10 กรกฎาคม 2568 จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมาเผยแพร่จดหมายแจ้งอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่ส่งให้แก่ประเทศคู่ค้า 14 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยบางประเทศมีอัตราภาษีลดลงหรือเพิ่มขึ้นจากอัตราเดิมที่นายทรัมป์ประกาศเมื่อ 2 เมษายน ที่ผ่านมาอัตรากำแพงภาษีใหม่ที่โดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. 2568
ล่าสุดประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้าชุดใหม่กับ 7 ประเทศ ได้แก่ แอลจีเรีย ,อิรัก ,ลิเบีย ,ศรีลังกา ,บรูไน ,มอลโดวา และฟิลิปปินส์ ตามหนังสือหรือจดหมายที่ส่งออกไป ระบุอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากประเทศเหล่านี้แตกต่างกัน โดย แอลจีเรีย ,อิรัก ,ลิเบียและศรีลังกา จะถูกเก็บภาษี 30% ในขณะที่บรูไนและมอลโดวา จะถูกเก็บภาษี 25% และฟิลิปปินส์ จะต้องเผชิญกับอัตราภาษี 20%
มาตรการภาษีชุดล่าสุดเป็นส่วนเพิ่มเติมจากหนังสือ 14 ฉบับที่เคยประกาศไปก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมถึงการเก็บภาษี 25% กับคู่ค้ารายใหญ่อย่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่น และไทย 36% โดยภาษีทั้งหมดเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.เป็นต้นไปเว้นแต่จะมีการบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯก่อนวันที่มีผลบังคับใช้
ต่อมาในแพลตฟอร์ม Truth Social "@realDonaldTrump" ได้โพสต์ภาพจดหมายแจ้งอัตราภาษีที่ส่งถึงบราซิล ซึ่งฉบับนี้แตกต่างจากฉบับของประเทศอื่นๆ เพราะทรัมป์เอ่ยถึง "จาอีร์ โบลโซนาโร" อดีตประธานาธิบดีบราซิล และแสดงการคัดค้านการไต่สวนอดีตผู้นำคนนี้ในคดีพยายามพลิกผลการเลือกตั้งปี 2022 ที่ใช้คำเรียกว่าเป็นการล่าแม่มด และวิจารณ์การคุกคามการเลือกตั้งและการแสดงความเห็นอย่างเสรีของชาวอเมริกันในบราซิล จากการแบนสื่อสังคมออนไลน์สหรัฐฯ ซึ่งด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทรัมป์จึงจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากบราซิล 50% เริ่มวันที่ 1 ส.ค.นี้ จากเดิมเมื่อวันปลดแอก 2 เม.ย. ที่บราซิลเจออัตราภาษีต่างตอบแทนแค่ 10%
ในบรรดาจดหมายที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ป์ออกมาราว 22 ฉบับ มีอาเซียนไปแล้ว 8 ประเทศ ล่าสุดคือฟิลิปปินส์ 20% (จากเดิม 17%) บรูไน 25% (จากเดิม 24%) ก่อนนี้มีมาเลเซีย 25% อินโดนีเซีย 32% กัมพูชา 36% ไทย36% ลาว 40% เมียนมา 40% ส่วนเวียดนามบรรลุข้อตกลงแล้วที่ 20% กับอีกชาติหนึ่งคือสิงคโปร์ ซึ่งทรัมป์ประกาศออกมาเพียง 10% ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
วันที่ 10 ก.ค. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.มอบหมายให้ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศตคม.ตร.หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจ UNODC ต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ชี้แจงถึงสถานการณ์ปัญหาอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ ในปัจจุบัน โดยปัจจุบันสถานการณ์การหลอกลวงคนไทยของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ผ่านมา ยังมีที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา และลาว เพื่อจะหลอกคนไทยและชาติต่างๆ ทั่วโลก และเนื่องจากประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการบินที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเที่ยวบินจากทั่วโลก เข้ามาในประเทศ ประกอบกับการคมนาคมที่สะดวก กลุ่มคนร้ายจึงอาศัยช่องว่างดังกล่าวเข้ามาในไทยในฐานะนักท่องเที่ยว เพื่อเดินทางไปยังบริเวณแนวชายแดน แล้วลักลอบข้ามไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน หรือใช้ช่องทางดังกล่าวหลอกคนข้ามไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ทั้งนี้ จากมาตรการการตัดไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และน้ำมัน ไปยังแนวชายแดนประเทศเมียนมา ที่ติดกับประเทศไทย เพื่อกดดันให้มีการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ ซึ่งปกครองโดยชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนระหว่างประเทศ ทำให้เกิดการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเขตเมืองชเวโก๊ะโก๋ และเคเคพาร์ค พบคน 36 สัญชาติ รวม 8,893 ราย แต่ยังมีแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนหนึ่งหลบซ่อน และตั้งฐานอยู่บริเวณทางตอนใต้ของเมืองเมียวดี ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องมีมาตรการในการดำเนินการอีกต่อไป
ในส่วนของประเทศกัมพูชา พบว่ามีการขยายตัวของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งที่หลอกคนไทยและคนชาติต่างๆ ทั่วโลก พบว่ามีการตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา 52 จุดใน 10 จังหวัด ส่วนใหญ่ยังอยู่ในเมืองปอยเปต และมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในเขตชายแดนติดกับประเทศเวียดนาม โดยมีชาวจีน เป็นผู้บริหารจัดการ ได้รับความคุ้มครองจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ในห้วงที่ผ่านพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการขยายตัวจากประเทศกัมพูชา เข้ามาในประเทศไทยบางส่วน แต่ทางการไทย สามารถกวาดล้างจับกุมได้ ซึ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ มุ่งหลอกคนชาติอื่นไม่ใช่คนไทย อาทิ ออสเตรเลีย เวียดนาม เกาหลี จีน
อย่างไรก็ตาม สำหรับยุทธศาสตร์ของ ศปอส.ตร.ได้ร่วมกับ UNODC กำหนดยุทธศาสตร์ “ผนึกกำลังประชาคมโลก ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์” โดยกำหนดไว้ 5 ด้าน (I 2L AI) ได้แก่ 1.การทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอาคาร (Infrastructure) ได้แก่ ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต 2.การตัดเครือข่ายขบวนการนำพา (Logistics) ได้แก่ เพจโฆษณา หางาน เพจจัดหาบัญชีม้าและคริปโต แอพในการ ติดต่อหายานพาหนะ กลุ่มรถรับจ้าง กลุ่มนำพาข้ามแดน การซีลชายแดน กลุ่มจัดหาบัญชีม้าและคริปโต 3.การบังคับใช้กฎหมายและยึดทรัพย์ (Law Enforcement) โดยมุ่งเน้นไปที่ เจ้าของอาคารคอลเซ็นเตอร์ ผู้บงการ ผู้บริหารจัดการ ผู้ให้ความคุ้มครอง
4.การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการควบคุมป้องกันไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน หรือใช้ในการหลอกลวง เพื่อลักลอบข้ามผ่านแนวชายแดนไปทำงานที่แก๊งคอล เซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน 5. ผนึกกำลังประชาคมโลก (International Community) ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ โดยนำองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ UNODC, INTERPOL, FBI และประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มาร่วมปฏิบัติในศูนย์บริหารฉับพลันเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ (War Room for Combatting Cyber Scam Syndicate) ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย โดยประเทศไทยจะเป็นผู้นำและศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยน ข้อมูล เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติงานร่วมกันในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา เมียนมา และลาว การค้นเครือข่ายของนายก๊ก อาน ชาวกัมพูชา
จากปฏิบัติการครั้งนี้ได้เข้าค้นเครือข่าย “ก๊ก อาน” รวม 20 จุดใน 3 จังหวัด (กรุงเทพฯ สมุทรปราการและชลบุรี) สามารถอายัดเงินสด 27 ล้านบาท รถยนต์หรู และเอกสารสำคัญ ยึดทรัพย์รวมมูลค่า กว่า 1,000 ล้านบาท และจะดำเนินการขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ที่มีส่วนร่วมในขบวนการนี้ทั้งหมด
10 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพิจิตรว่า ที่วัดท่าหลวง พระอารามหลวง อำเภอเมืองพิจิตร นางสาวธนียา นัยพินิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร นายกิตติพล เวชกุล รองผู้ราชการจังหวัดพิจิตร นำส่วนราชการจังหวัดพิจิตร จัดกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา ทำบุญตักบาตร เนื่องจากเป็นวันอาสาฬหบูชาและเทศกาลวันเข้าพรรษา ซึ่งเป็นวันพระใหญ่ 1 ปีมี 1 ครั้ง ที่ศาลาสภาบริหารคณะสงฆ์ วัดท่าหลวง พระอารามหลวง อ.เมือง พิจิตร รวมถึงประชาชนและนักท่องเที่ยวทั่วไปยังคงเข้าไปกราบไหว้ทำบุญ ถวายเทียนหลวงพ่อเพชรพระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองกันอย่างคึกคัก
โดยปกติวันพระใหญ่เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา พระระดับชั้นผู้ใหญ่รายหนึ่งในจังหวัดพิจิตร ที่มีรายชื่อเกี่ยวข้องกับสีกา กอล์ฟ จะต้องขึ้นศาลาเทศน์สอนธรรมะให้ญาติโยมแต่กลับหายตัวไป หลังจากที่มีกระแสข่าวว่าในช่วงนี้ นี้ในวงการพระสงฆ์และพระระดับท่านเจ้าคุณไปจนถึงระดับพระเทพตกเป็นข่าวฉาวพัวพันกับสีกากอล์ฟ หญิงสาวชาว อ.สากเหล็ก จ.พิจิตร โดยมีการพาดพิงกล่าวใส่ร้ายพระผู้ใหญ่ระดับสูงของ จ.พิจิตร ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มของพระสงฆ์ที่เข้าไปพัวพันกับสีกาคนดังกล่าวใน
ทางด้านนายคม ภัทรกุลประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า หลังจากที่มีข่าวออกมาว่าพระผู้ใหญ่จังหวัดพิจิตรนั้น มีรายซื่อเกี่ยวข้องกับสีกากอล์ฟนั้น เรื่องนี้ผมเองยังพูดไม่ได้เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานข้อมูลอะไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ การที่จะเข้าไปตรวจสอบหรือดำเนินการจะต้องมีหลักฐาน มีข้อมูลชัดเจน เพื่อจะนำไปถวาย กับเจ้าคณะปกครองเพื่อ ให้ท่านพิจารณาตามอำนาจหน้าที่
'แต่ตอนนี้ ผมเองยังไม่มีข้อมูลอะไร ผมเองก็อยากได้ข้อมูลเพื่อจะได้ดำเนินการให้เด็ดขาด ซึ่งก่อนหน้านี้ทางท่านสำนักงานพุทธศาสนา ให้ข้อมูลกับสื่อว่าหากท่าน พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตรวจสอบมีหลักฐานที่พระ ทำผิดวินัยผิดกฎหมาย ก็ขอให้ส่งมาทางสำนักพุทธศาสนาเพื่อจะได้นำถวายพระฝ่ายปกครองแต่ตอนนี้ จังหวัดพิจิตรยังไม่พบอะไร ยังไม่ได้รับข้อมูลอะไร ซึ่งกำลังรอหลักฐานจาก ทางสอบสวนกลาง'
จากการสอบถามประชาชนที่ไปทำบุญ พูดกันเป็นเสียงเดียวว่า การออกมาทำบุญกราบไห้หลวงพ่อเพชร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองพิจิตร เพื่อเป็นสิริมงคล ไม่ได้มาไหว้พระผู้ใหญ่ที่ตกเป็นข่าว
นอกจากนี้ประชาชนชาวจังหวัดพิจิตรอยากให้พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง อยากให้มาตรวจสอบเส้นทางการเงิน ของพระระดับชันผู้ใหญ่เพื่อความขาวสะอาดของวัด
10 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพิจิตรว่า ที่วัดท่าหลวง พระอารามหลวง อำเภอเมืองพิจิตร นางสาวธนียา นัยพินิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร นายกิตติพล เวชกุล รองผู้ราชการจังหวัดพิจิตร นำส่วนราชการจังหวัดพิจิตร จัดกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา ทำบุญตักบาตร เนื่องจากเป็นวันอาสาฬหบูชาและเทศกาลวันเข้าพรรษา ซึ่งเป็นวันพระใหญ่ 1 ปีมี 1 ครั้ง ที่ศาลาสภาบริหารคณะสงฆ์ วัดท่าหลวง พระอารามหลวง อ.เมือง พิจิตร รวมถึงประชาชนและนักท่องเที่ยวทั่วไปยังคงเข้าไปกราบไหว้ทำบุญ ถวายเทียนหลวงพ่อเพชรพระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองกันอย่างคึกคัก
โดยปกติวันพระใหญ่เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา พระระดับชั้นผู้ใหญ่รายหนึ่งในจังหวัดพิจิตร ที่มีรายชื่อเกี่ยวข้องกับสีกา กอล์ฟ จะต้องขึ้นศาลาเทศน์สอนธรรมะให้ญาติโยมแต่กลับหายตัวไป หลังจากที่มีกระแสข่าวว่าในช่วงนี้ นี้ในวงการพระสงฆ์และพระระดับท่านเจ้าคุณไปจนถึงระดับพระเทพตกเป็นข่าวฉาวพัวพันกับสีกากอล์ฟ หญิงสาวชาว อ.สากเหล็ก จ.พิจิตร โดยมีการพาดพิงกล่าวใส่ร้ายพระผู้ใหญ่ระดับสูงของ จ.พิจิตร ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มของพระสงฆ์ที่เข้าไปพัวพันกับสีกาคนดังกล่าวใน
ทางด้านนายคม ภัทรกุลประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า หลังจากที่มีข่าวออกมาว่าพระผู้ใหญ่จังหวัดพิจิตรนั้น มีรายซื่อเกี่ยวข้องกับสีกากอล์ฟนั้น เรื่องนี้ผมเองยังพูดไม่ได้เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานข้อมูลอะไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ การที่จะเข้าไปตรวจสอบหรือดำเนินการจะต้องมีหลักฐาน มีข้อมูลชัดเจน เพื่อจะนำไปถวาย กับเจ้าคณะปกครองเพื่อ ให้ท่านพิจารณาตามอำนาจหน้าที่
'แต่ตอนนี้ ผมเองยังไม่มีข้อมูลอะไร ผมเองก็อยากได้ข้อมูลเพื่อจะได้ดำเนินการให้เด็ดขาด ซึ่งก่อนหน้านี้ทางท่านสำนักงานพุทธศาสนา ให้ข้อมูลกับสื่อว่าหากท่าน พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตรวจสอบมีหลักฐานที่พระ ทำผิดวินัยผิดกฎหมาย ก็ขอให้ส่งมาทางสำนักพุทธศาสนาเพื่อจะได้นำถวายพระฝ่ายปกครองแต่ตอนนี้ จังหวัดพิจิตรยังไม่พบอะไร ยังไม่ได้รับข้อมูลอะไร ซึ่งกำลังรอหลักฐานจาก ทางสอบสวนกลาง'
จากการสอบถามประชาชนที่ไปทำบุญ พูดกันเป็นเสียงเดียวว่า การออกมาทำบุญกราบไห้หลวงพ่อเพชร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองพิจิตร เพื่อเป็นสิริมงคล ไม่ได้มาไหว้พระผู้ใหญ่ที่ตกเป็นข่าว
นอกจากนี้ประชาชนชาวจังหวัดพิจิตรอยากให้พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง อยากให้มาตรวจสอบเส้นทางการเงิน ของพระระดับชันผู้ใหญ่เพื่อความขาวสะอาดของวัด
10 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุสะพานกัมภิระ สะพานเก่าแก่สร้างมาแล้วกว่า 40 ปี ในรัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดีย เกิดการพังถล่มตรงส่วนกลางสะพาน ทำให้รถยนต์ รถบรรทุก ร่วงตกลงไปในแม่น้ำมหิสาคร ภาพจากที่เกิดเหตุแสดงให้เห็นรถบรรทุกน้ำมัน ติดค้างอยู่ตรงขอบสะพานที่ถล่มขณะที่อีกหลายคันตกลงไปในน้ำ
เจ้าหน้าที่กู้ภัย เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่พื้นที่นี้ประสบกับฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ขณะที่สะพานแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่ปี 2528 หรือประมาณ 40 ปีแล้ว เบื้องต้นสามารถช่วยเหลือผู้ประสบเหตุที่ตกลงไปในแม่น้ำขึ้นมาได้ 8 คน และพบผู้เสียชีวิคอย่างน้อย 9 ศพ โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ขับขี่ และผู้โดยสารจาก รถบรรทุก 2 คัน และ รถสามล้อ ที่ร่วงลงสู่แม่น้ำด้านล่าง
นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้เสียชีวิตและครอบครัว โดยระบุว่านับเป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้าใจอย่างมาก
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012