค่ 2-3 ชั่วโมง เคยท้อหรือแอบร้องไห้มั้ย? “ไม่เคยเลยค่ะ ไม่เคยแอบร้องไห้เลยหรือว่าท้ออะไร เพราะว่า ทุกๆ วันที่ตาลทำ ตาลสนุกกับมันมาก ทุกวันที่ทำลืมวันลืมคืนไปเลย เราสนุกกับมัน มันไม่เครียด มันรีแลกซ์ เรามีกำลังใจ เรามีเพื่อนที่น่ารักหลายๆ ประเทศ ได้ไปเที่ยว ได้ไปกิน อยู่นี่กินเยอะมาก แต่ก็ต้องออกเหมือนกัน (หัวเราะ)”
สนิทกับมิสโคลัมเบียที่ก็เป็นตัวเก็งเหมือนกัน? “ไม่รู้อะไรดลบันดาล คือเราหน้าเหมือนกันมาก แอนเดรียบอกว่าน้ำตาลเป็นแฝดฝั่งเอเชีย และมีวันนึงเราบังเอิญทำผมเหมือนกัน (หัวเราะ) สนิทกันตั้งแต่วันแรกๆ เค้าก็พยายามดูแลเรา เค้าน่ารักดีค่ะ (ยิ้ม)” เหลืออีก 4 วันแล้วต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง? “วันนี้จะต้องซ้อมเดินรอบไฟนอล ซ้อมการเข้ารอบ 12 คน 9 คน 6 คน และ 3 คน ต้องซ้อมทั้งวัน นับจากนี้ไปมีแต่การซ้อมอย่างเดียวแล้วค่ะ” อยากฝากบอกอะไรหรือพูดอะไรกับแฟนๆ ชาวไทยบ้างมั้ย? “ก่อนอื่นเลยตาลก็ขอขอบคุณทุกกำลังแรงเชียร์แรงใจที่ผ่านมา ทั้งการรีทวีต กดเชียร์ กดโหวต ต้องขอขอบคุณมากๆ เลย ตาลสัญญาว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีๆ ยิ่งขึ้นๆ ไปค่ะ”
โดยในค่ำคืนพรีลิมมิเนรี น้ำตาล ได้ขึ้นเวทีเดินรอบชุดประจำชาติโดยสวมใส่ชุดประจำชาติไทย jewel of thailand ที่ชุดนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการออกแบบจากฉลองพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ซึ่งน้ำตาลก็สามารถทำออกมาได้เป็นอย่างดี สามารถเรียกเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ได้อย่างดังสนั่นเวทีในค่ำคืนนี้ไม่แพ้นางงามจากชาติอื่นเลยทีเดียว.
ญี่ปุ่นปล่อยแล้ว ตัวรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา โดยไม่มีการดำเนินคดี หลังสถานกงสุลใหญ่ นครโอซากา ส่ง จนท.ไปเจรจากับเจ้าของโรงแรมผู้เสียหาย ยอมถอนคดี...
จากกรณีอื้อฉาว ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของไทย นายสุภัฒ สงวนดีกุล รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่นจับกุมตัวในคดีลักทรัพย์ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองเกียวโต ถูกควบคุมเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น และล่าสุดได้มีเจ้าหน้าที่ไทย จากสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา ได้รับอนุญาตให้เข้าพบนายสุภัฒ เป็นครั้งแรกภายหลังถูกจับกุม
ความคืบหน้าเรื่องนี้ วันที่ 27 ม.ค. มีรายงาน แจ้งมาจากกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าตามที่ได้ปรากฏข่าวในสื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นว่า ทางการญี่ปุ่นได้จับกุมคนไทยที่เป็นข้าราชการระดับสูง เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2560 นั้น(กต.รับเหตุรองอธิบดีฉกรูปในโรงแรมญี่ปุ่น กระทบภาพลักษณ์ไทย)
กระทรวงการต่างประเทศขอเรียนว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 มกราคม 2560 เจ้าหน้าที่ฝ่ายกงสุลของสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา ได้พบกับข้าราชการคนดังกล่าวแล้ว
ในส่วนของคดี ขณะนี้ศาลยังไม่ได้ประทับรับฟ้อง เพียงแต่มีคำสั่งกักตัวตามความเห็นอัยการเป็นเวลา 10 วัน โดยในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลใหญ่จะไปเจรจากับโรงแรม ซึ่งหากตกลงกันได้ อัยการก็จะขอถอนคดีและปล่อยตัวต่อไป
ทั้งนี้ บรรยากาศการหารือเป็นไปด้วยดี และคาดว่าเรื่องนี้จะยุติได้โดยเร็ว
ล่าสุดมีรายงานว่า ช่วงเย็นวันที่ 27 ม.ค. ภายหลังเจ้าหน้าที่สถานกงสุลฯ เดินทางไปเจรจากับทางเจ้าของโรงแรมที่เกิดเหตุที่เป็นผู้เสียหายโดยยอมชดใช้ค่าเสียหาย จึงยอมยุติเรื่อง ไม่ดำเนินคดี ทางอัยการญี่ปุ่นจึงได้ถอนคดี และปล่อยตัวผู้ต้องหาออกมาแล้ว.
แถลงข่าวเรื่องการประกวดผลงานศิลปะประจำปีเสร็จสรรพ ในฐานะศิลปินคนดัง ศิลปินศิลปาธร อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จึงถูกนักข่าวมะรุมมะตุ้ม ถามโน่นนี้ เรื่องผลงาน เรื่องศิลปะอยู่พักใหญ่ พอเจอคำถามขอความเห็นเรื่อง "รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาไปขโมยภาพจากโรงแรมของญี่ปุ่น" เท่านั้นละ เสียงที่ดังอยู่แล้วดังขึ้นอีก แบบของขึ้น ฟังกันชัดว่าอาจารย์คนดังตอบว่าอะไร
"กูอาย กูเป็นศิลปิน กูเป็นคนไทย กูอาย ภาพดีๆ ในบ้านเมืองเราก็มีเยอะแยะไม่ขโมย และถ้าจะขโมยเลือกให้มันดีหน่อย ไปขโมยทำไมภาพห่วยๆ ไปขโมยที่วัดร่องขุ่นของกูซิ ภาพสวยๆ ดีเพียบ...กูอายจริงๆ นะ เข้าใจมั๊ย"
อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 3 นำพยานเบิกความ คดียื่นขอยึดทรัพย์ "เณรคำ" กว่า 40 ล้านบาท ทนายเผย เจ้าตัวยังสู้คดีขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน อยู่ที่อเมริกา...
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 25 ม.ค.60 ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 803 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานผู้ร้องในคดี 61/2556 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 3 ยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินของนายวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก กับพวกซึ่งเป็นผู้คัดค้านรวม 8 คน ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินโดยในวันนี้พนักงานอัยการผู้ร้องนำพยานเข้าสืบจำนวน 3 ปาก ประกอบด้วยพนักงานสอบสวนดีเอสไอ, พระที่เชี่ยวชาญในการสร้างพระพุทธรูป และประธานบริษัทดอกบัวคู่
ภายหลังสืบพยานในช่วงเช้า พ.ต.ท.รวมชัย มานะ อัยการประจำสำนักงานคดีพิเศษ 3 กล่าวว่า ในคดีนี้ทางพนักงานอัยการผู้ร้องขอนำพยานเข้าเบิกความจำนวน 30 กว่าปาก ขณะนี้เบิกความไปแล้วหลายปาก คงเหลือพยานผู้ร้องที่ต้องเบิกความจำนวน 3-4 ปาก หลังจากนั้นจะเป็นฝ่ายผู้คัดค้าน ซึ่งเตรียมพยานไว้กว่า 20 ปาก จะขึ้นเบิกความต่อ ก่อนที่ศาลจะนัดฟังคำพิพากษาต่อไป ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ เนื่องจากขณะนี้คดีเพิ่งอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์
"คดีนี้ทางพนักงานอัยการได้ร้องขอให้ยึดทรัพย์ที่เกิดจากการกระทำผิดหลายรายการ รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท" พ.ต.ท.รวมชัย กล่าว
ด้านนายกิตติ อธินันท์ ทนายผู้คัดค้านที่ 8 เปิดเผยว่า คดีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากหลวงปู่เณรคำถูกตั้งข้อกล่าวหาฉ้อโกงประชาชน ฟอกเงิน และพรากผู้เยาว์ ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งดำเนินคดี ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับกฎหมายการฟอกเงิน คณะกรรมการปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ส่งอัยการร้องขอต่อศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ประกอบด้วยที่ดิน บ้าน บัญชีเงินฝาก และรถยนต์ หลายสิบล้านบาท ที่ ปปง.อ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด ซึ่งขณะนี้ฝ่ายอัยการผู้ร้องเหลือการสืบพยานอีก 4 ปาก จากนั้นจะเป็นการสืบพยานฝ่ายผู้คัดค้านอีกหลายสิบปาก โดยเป็นการสืบพยานต่อเนื่องถึงวันศุกร์ที่ 27 มกราคม นี้
นายกิตติ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ตัวหลวงปู่เณรคำยังสู้คดีที่พนักงานอัยการต่างประเทศของประเทศไทยร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนจะต้องสู้คดีอีกนานแค่ไหนนั้นยังไม่สามารถกำหนดได้ เพราะต้องรอศาลชั้นต้นที่สหรัฐอเมริกามีคำสั่งลงมาก่อน แต่ตัวหลวงปู่เณรคำก็ยังสามารถใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งได้อีก.
อยุธยา พี่จัดงานศพให้น้องคิดว่าตายแล้ว สวดศพไป 1 คืน จู่ๆ ตัวจริงโผล่ ยืนยันยังมีชีวิตอยู่ที่นครสวรรค์ ที่แท้ เข้าใจผิดนึกว่า ศพคนประสบอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิตเป็นน้องชายตัวเอง แถมมีบัตรประชาชนของน้องชายตกใกล้ที่เกิดเหตุ เล่นเอาวุ่น!
เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่วัดประดู่ทรงธรรม ม.4 ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มีการจัดงานศพให้กับผู้เสียชีวิต ปรากฏว่า ผู้ที่ถูกระบุว่าเสียชีวิตกลับโผล่มาและยืนยันว่า มีชีวิตอยู่ ทำให้ทางญาติถึงกับงงไปตามๆ กัน
ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง พบว่า ที่ศาลาธรรมภายในวัดประดู่ทรงธรรม ปิดอยู่ ไม่มีญาติของผู้เสียชีวิตหรือผู้มาร่วมงาน มีเพียงนายประสาน มีสมโรจน์ อายุ 58 ปี บ้านอยู่ 61/1 ม 7 ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา สัปเหร่อของวัด นั่งอยู่ เมื่อเปิดศาลาพบว่า ภายในมีการจัดเครื่องตั้งและหีบศพ ประดับด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม ส่วนผู้เสียชีวิตที่อยู่ภายในโลงเย็นใกล้กันนั้น ระบุว่า เป็นนายกฤษณะ สุขกลิ่น อายุ 44 ปี บ้านอยู่ 125/5 ม 8 ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา
นายประสาน เปิดเผยว่า นายนตรี พันธุ์ชงค์ อายุ 45 ปี บ้านอยู่เลขที่ 47 ม. 3 ต.ข้าวเม่า อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นผู้ติดต่อนำศพของผู้เสียชีวิตมาที่วัด ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ม.ค. โดยระบุในใบมรณบัตรเป็นนายกฤษณะ สุขกลิ่น น้องคนละบิดากัน ซึ่งถูกรถชนเสียชีวิตบริเวณถนนสายอุทัย-หนองน้ำส้ม หน้า หจก.เอสรีไซเคิล อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 24 ม.ค.60 ซึ่งตอนที่นำศพมานั้น มีเอกสารใบมรณบัตรถูกต้อง จึงดำเนินการตามขั้นตอนจนถึงการสวดพระอภิธรรมศพในคืนแรก คือ วันที่ 25 ม.ค. จนกระทั่งเมื่อวันที่ 26 ม.ค. ตอนสายก็ได้รับแจ้งจากนายนตรี ว่า จะไม่สวดศพของนายกฤษณะ แล้ว เนื่องจากนายกฤษณะยังไม่เสียชีวิต ทำให้ตนต้องปิดศาลาเอาไว้ เพื่อรอนายกฤษณะ มายืนยันและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งตั้งแต่ทำหน้าที่สัปเหร่อมา 30 ปี ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ทราบว่า คนที่อยู่ในโลงเย็นเป็นใคร
นายนตรี เปิดเผยว่า ตนรู้สึกดีใจที่น้องชายไม่ได้เสียชีวิต ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุพอทราบข่าวว่าผู้เสียชีวิตเป็นน้องชายก็ตกใจ เนื่องจากมีบัตรประชาชนใกล้ที่เกิดเหตุ จึงไปดูศพและเห็นว่า มีลักษณะคล้ายจึงนำมาบำเพ็ญกุศล โดยไม่ได้ตรวจดูอย่างละเอียด และกำหนดจะฌาปนกิจวันที่ 28 ม.ค. จู่ๆ ญาติที่ จ.นครสวรรค์ ก็โทรศัพท์มาบอกว่า นายกฤษณะน้องชายไปถึงนครสวรรค์แล้ว จึงได้พูดคุยกันและตกใจที่ไปรับศพใครมาก็ไม่ทราบ ซึ่งก็จัดดอกไม้เตรียมงานหมดไปหลายแล้ว แต่ก็ถือว่า ทำศพให้คนตาย จากนั้นจึงไปแจ้งความแล้วมอบให้มูลนิธินำศพกลับไป เพื่อดำเนินการสืบหาญาติ
ต่อมานายนตรี พร้อมด้วยนายกฤษณะ ได้เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.พิเชษฐ์ อินทสูตร พนักงานสอบสวน สภ.อุทัย เพื่อลงบันทึกประจำวันและยืนยันว่า นายกฤษณะ ไม่ได้เสียชีวิต ซึ่งทางตำรวจได้รับเรื่องและตรวจสอบเอกสารพร้อมทั้งรายงานผู้บังคับบัญชา
โดย ร.ต.อ.พิเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่นายกฤษณะ มายืนยันตนเองก็จะต้องประสานกับทางสถาบันนิติเวชโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อรับศพกลับไป และตามหาญาติ ส่วนการที่มีการเข้าใจผิดว่า นายกฤษณะเสียชีวิตนั้น เกิดจากการที่นายกฤษณะ เดินทางไป จ.นครสวรรค์ โดยขึ้นรถไฟ แล้วทำกระเป๋าสตางค์ตกหายเมื่อหลายวันก่อน จากนั้นเกิดเหตุชายไม่ทราบชื่อถูกรถชนเสียชีวิต เบื้องต้นสันนิษฐานว่า เป็นคนเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง และพบบัตรประชาชนของนายกฤษณะในกระท่อมริมถนนใกล้ที่เกิดเหตุ จึงทำให้เข้าใจว่า ผู้เสียชีวิตคือ นายกฤษณะ ซึ่งต่อมาญาติเดินทางไปรับศพก็ยืนยันว่า เป็นนายกฤษณะ จึงได้นำศพกลับมาบำเพ็ญกุศลดังกล่าว
วันที่ 27 ม.ค. บีบีซีรายงานว่า วารสารนักวิทยาศาสตร์ด้านอะตอม (บีพีเอ) เปิดเผยว่าคณะนักวิทยาศาสตร์พิจารณาเลื่อนเข็ม “นาฬิกาวันสิ้นโลก” เร็วขึ้นอีก 30 วินาที จาก 3 นาทีจะถึงเที่ยงคืนที่ปรับในปี 2558 เป็น 2 นาที 30 วินาที เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ขึ้นเป็นผู้นำมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา
เข็มนาฬิกาดังเป็นสัญลักษณ์ความเสี่ยงภัยจากฝีมือมนุษย์ สะท้อนผ่านจังหวะเวลาของการใกล้วันสิ้นโลกมากที่สุดอันดับสอง รองจากจังหวะเดิมที่เหลือเวลา 2 นาทีจะถึงเที่ยงคืน เมื่อปีพ.ศ. 2496 (ค.ศ.1953) ภายหลังสหรัฐอเมริกา และรัสเซีย ทดสอบระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ หรือเอช-บอมบ์
นางเรเชล บรอนสัน ผู้อำนวยการวารสารบีพีเอ กล่าวว่าการเลื่อนนาฬิกาวันสิ้นโลกให้เร็วขึ้นนั้น มีปัจจัยการพิจารณามาจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ซึ่งไม่เห็นความสำคัญของแผนลดภาวะโลกร้อน และสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่กลับสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงาน โดยเฉพาะถ่านหิน
การที่นายทรัมป์ยืนกรานว่าจะเดินหน้าขยายศักยภาพด้านนิวเคลียร์ ยิ่งทำให้โลกตกอยู่ในความเสี่ยงจากการได้รับสารกัมมันตรังสี หากการทดลองมีความผิดพลาด
นอกจากนี้ วารสารบีพีเอยังเรียกร้องให้ผู้นำชาติมหาอำนาจ และผู้นำทั่วโลก หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความขัดแย้งที่อาจก่อให้เกิดสงคราม เพราะอาวุธร้ายแรง อย่างระเบิด และระเบิดนิวเคลียร์ เป็นผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับวารสารบีพีเอ เริ่มจัดทำนาฬิกาวันสิ้นโลกตั้งแต่ปี 2488 หรือเมื่อ 72 ปีก่อน หลังจากกองทัพสหรัฐทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ ลิตเติลบอย และแฟตแมน โจมตีเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ ของญี่ปุ่น จนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 220,000 ราย
ปัจจุบันคณะนักวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์และสิ่งแวดล้อมจากทั่วโลกจะทำงานร่วมกับคณะกรรมาธิการสนับสนุนซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล 15 คน เพื่อพิจารณาการเลื่อนเข็มนาฬิกาวันสิ้นโลก
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012