ข่าว
สาวฆ่าหั่นศพสามี อ้างเป็นพระพุทธเจ้ามาปราบมาร

7 ต.ค. ที่กองกำกับการสืบสวน นครบาล7 หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว น.ส.พรสุรีย์ ดีแผ่ว อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่าหั่นศพนายประสิทธิ์ ศรีสมบุญญานนท์ 47 ปี อดีตดีไซเนอร์ ภายในธิติวงศ์อพาร์ทเม้น เลขที่ 116/12 ซอยบางขุนนนท์ 12 แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

น.ส.พรสุรีย์ ผู้ต้องหา ซึ่งทำท่านั่งสมาธิพนมมืออยู่ตลอดเวลา กล่าวว่าเป็นร่างทรงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงมาปราบมาร และไม่รู้ตัวว่าฆ่าสามีตัวเองไปแล้ว พร้อมยืนยันด้วยท่าทางขึงขังด้วยว่า "รู้และเราได้ฆ่ามารเฒ่าโลหิต และมาจับได้ยังไง เราเป็นเจ้าแห่งศาสตร์ใครกล้ามาจับเรา พ่อกับแม่ให้ฆ่ามัน"

ด้าน พ.ต.ท.ชนะชัย ไชยทอง รองผกก.สส.น7 กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้นำผู้ต้องไปตรวจปัสสาวะ พบว่ามีสีม่วง ซึ่งจะมอบหมายให้ทางพนักงานสอบสวนส่งตรวจสอบหาสารเสพติดอีกครั้ง ในส่วนของการแจ้งข้อหาขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนอยู่ในระหว่างศึกษาข้อกฏหมายว่าเข้าข่ายใดบ้างแต่ในเบื้องต้นได้แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

เมียตลกดัง "เหลือเฟือ มกจ๊ก" วอนช่วยโดนซ้อม

7 ต.ค. เมื่อเวลา 14.00 น . ที่สำนักงานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี น.ส.ตรีทิพยนิภา โนจา อายุ 28 ปี อาชีพแม่บ้าน ภรรยาตลกชื่อดังพร้อม ด.ช.มิกซ์ อายุ 4 ปี บุตรชาย อยู่บ้านเลขที่ 45/71 หมู่บ้านบุรีรมย์ ซ.คู้บอน 41 เขตคลองสามวา แขวงสามวาตะวันตก กทม. เดินทางเข้าพบนางปวีณา หงสกุล ประธาน “มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี” และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือกรณีถูกนายเจมศักดิ์ แจ้งทิพย์นาง หรือ เหลือเฟือ มกจ๊ก สามี ทำร้ายร่างกายโดยการทุบตีรายวัน

น.ส.ตรีทิพยนิภา กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนเองได้อยู่กินกับเหลือเฟือ มกจ๊ก มาเป็นเวลากว่า 6 ปี ซึ่งขณะนั้นตนเป็นนักร้องอยู่ในวงโปงลางเหลือเฟือมกจ๊ก และเกิดชอบพอจนมีความสัมพันธ์กัน ต่อมาตนได้ตั้งครรภ์กับเหลือเฟือจึงได้อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยา ช่วงแรกสามีเป็นคนดีและเอาใจ แต่ต่อมาทุกครั้งที่กลับบ้านจะมีอาการเมามายตลอด บางครั้งก็ไม่กลับบ้าน เมื่อตนสอบถามก็จะอารมณ์ฉุนเฉียวและตบตี ทำร้ายร่างกายตนถึงขั้นคิ้วแตก เลือดอาบ มีรอยฟกช้ำไปทั้งตัว แต่ตนก็ทนเรื่อยมาโดยหวังว่าสามีจะปรับตัวดีขึ้นเพื่อเห็นแก่ลูก แต่ก็ยังคงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เป็นประจำ พักหลังไล่ตนและลูกออกจากบ้าน ที่ผ่านมาให้ตนอยู่บ้านเป็นแม่บ้านให้เงินใช้ซื้อกับข้าวเลี้ยงลูกวันละ 2-3 ร้อยบาท บางวันก็ไม่ให้ ตนจึงไม่มีปัญญาที่จะไปไหนได้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมาตนก็ถูกตบตีจนศีรษะปูดบวมฟกช้ำไปทั้งตัวและได้ไปแจ้งความกับพ.ต.ท.เทิดศักดิ์ ทักษิมา พงส.(สบ.3) สน.คันนายาวไว้แล้ว แต่ตนเองกลัววว่าจะไม่ปลอดภัยจึงขอให้ทางมูลนิธิช่วยเหลือให้ความเป็นธรรมด้วย

ด้านนางปวีณา หลังทราบเรื่องได้ประสาน พ.ต.อ.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผกก.สน.คันนายาว เพื่อช่วยดูแลเรื่องคดีอย่างเป็นธรรม ส่วน น.ส.ตรีทิพยนิภา และลูก มูลนิธิฯรับดูแลและเยียวยาตามขั้นตอนต่อไป


ทลายโกดังจับกุมกัญชาข้ามชาติหนัก 3 ตันค่ากว่า 500 ล้านบาท

วันที่ 10 ต.ค.55 พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วยนายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พล.ต.ท.กวี สุภานันท์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ร่วมกันแถลงผลการจับกุมนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ จับกุมได้ 1 คน คือ นายสวนหรือ อ้วน ทักษะชำนาญกิจ พร้อมของกลางกัญชาแห้งอัดแท่ง 3 ตัน หรือ 3,000 กิโลกรัม ที่โกดังร้างติดถนนมัญจาคีรี- ชัยภูมิ ตรงบ้านเขวา ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น การจับกุมครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง บช.ภ. 4 สำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 4 ตชด.ภ.2 บก.รน. และกองกำลังสุรนารี โดยสืบทราบว่า กัญชาชุดนี้มีการลำเลียงมาจากพื้นที่ จ.สกลนคร ตามตะเข็บชายแดนข้ามมาจากฝั่งลาว เป็นชุดใหญ่ประมาณ 3 - 5 ตัน มาพักเก็บไว้ในโกดังร้างแห่งนี้ แล้วทำการแพ็กใส่กล่องอย่างดี ส่งต่อไปยังท่าเรือคลองเตย เพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ

พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่า กัญชาชุดนี้คาดว่าจะส่งไปยังประเทศออสเตรเลีย มูลค่าของกลางหากส่งออกมีมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท โดยโกดังแห่งนี้อ้างว่า จะใช้ตัดเย็บเสื้อผ้าซึ่งมีแรงงานชาวเวียตนามมาทำงานและลักลอบบรรจุกัญชาอัดแท่งไว้ลำเลียงส่งต่อโดยรถกระบะไปที่ท่าเรือคลองเตย เพื่อส่งขายข้ามชาติ สำหรับผู้ค้ายาเสพติดชุดนี้ เชื่อว่าเป็นชุดเดียวกันที่มีการจับกุมได้ของกลางกัญชาแห้งกว่า 3,000 กิโลกรัม ที่อ.หนองแค จ.สระบุรี เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบความเคลื่อนไหวของนักค้ายาเสพติดกลุ่มนี้ เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา มีการลำเลียงยาเสพติดมาเก็บไว้ที่โกดังร้างแห่งนี้ ซึ่งทางสายสืบเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดมา กระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น.ของคืนวันที่ 9 ต.ค.ภายในโกดังจะมีการเคลื่อนไหวลำเลียงยาเสพติดออกนอกโกดัง จึงแสดงตัวเข้าจับกุมและสกัดการลำเลียงโดยมีการยิงต่อสู้กันหลายนาที คนร้ายอาศัยความมืดหลบหนีไปตามทุ่งนาข้างโกดัง กระทั่งเสียงปืนสงบเจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจค้น พบกัญชาจำนวนมากดังกล่าว สำหรับยาเสพติดชุดนี้ ได้มอบให้ทางตำรวจ สภ.มัญจาคีรี เข้าดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ต้องหาและตรวจยึดของกลางทั้งหมด

หมอสุพัฒน์ฆ่าพม่าในไร่-โหย่ง พยานสำคัญเล่านาทีชีวิต!

เมื่อ 10 ต.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า พล.ต.ต.วิทยา ประยงค์พันธ์ รองผบช.ภาค 7 หัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวน พร้อมด้วยพล.ต.ต.พีรชาติ รื่นเริง ผบก.ภ.เพชรบุรี พ.ต.อ.พิชัย ปกป้อง ผกก.สภ.ท่าไม้รวก นำกำลังพานายโหย่ง คนงานชาวพม่าที่รอดตายจากไร่พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ มาชี้จุดที่ถูกทำร้ายพร้อมนายอีต้า

โดยเริ่มตั้งแต่มีคนงานพาตัวนายอีต้าและนายโหย่ง ออกจากห้องพักไปที่บริเวณข้างคอกวัว จากนั้นนายกะลาใช้ผ้ามัดคอแล้วบังคับให้นอนคว่ำหน้ากับพื้นคู่กัน จากนั้นใช้ไม้ทุบตีทั้ง 2 คนจนสลบ โดยนายโหย่งระบุว่าระหว่างนั้นพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ถือปืนคุมเชิงอยู่ข้างๆ ต่อมานายโหย่งฟื้นได้สติ จึงรีบวิ่งหนีออกไปในไร่ที่อยู่ติดกัน ส่วนนายต้า ยังนอนสลบอยู่ จากนั้นก็ไม่ทราบเลยว่านายต้า เป็นอย่างไรบ้าง

พล.ต.ต.วิทยา กล่าวว่าตามที่นายโหย่งพูดมาทั้งหมดก็เชื่อว่า ตรงตามสถานที่เกิดเหตุ ในรายละเอียดของสำนวน ซึ่งในกระบวนการต้องดำเนินการต่อไปเพราะเขาเป็นผู้เสียหายรวมถึงผู้เสียหายรายอื่นๆ อีก ซึ่งเป็นญาติผู้ตายที่เราพบโครงกระดูก เพราะผลการตรวจของแพทย์ก็ยืนยันแล้วว่าเป็นใคร เมื่อรวบรวมรายละเอียดและสอบปากคำเรียบร้อยแล้ว ตำรวจจะแจ้งข้อหาหมอสุพัฒน์และพวกซึ่งหนึ่งในนั้นคือนายกะลา เพิ่มเติม ในข้อหาฆ่าคนโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันฆ่าผู้อื่น