ข่าว
พิพากษาแก๊งปล้นบ้าน "อดีตปลัดสุพจน์" จำคุกสูงสุด 18 ปี พร้อมคืนเงิน 15 ล้าน

ที่ห้องพิจารณา 802 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เวลา 10.30 น. วันที่ 29 มี.ค. ศาลอ่านคำพิพากษาคดีปล้นทรัพย์บ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม หมายเลขดำ อ.347/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสิงห์ทอง หรือ เสธ.ไก่ ใจชมชื่น, นายเสาร์แก้ว นามวงค์, นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ ริยะเทน, นายบุญสืบ หรือสืบ โจมกัน, นายวุฒิชัย หรือวุฒิ พันธวารี, นายวณัญกฤต หรือจ่อย บุตรกันหา, นายประพันธ์ เรียงเครือ, นายชยธัช หรือเอก จันนะชัย และ น.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์ เป็นจำเลยที่ 1-9 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะ, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง กระทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพฯ, ร่วมรับของโจร และร่วมกันพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน

คดีนี้อัยการได้ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 9 ก.พ.2555 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 12 ก.พ.-23 พ.ย.2554 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้คัตเตอร์, ชะแลงเหล็กจำนวน 3 อันติดตัว บุกรุกเข้าไปในบ้านของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ผู้เสียหายที่ 1 ในซอยลาดพร้าว 62 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. แล้วลักเงินสดจำนวน 18,121,000 บาท ของผู้เสียหายที่ 1 ไป โดยข่มขู่และทำร้ายนางจันทรา สังเกิด ผู้เสียหายที่ 2 และ น.ส.สาวิตตรี บุญอุ้ม ผู้เสียหายที่ 3 ลูกจ้างของผู้เสียหายที่ 1 จนปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะโดยช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่ายหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งทรัพย์ดังกล่าว เหตุเกิดที่แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. ท้องที่ตำบลและอำเภอต่างๆ จ.กาญจนบุรี และ จ.เชียงราย เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตาม ป.อาญา มาตรา 310, 310 ทวิ, 340, 340 ตรี, 357, 365, 371 จำเลยที่ 1, 5, 7, 8 และ 9 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2, 3, 4 และ 6 ให้การรับสารภาพ

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างแล้วเห็นว่า ช่วงเกิดเหตุพวกจำเลยได้มีการติดต่อกันด้วยตนเองและใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดต่อกันเรื่อยมา โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้วางแผนและชักชวนให้จำเลยอื่น ร่วมกระทำผิด โดยฝ่ายโจทก์มีนายนัฐพล จันทร์ชั่ง กับพวก เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ติดต่อให้พยานช่วยหารถยนต์ตู้ เพื่อจะนำไปใช้ขนเงินที่จะเข้าปล้นบ้านปลัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งมีเงินจำนวนมาก และจะไม่กล้าเข้าแจ้งความ โดยพยานจะได้เงินส่วนแบ่ง 10 ล้านบาท พร้อมหยิบเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ และเครื่องชอร์ตไฟฟ้าที่เตรียมไว้ให้ดู นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังพาพยานและเพื่อน ไปดูบ้านของปลัดกระทรวงคนดังกล่าวด้วย แต่พยานเห็นว่าบ้านหลังใหญ่โต จึงเกิดความกลัว และตัดสินใจไม่เข้าร่วมปล้น เห็นว่าพยานโจทก์ เบิกความสอดคล้องต้องกันถึงพฤติการณ์ และเมื่อได้เงินจากการปล้นมาก็ได้แบ่งให้จำเลยอื่นเก็บไว้ และกำชับว่าอย่ารีบนำเงินไปใช้ รวมทั้งจำเลยที่ 9 ซึ่งเป็นแฟนของจำเลยที่ 1 ด้วย พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ การกระทำของจำเลยที่ จำเลยที่ 1, 2 และ 3 จึงเป็นความผิดจริง พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-3 ผิด ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ และใช้ยานพาหนะ อันเป็นบทหนักสุดจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 18 ปี ปรับ 90 บาท จำเลยที่ 1 ให้การเป็นประโยชน์บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 12 ปี ปรับ 60 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 ให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกไว้คนละ 9 ปี ปรับ 45 บาท

สำหรับจำเลยที่ 4, 5, 6 และ 9 มีความผิดฐานร่วมกันรับของโจร (เงินของกลาง) จำคุกคนละ 5 ปี จำเลยที่ 4 และ 6 รับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือน ขณะที่ จำเลยที่ 5 และ 9 ให้การเป็นประโยชน์บ้างลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้คนละ 3 ปี 4 เดือน สำหรับจำเลยที่ 8 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการปล้นทรัพย์ จำคุก 12 ปี ทางพิจารณาคำให้การเป็นประโยชน์บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 8 ไว้ 8 ปี ส่วนจำเลยที่ 7 พยานโจทก์ยังมีข้อพิรุธสงสัย ทั้งจำเลยให้การปฏิเสธมาตลอด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ พิพากษายกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 7 แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ และให้คืนเงินของกลางแก่เจ้าของ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังฟังคำพิพากษาจำเลยทั้งเก้า ต่างมีสีหน้าที่เคร่งเครียด ต่อมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ได้นำจำเลยทั้ง 9 ไปควบคุมไว้บริเวณใต้ถุนศาล โดยระหว่างที่จำเลยที่ 1-3 กำลังเดินเข้าห้องควบคุม จำเลยที่ 1 ได้โบกมือทักทาย ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่จำเลยที่ 4-8 มีสีหน้าที่เครียดจัด และจำเลยบางคนได้ใช้เสื้อคลุมปิดบังใบหน้าเพื่อไม่ให้บันทึกภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีแพ่ง ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งทรัพย์สินของนายสุพจน์ อดีตปลัดคมนาคม 64,998,587 ล้านบาทเศษ ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบทรัพย์สินแล้วชี้มูลความผิด ว่านายสุพจน์มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ โดยไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินต่างๆ นั้นคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก

ตูนิเซียเรียกร้อง"ประหาร สาวเปลือยอก ประท้วง

เมื่อวันที่ 28 มี.ค.กลุ่มผู้นำทางศาสนาในตูนิเซีย ได้เรียกร้องให้มีการประหารชีวิตต่อน.ส.อมินา ไทเล่อร์ ซึ่งโพสต์ภาพตัวเองในสภาพเปลือยหน้าอกบนเฟซบุ๊ค เรียกร้องถึงเสรีภาพส่วนบุคคล โดยมีข้อความว่า"ร่างกายเป็นของฉัน"พร้อมทั้งขอให้ทางการตูนิเซียกักบริเวณเธอ ในฐานะ"เชื้อโรคทางสังคม"ด้วยรายงานระบุว่า น.ส.อมินา เป็นสมาชิกของกลุ่ม"เฟเมน"ซึ่งเป็นกลุ่มเรียกร้องและพิทักษ์สิทธิสตรีของรัสเซีย โดยที่ผ่านมากลุ่มได้ประกาศเตรียมการประท้วงเปลือยอกขึ้นในตูนิเซียในวันที่ 4 เม.ย.นี้ เพื่อประกาศสงครามต่อกลุ่มมุสลิมหัวเคร่ง ในช่วงที่ประเทศเผชิญกับการโค่นล้มเผด็จการและแสวงหาประชาธิปไตยและเสรีภาพ และการประท้วงของน.ส.อมินา ได้สร้างความกระแสให้แก่สังคมตูนิเซีย ท่ามกลางกระแสข่าวว่า เธอถูกครอบครัวจับไปหาจิตแพทย์ในโรงพยาบาลเมืองหลวงตูนิส ขณะที่สื่อระบุว่า หากภาพดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตูนิเซีย น.ส.อมินา อาจถูกลงโทษจำคุกเป็นเวลา 2 ปี และถูกปรับเป็นเงิน 40-400 ปอนด์

ด้านนักบวช"อเดล อัลมี"หัวหน้าคณะกรรมการสนับสนุนศีลธรรมและการป้องกันความชั่วร้าย โจมตีน.ส.อมินาว่า ตามบทบัญญัติศาสนาแล้ว เธอจะต้องจะถูกเฆี่ยน 80-100 ที แต่ในทางปฎิบัติ โทษของเธอจะต้องมากกว่านั้น โดยเฉพาะการถูกประหารด้วยการถูกปาหิน และว่า เธอเหมือนคนป่วยทางจิตอย่างรุนแรง เป็นภัยเหมือนเชื้อโรคที่สามารถแพร่เชื้ออันตรายต่อสังคมตูนิเซียได้ และเธอจะถูกกักกันบริเวณและได้รับการบำบัดรักษา

อย่างไรก็ตาม กลุ่มเฟเมน ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า กลุ่มมุสลิมหัวเคร่งตูนิเซียกำลังประพฤติตัวอย่างป่าเถื่อน พร้อมทั้งประกาศคำท้าทายว่า ในวันที่ 4 เม.ย.นี้ จะเกิดการปฎิวัติอาหรับรอบใหม่ขึ้นในตูนิเซีย โดยเสรีภาพที่แท้จริงจะต้องเกิดขึ้นในประเทศนี้ และว่า สงครามเปลือยหน้าอกจะเปิดฉากต่อสู้กับกลุ่มคลั่งศาสนา และสงครามนี้จะร้ายแรงกว่าการเที่ยวปาหินประหารผู้คนด้วย