ข่าว
รบ.ทหาร‘เมียนมา’ไม่ต่ออายุสถานการณ์ฉุกเฉิน เตรียมพร้อมเลือกตั้งอีก6เดือนข้างหน้า

31 ก.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Myanmar forms interim government before election but top general still in charge ระบุว่า กองทัพเมียนมาได้โอนอำนาจให้แก่รัฐบาลรักษาการที่นำโดยพลเรือนในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ก่อนการเลือกตั้งที่วางแผนไว้ โดยผู้นำคณะรัฐประหารยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการ โดยสื่อของรัฐรายงานว่าพระราชกฤษฎีกาที่ให้อำนาจแก่กองทัพหลังการรัฐประหารในปี 2564 ถูกยกเลิก และได้มีการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการขึ้น พร้อมกับคณะกรรมการพิเศษเพื่อกำกับดูแลการเลือกตั้ง

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ได้ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อสถานะเดิมในเมียนมา โดยหัวหน้าคณะรัฐประหาร มิน อ่อง หล่าย (Min Aung Hlaing) ยังคงรักษาอำนาจสำคัญๆ ไว้ได้ในฐานะประธานาธิบดีรักษาการ ขณะที่ยังคงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด

ซอ มิน ตุน (Zaw Min Tun) โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศที่บังคับใช้มาตั้งแต่การรัฐประหาร ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ต่ออายุการประกาศดังกล่าวมา 7 ครั้ง และครั้งล่าสุดมีกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ขณะนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งประธานาธิบดีรักษาการและผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้กล่าวว่า ในห้วงเวลา 6 เดือนข้างหน้านี้จะเป็นช่วงที่เหมาะสมในการเตรียมความพร้อมสู่การจัดการเลือกตั้ง

เมียนมาตกอยู่ในความโกลาหลนับตั้งแต่การรัฐประหารต่อต้านรัฐบาลพลเรือนที่ได้รับการเลือกตั้งของ อองซานซูจี (Aung San Suu Kyi) ซึ่งทำให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) แห่งนี้เข้าสู่สงครามกลางเมือง โดยกองทัพรัฐบาลทหารต่อสู้เพื่อปราบปรามกองกำลังฝ่ายต่อต้าน และถูกกล่าวหาว่ากระทำความโหดร้ายทารุณอย่างกว้างขวาง ซึ่งกองทัพรัฐบาลทหารปฏิเสธ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชาติตะวันตกมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเพียงการหลอกลวงเพื่อยึดอำนาจของนายพล และคาดว่าจะถูกครอบงำโดยตัวแทนของกองทัพ โดยกลุ่มฝ่ายค้านจะถูกห้ามลงสมัครหรือปฏิเสธที่จะเข้าร่วม ซึ่ง เดวิด มาธีสัน (David Mathieson) นักวิเคราะห์อิสระที่มุ่งเน้นเมียนมา กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงอำนาจเป็นเพียงการเสริมแต่ง และผู้ที่มีอำนาจจะยังคงใช้อำนาจในทางมิชอบและกดขี่ต่อไป พวกเขากำลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างเดิมและเรียกชื่อรัฐบาลใหม่ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการเลือกตั้งซึ่งเราไม่ทราบมากนัก

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ผลกระทบของสงครามกลางเมืองต่อการเลือกตั้งที่วางแผนไว้ยังคงไม่ชัดเจน ในปี 2567 รัฐบาลทหารได้จัดทำสำมะโนประชากรทั่วประเทศเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่กลับสามารถดำเนินการได้เพียง 145 เมือง จากทั้งหมด 330 เมืองในเมียนมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการขาดการควบคุมพื้นที่บางส่วนของประเทศ

ในการประชุมเจ้าหน้าที่กลาโหมเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2568 มินอ่องหล่าย กล่าวว่า การเลือกตั้งจะจัดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ในเดือน ธ.ค. 2568 – ม.ค. 2569 เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคง ทั้งนี้ มีรายงานว่า จะมีการประกาศกฎอัยการศึกและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกว่า 60 เมือง ครอบคลุม 9 ภูมิภาคและรัฐ เนื่องจากภัยคุกคามจากความรุนแรงและการก่อความไม่สงบ โดยหลายแห่งอยู่ในพื้นที่ชายแดนที่กองทัพกำลังเผชิญกับการต่อต้านอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนจากกองกำลังฝ่ายต่อต้าน

กองทัพได้ให้เหตุผลว่าการรัฐประหารในปี 2564 เป็นสิ่งจำเป็นในการแทรกแซง หลังจากที่กองทัพระบุว่ามีการทุจริตอย่างกว้างขวางในการเลือกตั้งเมื่อ 3 เดือนก่อนหน้านั้น ซึ่งพรรครัฐบาลของซูจีซึ่งปัจจุบันได้ยุบพรรคไปแล้วชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด แต่ผู้ตรวจสอบการเลือกตั้งไม่พบหลักฐานการทุจริตที่จะเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งได้

รายงานโดยองค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) ที่เผยแพร่เมื่อเดือน ม.ค. 2568 ระบุว่า กองทัพรัฐบาลทหารเมียนมาได้สังหารประชาชนไปแล้วกว่า 6,000 ราย และควบคุมตัวโดยพลการกว่า 20,000 คนนับตั้งแต่การรัฐประหาร อีกทั้งประชาชนมากกว่า 3.5 ล้านคนต้องพลัดถิ่นภายในประเทศ ซึ่งกองทัพรัฐบาลทหารได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลบิดเบือนจากชาติตะวันตก

อีกด้านหนึ่ง ในวันที่ 31 ก.ค. 2568 กระทรวงการต่างประเทศของจีน ออกแถลงการณ์ระบุว่า จีนสนับสนุนเส้นทางการพัฒนาของเมียนมาสอดคล้องกับสภาพการณ์ของประเทศและความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของเมียนมาในวาระทางการเมืองภายในประเทศ

ขอบคุณเรื่องจาก

https://www.reuters.com/world/asia-pacific/myanmar-forms-

สึนามิเข้าชายฝั่งตะวันออกไกลรัสเซีย หลังเกิดแผ่นดินไหวระดับ 8.7

ทางการรัสเซียเผย คลื่นสึนามิสูง 3-4 ม. พัดเข้าสู่ชายฝั่งทางตะวันออกไกลแล้ว หลังเกิดแผ่นดินไหวระดับ 8.7 เบื้องต้นไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ

ทางการรัสเซียรายงานในช่วงเช้าวันพุธที่ 30 ก.ค. 2568 ว่า เกิดแผ่นดินไหวความรุนแรงระดับ 8.7 นอกชายฝั่งคาบสมุทรคัมชัตกา ทางตะวันออกไกลของประเทศ และแรงสั่นสะเทือนกำลังสร้างคลื่นสึนามิสูงสุด 4 เมตร ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องประกาศเตือนภัยและสั่งอพยพพื้นที่ชายฝั่ง

นายวลาดิเมียร์ โซโลดอฟ ผู้ว่าการแคว้นคัมชัตกา กล่าวผ่านวิดีโอซึ่งโพสต์ผ่านแอปเทเลแกรม ว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงและร้ายแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยข้อมูลเบื้องต้นในตอนนี้ยังไม่พบผู้บาดเจ็บ แต่มีโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งได้รับความเสียหาย

ด้านนายเซอร์เก เลเบเดฟ รัฐมนตรีสถานการณ์ฉุกเฉินประจำแคว้นคัมชัตการะบุว่า ตรวจพบคลื่นสึนามิความสูงประมาณ 3-4 ม. เข้าสู่ชายฝั่งบางจุดของแคว้น และเรียกร้องให้ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่ชายฝั่ง

ทั้งนี้ ตามรายงานของสำนักสำรวจธรณีวิทยาแห่งชาติ (USGS) ของสหรัฐฯ แผ่นดินไหวครั้งนี้มีความลึกเพียง 19.3 กม.เท่านั้น โดยจุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมืองเปโตรปาฟลอฟสก์-คัมชัตสกี (Petropavlovsk-Kamchatsky) ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งอ่าวอาวาชา เบย์ (Avacha Bay) ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 125 กม.

ด้านสำนักงานสภาพอากาศญี่ปุ่นอัปเดตการเตือนภัย ระบุว่า คาดว่าคลื่นสึนามิสูงสุด 3 ม. จะมาถึงพื้นที่ชายฝั่งหลายจุดของประเทศ เริ่มตั้งแต่ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งรัฐบาลออกคำสั่งอพยพในบางพื้นที่แล้ว

ระบบเตือนภัยสึนามิแปซิฟิกของสหรัฐฯ ก็ออกคำเตือนว่าอาจเกิด “คลื่นสึนามิอันตราย” ภายใน 3 ชั่วโมงข้างหน้า ตามแนวชายฝั่งบางจุดของรัสเซีย, ญี่ปุ่น และรัฐฮาวายของสหรัฐฯ คำสั่งเฝ้าระวังสึนามิยังส่งผลที่เกาะกวม และหมู่เกาะไมโครนีเซีย

อนึ่ง หลังเกิดสึนามิระดับ 8.7 ก็เกิดอาฟเตอร์ช็อกความรุนแรงสูงถึงระดับ 6.9 และ 6.3 นอกจากนั้นยังมีอาฟเตอร์ช็อกระดับ 5.4-5.8 ตามมาอีกหลายครั้ง

ที่มา : cnbc


รอยเตอร์สเปิดโปง ฮุนเซน คือผู้อยู่เบื้องหลังความขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา

สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดประวัติ ฮุนเซน เคยเป็นอดีตนักรบกองโจร พร้อมชี้ฮุน เซนอยู่เบื้องหลังคำสั่งเปิดฉากรุกรานประเทศไทย และสั่งโจมตีโรงเรียน โรงพยาบาลและบ้านเรือนชาวไทย เพื่อปลุกกระแสชาตินิยม

สำนักข่าวรอยเตอร์เขียนบทความเกี่ยวกับบทบาทของฮุน เซน ต่อเหตุปะทะกันระหว่างกัมพูชา และไทย โดยระบุว่าหลังเกิดความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชาปะทุขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน เซน ก็ปรากฏตัวขึ้นในฐานะผู้นำอีกครั้งแม้ว่าเขาจะส่งต่ออำนาจให้แก่ฮุน มาเนตบุตรชายแล้วก็ตาม

ภาพถ่ายแสดงให้เห็นเขานั่งอยู่ที่ปลายโต๊ะยาว พูดคุยกับนายทหาร ขณะกำลังพิจารณาแผนที่อย่างละเอียด โดยมีวิทยุสื่อสารอยู่ในมือ และแก้วกาแฟ สตาร์บัควางอยู่ใกล้ตัว

อดีตนักรบกองโจรผู้นี้ไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำกัมพูชาแล้ว หลังส่งมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับบุตรชายคนโตในปี 2023 หลังจากที่เขาครองอำนาจมายาวนานเกือบ 40 ปี โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาของประเทศกัมพูชา

อย่างไรก็ตาม ฮุน เซน มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ที่นำไปสู่การปะทะกันซึ่งถือว่าเป็น เหตุการณ์สู้รบที่รุนแรงที่สุดระหว่างไทยและกัมพูชาในรอบกว่า 10 ปี และตามรายงานของแหล่งข่าวทางการทูต 3 ราย ฮุน เซน ยังคงแสดงอิทธิพลอย่างชัดเจนตลอดช่วงเวลา 5 วันที่เกิดความขัดแย้ง

เมื่อวันศุกร์ หลังจากที่กระสุนปืนใหญ่ที่ยิงมาจากฝั่งกัมพูชาตกลงในพื้นที่พลเรือนในจังหวัดชายแดนของไทย กองทัพไทยก็หันเป้าโจมตีไปที่เขาโดยตรง

โดยกองทัพไทยกล่าวในแถลงการณ์ว่า หลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้ เชื่อว่ารัฐบาลกัมพูชา ภายใต้การนำของฮุน เซน อยู่เบื้องหลังการโจมตีอันน่าตกตะลึงเหล่านี้

เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังการปะทะเริ่มต้นขึ้น ฮุน เซน วัย 72 ปี ก็เริ่มโพสต์ข้อความต่อเนื่องบนเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียโปรดของเขา เพื่อระดมความสนับสนุนจากประชาชนให้โจมตีประเทศไทย

ในภาพหนึ่งที่เขาโพสต์ ฮุน เซน ปรากฏตัวในการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับบุคคลจำนวนหนึ่ง รวมถึงทหารหลายราย ขณะที่อีกภาพหนึ่ง เขาสวมชุดลายพรางทหาร

นักการทูตคนหนึ่งซึ่งประจำอยู่ในกัมพูชากล่าวกับรอยเตอร์โดยขอไม่เปิดเผยชื่อระบุว่า "สิ่งที่น่าจับตามองเกี่ยวกับเหตุปะทะบริเวณชายแดน คือระดับที่เขาใช้สร้างภาพลักษณ์ว่าตนเองเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ ทั้งการใส่เครื่องแบบ การถูกมองว่าเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวของทหาร และการแทรกแซงผ่านเฟซบุ๊ก

ลิม เม็งเฮาร์ เจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชาที่ทำงานด้านนโยบายต่างประเทศ กล่าวว่า ฮุน เซน ทำหน้าที่เป็น ผู้บัญชาการด้านโลจิสติกส์หลักของกองกำลังแนวหน้า โดยติดตามและเฝ้าสังเกตสถานการณ์มาโดยตลอด

ในทางตรงกันข้ามกับบิดาของเขา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของกัมพูชา ฮุน มาเนต ซึ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ของสหรัฐฯ ยังคงไม่เคลื่อนไหวบนโซเชียลมีเดียในช่วงต้นของความขัดแย้ง ก่อนจะปรับท่าทีในภายหลัง ขณะเตรียมเดินทางไปมาเลเซียเพื่อเจรจาซึ่งนำไปสู่การตกลงหยุดยิง

ชัย โสภัล นักเขียนในพนมเปญผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับฮุน เซน และครอบครัว กล่าวว่า อดีตผู้นำผู้นี้สามารถสั่งการรัฐบาลได้ในฐานะประธานพรรคประชาชนกัมพูชา ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ดังนั้น นายกรัฐมนตรีก็จำเป็นต้องเคารพและปฏิบัติตามนโยบายของพรรคและประธานพรรค

ไทยและกัมพูชาได้ถกเถียงกันมานานหลายทศวรรษเกี่ยวกับพื้นที่ตามแนวชายแดนทางบกที่ยังไม่ถูกกำหนดแนวเขตชัดเจนตลอดระยะทาง 817 กิโลเมตร ซึ่งเคยนำไปสู่การสู้รบมาแล้วในอดีต

ความตึงเครียดล่าสุดเริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤษภาคม หลังทหารกัมพูชารายหนึ่งถูกสังหารระหว่างเหตุปะทะ และได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ นับแต่นั้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่นายกรัฐมนตรีไทย แพทองธาร ชินวัตร พยายามคลี่คลายโดยการพูดคุยโดยตรงกับฮุน เซน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน

เสียงบางส่วนของการสนทนาถูกนำมาเผยแพร่ในตอนแรก ซึ่งได้ยินว่าแพทองธาร วัย 38 ปี วิจารณ์นายพลไทยคนหนึ่งและแสดงความนอบน้อมต่อฮุน เซน ต่อมาฮุน เซน ได้เผยแพร่เสียงบันทึกฉบับเต็มของการสนทนาดังกล่าว นำไปสู่ วิกฤตการเมืองในประเทศไทย

ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ยาวสามชั่วโมงในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ฮุน เซน กล่าวตำหนิแพทองธารอย่างเปิดเผยต่อการจัดการปัญหาเขตแดน และยังโจมตีอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาของเธอ ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นพันธมิตรของเขามาอย่างยาวนาน

ฮุน เซน เป็นนักการเมืองมากประสบการณ์ ที่รอดชีวิตจากความปั่นป่วนของการเมืองกัมพูชา และความเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดช่วงกว่า 50 ปีที่ผ่านมา

เขาเกิดในครอบครัวชาวนาในจังหวัดที่เคยถูกสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดอย่างหนักในช่วงสงครามลับในกัมพูชาและลาว ก่อนจะกลายเป็นทหารของเขมรแดง ซึ่งเป็นระบอบที่เข่นฆ่าประชาชนกัมพูชากว่า 1 ใน 4 ระหว่างปี 1975–1979

แต่เขาแปรพักตร์ไปอยู่กับเวียดนามในปี 1977 และเมื่อเวียดนามโค่นล้มระบอบเขมรแดง ฮุน เซน ก็กลับมากัมพูชาในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศ และต่อมาได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

เขาถือเป็นผู้นำที่สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับกัมพูชา โดยรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประเทศเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าจาก 240 ดอลลาร์ เป็น 1,000 ดอลลาร์ ระหว่างปี 1993 ถึง 2013

อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งส่วนใหญ่กลับตกอยู่ในมือชนชั้นนำของประเทศ ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองถูกจับกุมหรือเนรเทศ สื่อที่วิจารณ์รัฐบาลถูกปิด และเสียงวิจารณ์จากประชาชนถูกปราบปราม เปิดทางให้ฮุน มาเนต สืบทอดอำนาจต่อ แต่การตัดสินใจด้านนโยบายภายในประเทศบางประการก็ยังต้องนำเสนอต่อฮุน เซน เพื่อให้เขาอนุมัติ ตามข้อมูลจากนักการทูตประจำภูมิภาคที่มีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่กัมพูชา

ขณะนี้ ความขัดแย้งชายแดนยิ่งทำให้เห็นอิทธิพลของเขาชัดเจนขึ้น และเกิดกระแสสนับสนุนรัฐบาลอย่างล้นหลามบนโซเชียลมีเดีย ท่ามกลางกระแสชาตินิยมที่เพิ่มขึ้น

"ไม่มีใครแปลกใจที่เขาจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในสถานการณ์นี้ ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า ทุกคนรู้ดีว่าเขายังมีอำนาจ และถ้าเป้าหมายคือการปลุกกระแสชาตินิยม เขาก็ทำสำเร็จแล้ว" นักการทูตอีกรายที่ประจำอยู่ในกัมพูชากล่าว.

ที่มา : รอยเตอร์ส


น้ำท่วม “บ้านพักคนชรา” ผู้สูงอายุดับ 31 ศพ ยอดสังเวยอุทุกภัยในปักกิ่งพุ่ง 44 ราย...

บีบีซี รายงานวันที่ 1 ส.ค. ถึงความคืบหน้าสถานการณ์ น้ำท่วมรุนแรง ในพื้นที่กรุงปักกิ่งและรอบๆ เมืองหลวงของ ประเทศจีน หลังฝนตกหนักช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า...

เจ้าหน้าที่พบผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 31 รายที่บ้านพักคนชราในเขตหมี่หยุน ชานเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง และส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยในกรุงปักกิ่งเพิ่มขึ้นเป็น 44 ราย โดยผู้เสียชีวิตจำนวนมากที่บ้านพักคนชราเขตหมี่หยุนเป็นผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

ทางการท้องถิ่นยอมรับว่ามีช่องโหว่ในการวางแผนรับมือเหตุฉุกเฉินและว่าเหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนอันเจ็บปวด ขณะที่สื่อจีนรายงานด้วยว่าบ้านพักคนชราแห่งนี้เน้นการดูแลผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ที่ได้รับ...

วันที่ 29 ก.ค. บีบีซี รายงานสถานการณ์ภัยพิบัติในพื้นที่ตอนเหนือของ ประเทศจีน หลังฝนตกหนักต่อเนื่องช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดน้ำท่วมสูงเป็นบริเวณกว้างในกรุงปักกิ่งซึ่งมียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นอย่างน้อย 30 ราย...

ขณะที่ทางการประกาศเตือนภัยน้ำท่วมฉุกเฉินระดับสูงสุดและอพยพประชาชนกว่า 80,000 คน รายงานยังระบุว่าหมู่บ้าน 130 แห่งประสบปัญหาไม่มีไฟฟ้าใช้และถนนหลายสิบสายถูกตัดขาด

ส่งผลให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบากเจ้าหน้าที่ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์เคลื่อนย้ายชาวบ้านที่ยังตกค้างในพื้นที่น้ำท่วมสูง รวมถึงนำสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปแจกจ่าย...

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เรียกร้องให้เร่งค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหายจากน้ำท่วมอย่างเต็มกำลัง “ไม่ควรละเลยความพยายามใดๆ ในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ที่สูญหายหรือติดอยู่ในพื้นที่ ย้ายผู้ประสบภัยออกจากพื้นที่ได้รับผลกระทบ และลดจำนวนผู้บาดเจ็บให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

นอกจากนี้ประธานาธิบดีสียังขอให้ทุกฝ่ายเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดและรุนแรงที่สุด สื่อรัฐบาลรายงานด้วยว่าทางการได้จัดสรรงบประมาณ 200 ล้านหยวน (หรือกว่า 903 ล้านบาท) สำหรับการฟื้นฟู โดยเงินจำนวนนี้จะนำไปใช้ในการซ่อมแซมระบบคมนาคมขนส่งที่เสียหาย การอนุรักษ์น้ำ การแพทย์ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ

ประกาศ "กฎอัยการศึก" 63 เมือง! "เมียนมา" ตั้งรัฐบาลรักษาการ แต่ "มิน อ่อง หล่าย" ยังกุมอำนาจ

เมื่อวันที่ 1 ส.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า รัฐบาลทหารเมียนมา ประกาศปรับโครงสร้างการปกครองครั้งสำคัญเมื่อวันพฤหัสบดี (31 ก.ค.) โดยจัดตั้ง "รัฐบาลรักษาการ" ที่นำโดยพลเรือน และยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศที่บังคับใช้มาตั้งแต่การก่อรัฐประหารเมื่อปี 2564

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกมองว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงในเชิงสัญลักษณ์ เนื่องจาก พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ยังคงกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในฐานะรักษาการประธานาธิบดี ควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า สภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติ (NDSC) ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ 63 เมืองก่อนจะประกาศใช้กฎอัยการศึกตามมาทันที ครอบคลุม 9 รัฐและเขตการปกครอง โดยให้เหตุผลว่าเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากความรุนแรงและการก่อความไม่สงบ ซึ่งจำเป็นต่อการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยและหลักนิติธรรม ก่อนการเลือกตั้งที่วางแผนไว้

ภายใต้กฎอัยการศึกซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 90 วัน อำนาจฝ่ายบริหารและตุลาการในเมืองดังกล่าวจะถูกโอนไปอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดยตรง พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่อยู่ในเขตชายแดนที่กองทัพกำลังเผชิญการต่อต้านอย่างหนักจากกลุ่มชาติพันธุ์และกองกำลังฝ่ายต่อต้าน อาทิ รัฐยะไข่ (14 เมือง) รัฐฉาน (15 เมือง) และภาคสะกาย (9 เมือง)

ซอ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลทหารกล่าวว่า ช่วงเวลา 6 เดือนข้างหน้าคือช่วงเตรียมการเพื่อจัดการเลือกตั้ง ซึ่งพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ระบุว่าจะจัดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ช่วงเดือนธ.ค. และม.ค. ที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตาม แผนการเลือกตั้งยังคงเผชิญกับความท้าทายใหญ่หลวง สะท้อนจากการจัดทำสำมะโนประชากรเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งรัฐบาลสามารถดำเนินการได้เพียง 145 เมือง จากทั้งหมด 330 เมืองทั่วประเทศ แสดงให้เห็นถึงการขาดการควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ

นักวิเคราะห์และรัฐบาลชาติตะวันตกต่างมองว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นเพียงเรื่องเปลือกนอก และการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงเป็นเพียง "ละครฉากหนึ่ง" เพื่อสร้างความชอบธรรมและตอกย้ำอำนาจของกองทัพ โดยกลุ่มการเมืองฝ่ายค้านส่วนใหญ่จะถูกตัดสิทธิ์หรือปฏิเสธที่จะเข้าร่วม

เดวิด เมธีสัน นักวิเคราะห์อิสระด้านเมียนมา กล่าวว่า "เป็นเพียงการสลับตำแหน่งตัวละครเดิม ๆ แล้วตั้งชื่อระบอบการปกครองใหม่ นี่คือส่วนหนึ่งของการเตรียมเลือกตั้งที่เรายังแทบไม่รู้อะไรเลย"

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของจีนแสดงท่าทีสนับสนุน "แนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับสภาพการณ์ของเมียนมา" แต่สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมยังคงน่ากังวล โดยรายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า นับตั้งแต่การรัฐประหาร มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 6,000 คน ถูกควบคุมตัวโดยพลการกว่า 20,000 คน และมีผู้พลัดถิ่นในประเทศกว่า 3.5 ล้านคน ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่กองทัพเมียนมาปฏิเสธมาโดยตลอด โดยอ้างว่าเป็นการให้ข้อมูลบิดเบือนจากชาติตะวันตก