ข่าว
ร้านเสริมสวย-ร้านทำผม ทั่วอัฟกานิสถานปิดถาวร

เจ้าของร้านเสริมสวยและร้านทำผมหลายแห่งในกรุงคาบูล เริ่มเก็บข้าวของแกะแผ่นโฆษณาที่ติดบริเวณด้านหน้าร้านออก เพื่อเตรียมปิดกิจการเป็นการถาวร เช่นเดียวกับร้านเสริมสวยทั่วประเทศที่จำเป็นต้องเลิกกิจการ หลังจากกระทรวงส่งเสริมศีลธรรมและป้องกันสิ่งชั่วร้ายของอัฟกานิสถาน มีคำสั่งเมื่อปลายเดือนมิถุนายนให้ร้านเสริมสวยทุกแห่งทั่วประเทศปิดร้านภายในวันที่ 25 กรกฎาคม ให้เหตุผลว่าเงินที่ใช้จ่ายไปกับการเสริมสวยเป็นภาระให้แก่ครอบครัวยากจน และการเสริมสวยบางอย่างขัดต่อหลักศาสนา กระทรวงระบุว่า การแต่งหน้ามากเกินไปเป็นอุปสรรคต่อการชำระล้างก่อนละหมาด และได้ห้ามการต่อขนตาและการทอผมด้วย

ร้านเสริมสวยผุดขึ้นทั่วกรุงคาบูลและหลายเมืองในอัฟกานิสถานตลอดช่วง 20 ปี ที่กองกำลังนานาชาตินำโดยสหรัฐฯ เข้ายึดครองอัฟกานิสถาน โดยเป็นทั้งสถานที่พบปะสังสรรค์และแหล่งทำมาหากินของบรรดาผู้หญิง หอการค้าและอุตสาหกรรมสตรีอัฟกานิสถานประเมินว่า คำสั่งปิดร้านเสริมสวย 12,000 แห่งเป็นการถาวรจะทำให้ผู้หญิงกว่า 60,000 คนสูญเสียรายได้ สัปดาห์ที่แล้ว ทางการได้ยิงปืนขึ้นฟ้าและใช้สายดับเพลิงฉีดสลายกลุ่มผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่ชุมนุมประท้วงคำสั่งปิดร้านเสริมสวย

บรรดาเจ้าของกิจการร้านเสริมสวยและร้านทำผม บอกว่าปลงกับชีวิต เคยผ่านเรื่องราวแบบนี้มาแล้วสมัยตาลีบันเรืองอำนาจเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้ง อีกคนบอกว่าขอเรียกร้องให้ตาลีบันเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงได้ทำมาหากินบ้าง เพราะผู้หญิงก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมอัฟกันเหมือนกับผู้ชาย

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ยึดอำนาจและตั้งตนขึ้นเป็นรัฐบาลในเดือนสิงหาคม 2021 รัฐบาลตาลีบันได้สั่งห้ามเด็กหญิงและสตรีไปโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ห้ามไปสวนสาธารณะ สวนสนุก สถานออกกำลังกาย และสั่งให้ต้องปกปิดร่างกายเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ รวมถึงต้องมีผู้ชายที่เป็นคนในครอบครัวอยู่ด้วยหากต้องเดินทางไกล

สมาคมทนายฯ ร่อนแถลงการณ์จี้'ก้าวไกล' เสียสละประเด็น 112 ให้ประเทศได้ไปต่อ

7 ก.ค.66 นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊ก “สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย” ระบุว่า ต้นเหตุแห่งความวุ่นวายทางการเมืองจนเกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนรอบใหม่ เกิดจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่ฝ่ายเผด็จการใช้เป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจ ผู้ที่สมควรถูกประณามคือหัวหน้า คสช. กับพวกและคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่ยอมรับใช้เผด็จการจนปฏิเสธความถูกต้องทำให้คนในชาติเกิดความขัดแย้ง

สาเหตุสำคัญที่สมาชิกรัฐสภาใช้เป็นข้ออ้าง ในการปฏิเสธไม่ให้ความเห็นชอบนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนายพิธาและพรรคก้าวไกลมีนโยบายที่จะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งตามร่างที่พรรคก้าวไกลเคยเสนอต่อสภามีลักษณะไม่เป็นการปกป้องหรือพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์อันอาจนำมาซึ่งความไม่มั่นคงของรัฐและกระทบถึงความสงบเรียบร้อยของประชาชน

แม้พรรคก้าวไกลและฝ่ายสนับสนุนจะเห็นว่าประเด็นการแก้ไขมาตรา 112 เป็นเพียงข้ออ้างแท้จริงแล้วฝ่ายที่ต้องการสืบทอดอำนาจไม่ต้องการให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล แต่หากพิจารณาจากจำนวน ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง จะเห็นว่ามีเพียงพรรคก้าวไกลที่มี ส.ส.151 คน หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 30 ที่ต้องการแก้ไข ในขณะที่ ส.ส.ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 70 ไม่ต้องการแก้ไข มาตรา 112 ซึ่งสมาคมทนายความฯ เห็นว่า การแก้ไขประเด็นดังกล่าวจะนำมาซึ่งความขัดแย้งในสังคมไทย พรรคก้าวไกลจึงควรเคารพเจตจำนงของประชาชนที่แสดงผ่าน ส.ส. ส่วนใหญ่ด้วยการเสียสละประเด็นการแก้ไขมาตรา 112 เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้

สมาคมทนายความฯ เห็นว่า หากพรรคก้าวไกลแถลงถึงความชัดเจนในการสละประเด็นการแก้ไขกฎหมายที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งของคนในชาติแล้ว ส.ว. ย่อมไม่มีเหตุอันชอบธรรมที่จะปฏิเสธไม่ให้ความเห็นชอบกับผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองที่รวบรวมเสียงข้างมากเป็นนายกรัฐมนตรี หาก ส.ว.ปฏิเสธไม่ให้ความเห็นชอบอันเป็นการฝืนมติของประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งแล้ว ประชาชนจะอยู่ข้างพรรคก้าวไกลกับพวก และจะกดดัน ส.ว.ให้ลงมติให้กับผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลก็ตาม แต่พรรคก้าวไกลจะต้องเสียสละประโยชน์ของพรรคเพื่อรักษาประโยชน์ที่เหนือกว่าคือ “ประโยชน์ของประเทศชาติ”


'บ.อนันดา'จ่อฟ้องหน่วยงานรัฐเรียกค่าเสียหาย 'แอชตันอโศก' ถูกถอนใบอนุญาต

วันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นให้เพิกถอนใบอนุญาตโครงการก่อสร้างอาคารชุดแอชตัน อโศก ซอยสุขุมวิท 21 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ บริษัทอนันดา เอ็ม เอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดำเนินโครงการได้โพสต์เอกสารชี้แจง ผ่านทางเพจของบริษัท โดยระบุว่าผลของคำพิพากษาที่เกิดขึ้น หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในความเสียหายอย่างไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ต่อเจ้าของร่วมอาคารชุดและบริษัทเพราะหากหน่วยงานราชการซึ่งมีอำนาจหน้าที่ไม่เห็นชอบและอนุมัติโครงการแล้ว โครงการนี้จะไม่สามารถก่อสร้างได้ตั้งแต่แรกซึ่งก็จะไม่เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง

โดยบริษัทฯจะเร่งรีบดำเนินการในการเรียกร้องค่าเสียหายกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อเยียวยาความเสียหายแก่เจ้าของอาคารชุดและบริษัทฯโดยเร็วรวมทั้งจะดำเนินการประสานงานกับคณะกรรมการนิติบุคคลแอชตัน อโศกและเจ้าของร่วม เพื่อขอเข้าพบว่าผู้ว่ากทมและผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เพื่อทวงถามความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นภายใน 14 วันนับจากวันนี้

ทั้งนี้ บริษัทฯยังได้ยืนยันว่าการทำโครงการแอชตัน อโศก ได้มีการตรวจสอบประเด็นทางกฎหมายรวมทั้งข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตต่างๆรวมถึงสภาพที่ดินของโครงการอย่างรอบคอบรัดกุม ผ่านการพิจารณาอนุมัติภายใต้การควบคุมจากหน่วยงานของรัฐไม่ต่ำกว่า 8 หน่วยงาน จึงเป็นที่ประจักษ์และยืนยันได้ว่าบริษัทได้ดำเนินการไปด้วยความสุจริตและชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดแจ้งแล้ว จึงขอเรียกร้องความเป็นธรรมจากภาคส่วนที่จะร่วมกันแก้ไขป้องกันมิให้ปัญหาที่เกิดขึ้นดังเช่นคดีนี้ได้เกิดขึ้นอีกและเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยเร็ว


สลด! ฝูงวาฬเกยตื้นที่ออสเตรเลีย ตายแล้ว 51 ตัว

27 ก.ค.66 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า วาฬนำร่องจำนวนมากเกยตื้นบนชายหาดเชย์เนส (Cheynes) ทางตะวันออกของเมืองออลบานี ประเทศออสเตรเลีย โดยมีวาฬตายแล้ว 51 ตัว ภายในชั่วข้ามคืนหลังจากเกยตื้น

ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมด้วย อาสาสมัครในเมืองเพิร์ท เมืองหลวงของรัฐเวสต์เทิร์น ออสเตรเลีย เร่งเข้าช่วยเหลือฝูงวาฬนำร่องเกือบ 100 ตัวที่มาเกยตื้นที่ชายหาดเชนีส ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็น โดยเจ้าหน้าที่สามารถช่วยวาฬกลับสู่ทะเลได้บางส่วน และยังพยายามช่วยวาฬที่ยังมีชีวิตรอด แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตวาฬอีก 51 ตัวไว้ได้

เมื่อวาฬเริ่มเกยตื้นบนชายฝั่ง เจ้าหน้าที่ด้านสัตว์ป่าก็ได้ออกปฏิบัติการฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิต

ทั้งนี้ ออสเตรเลียเคยเผชิญกับการเกยตื้นของฝูงวาฬนำร่องจำนวนมากถึง 230 ตัวบนชายฝั่งรัฐแทสเมเนียเมื่อปี 2565 และ 150 ตัวเกยตื้นในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียเมื่อปี 2561


‘ฮุน เซน’ เตรียมลาออก จากตำแหน่งนายกฯ กัมพูชา

พนมเปญ (เอเอฟพี/บีบีซี นิวส์) - นายกรัฐมนตรี ฮุน เซน เตรียมประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้นำประเทศ หลังครองอำนาจมาอย่างยาวนาน เพื่อเตรียมส่งมอบตำแหน่งต่อให้บุตรชายคนโต หลังพรรครัฐบาลของเขาชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันอาทิตย์แบบถล่มทลาย

ฮุน เซน วัย 70 ปี แถลงผ่านรายการพิเศษทางสถานีโทรทัศน์ที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศวานนี้ (26 ก.ค.) ว่า เขาขอให้ประชาชนกัมพูชาเข้าใจถึงความตั้งใจของเขาที่จะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะการอยู่ในตำแหน่งต่อไปหลังผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้วอาจส่งผลให้รัฐบาลใหม่ขาดเสถียรภาพ แต่เขาจะยังคงทำหน้าที่ผู้นำพรรคประชาชนกัมพูชา หรือซีพีพี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลต่อไป หลังจากพรรคซีพีพีของเขา คว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันอาทิตย์ ได้เสียงสนับสนุนร้อยละ 84.6 ได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 120 ที่นั่งจากทั้งหมด 125 ที่นั่ง นอกจากนี้ เขาจะยังดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา และทำหน้าที่ประมุขของประเทศ ในกรณีที่กษัตริย์ของกัมพูชาเสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศ

ฮุน เซน บอกด้วยว่า ฮุน มาเนต บุตรชายคนโตวัย 45 ปีซึ่งเป็นนายพล 4 ดาวแห่งกองทัพบก ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกด้วย และเตรียมเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนใหม่ต่อจากตัวเขา ในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ซึ่งเขาขอให้ประชาชนชาวกัมพูชาสนับสนุน ฮุน มาเนต ในฐานะนายกรัฐมนตรีและผู้นำประเทศคนใหม่ด้วย โดยก่อนหน้านี้ ในช่วงเช้าของวันพุธ ฮุน เซน ได้เดินทางไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี ที่พระราชวังในกรุงพนมเปญ เพื่อแจ้งข่าวการเตรียมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว

ฮุน เซน ดำรงตำแหน่งผู้นำกัมพูชามายาวนานตั้งแต่ปี 1985 และครองอำนาจบริหารประเทศแบบเบ็ดเสร็จ ด้วยการปราบปรามกลุ่มการเมืองฝ่ายค้านและบรรดาผู้เห็นต่างอย่างหนัก เห็นได้จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ ที่ทางการใช้ช่องทางกฎหมายสกัดกั้นพรรคแสงเทียน พรรคฝ่ายค้านที่เป็นคู่แข่งสำคัญ ไม่ให้ส่งผู้แทนลงชิงชัยในการเลือกตั้ง อ้างว่าส่งเอกสารการเลือกตั้งล่าช้า ส่งผลพรรคซีพีพีแทบไม่มีคู่แข่งในการเลือกตั้งจนคว้าชัยชนะอย่างไม่ยากเย็น

แม้รัฐบาลกัมพูชาจะอ้างว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ประสบความสำเร็จ และเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่ชาติตะวันตก รวมถึงสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป วิจารณ์การเลือกตั้งของกัมพูชาครั้งนี้ว่าไม่โปร่งใสและไม่ยุติธรรม ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนมองว่า การที่ ฮุน เซน ประกาศให้บุตรชายคนโตดำรงตำแหน่งต่อในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นเหมือนการส่งต่ออำนาจบริหารประเทศให้กับคนในครอบครัว ไม่ต่างจากระบอบในเกาหลีเหนือ

ประชากร‘ญี่ปุ่น’ยังลดลงต่อเนื่อง สวนทาง‘ชาวต่างชาติ’อาศัยในแดนอาทิตย์อุทัยมากขึ้น

วันที่ 26 กรกฎาคม 2566 สำนักข่าวรอยเตอร์ เสนอข่าว Japan's population falls while foreign residents rise to record อ้างการเปิดเผยของรัฐบาลญี่ปุ่น โดยกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร ระบุว่า จำนวนประชากรชาวญี่ปุ่นลดลงเป็นปีที่ 14 ประมาณ 800,000 คน เหลือ 122.42 ล้านคน ตามฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 1 ม.ค. 2566 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ภาวะสังคมสูงวัยของญี่ปุ่นกำลังรุนแรงขึ้นทั่วประเทศ และนับเป็นครั้งแรกที่จำนวนประชากรชาวญี่ปุ่นลดลงครบทั้ง 47 จังหวัด

ในทางกลับกัน ชาวต่างชาติกำลังมีบทบาทมากขึ้นในการชดเชยจำนวนประชากรชาวญี่ปุ่นที่ลดลง โดยจำนวนชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์เกือบ 3 ล้านคน จำนวนชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นอยู่ที่ 2.99 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 จากปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบเป็นรายปี นับตั้งแต่กระทรวงฯ เริ่มติดตามข้อมูลเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยสรุป ประชากรทั้งหมดของญี่ปุ่นลดลงเหลือ 125.42 ล้านคน ลดลงประมาณ 511,000 คน อนึ่ง ข้อมูล ณ วันที่ 1 ม.ค. 2563 ก่อนที่โลกจะเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น 2.87 ล้านคน

จำนวนประชากรของญี่ปุ่นลดลงทุกปีนับตั้งแต่จุดสูงสุดในปี 2551 เนื่องจากอัตราการเกิดที่ต่ำ ซึ่งแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 ซึ่งรัฐบาลแดนอาทิตย์อุทัยตั้งเป้าที่จะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ รวมถึงการจ้างผู้หญิงให้มากขึ้น โดย ฮิโรคาสุ มัตสึโนะ (Hirokazu Matsuno) หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กล่าวว่า เพื่อให้การจัดหาแรงงานมีความมั่นคง รัฐบาลจะส่งเสริมการปฏิรูปตลาดแรงงานเพื่อเพิ่มการจ้างงานสตรี ผู้สูงอายุ และอื่นๆ

รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า ฟูมิโอะ คิชิดะ (Fumio Kishida) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลง ซึ่งแม้รัฐบาลจะมีหนี้สินอยู่ในระดับสูง แต่ก็มีแผนจะจัดสรรเงิน 3.5 ล้านล้านเยน (2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 8.5 แสนล้านบาท) ต่อปี สำหรับการดูแลเด็กและมาตรการอื่นๆ เพื่อสนับสนุนพ่อแม่ผู้ปกครอง

ขณะที่เมื่อปี 2565 กลุ่มคลังสมองสาธารณะในกรุงโตเกียว ระบุว่า ญี่ปุ่นต้องการแรงงานต่างชาติประมาณ 4 เท่าภายในปี 2583 เพื่อให้บรรลุการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งนี้ โตเกียวเป็นเมืองมีชาวต่างชาติอาศัยอยู่มากที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีจำนวน 581,112 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 4.2 ของประชากรทั้งหมดในเมืองดังกล่าว