ข่าว
"บิ๊กตู่"ฉุนผัดกะเพรา สั่งห้ามกินในสลก.ทบ.

ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 26 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่าโรงอาหารภายในสำนักงานเลขานุการกองทัพบก(สลก.ทบ.) ติดป้ายห้ามลูกค้าสั่งเมนูผัดกะเพรา เนื่องจากมีกลิ่นฉุนว่า ถ้าอยากรับประทานกะเพราร้อนๆ ผัดสดๆก็ให้ไปกินของนอก เพราะข้างในกองทัพบก(ทบ.) เป็นอาคารปิด ซึ่งเรามีระบบของเรา ร้านค้าก็รู้ แต่คงอยากจะบริการคนที่อยากกิน แต่ต้องเห็นใจคนอื่นบ้าง เพราะไม่ได้ชอบกันทุกคน ต้องเห็นอกเห็นใจข้อตกลงของทุกร้านค้าที่อยู่ในอาคารปิดหรือสถานที่คับแคบ ได้ตกลงกันแล้วว่าจะต้องทำเป็นอาหารสำเร็จรูป ไม่ปรุงสุกใหม่ข้างใน เพราะกลิ่นจะรบกวนคนอื่น ดังนั้นการอยู่ร่วมกันต้องนึกถึงคนอื่น ไม่ใช่ทุกคนเอาแต่ความสุขสบาย ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไปอยู่ที่อื่น เพราะทหารมีกฎกติกา ถ้าไม่อย่างนั้นก็ร้องเรียนกันไปเรื่อยๆ อยากได้อะไรก็ร้อง อีกหน่อยไม่ต้องเป็นประเทศไปเป็นโจร

เมื่อถามว่าหากห้ามไม่ให้ทำอาหารปรุงสดใหม่ เหตุใดจึงต้องมีเครื่องดูดควัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เพราะกลิ่นอาหารมันมี เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปถอดเครื่องดูดควันออกให้หมด ทั้งนี้พอล่ะ อยากอยู่ก็อยู่ ไม่อยากอยู่ก็ไป ทำให้ก็ยังบ่น ทำไมต้องมีเหตุมีผล เครื่องดูดควันมีไว้เพื่อดูดควัน ถ้ามีไว้ไม่ดีกว่าหรอ ไม่อย่างนั้นก็ถอดออกให้หมด หรือไม่ก็ปิดร้านอาหารเท่านั้น ทหารก็เป็นแบบนี้ หรือไม่ก็ไปกินที่อื่น ถ้าเครื่องดูดควันใช้งานไม่ได้ก็เปลี่ยน ผมจะไปรู้ทุกเรื่องหรือ เพราะเขายังไม่รายงานขึ้นมา ถ้าสอบสวนแล้วใช้งานไม่ได้ก็เปลี่ยนไม่เห็นยาก เรื่องขี้ผง เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องไปออกข่าว เรื่องนี้สลก.ทบ.ต้องไปดู ใครคุมเรื่องร้านค้าต้องไปดู ก็ไม่เห็นมีใครร้องเรียน ไปเอาชื่อคนร้องเรียนมาจะได้สอบสวน เรื่องไม่เป็นเรื่อง ทุกวันนี้ผมมีเรื่องเยอะแยะ แต่ยังมีเรื่องไร้สาระให้ผมวุ่นวาย เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องไปลงสื่อให้ปวดหัว ถ้าอยากทานมากนักมาเอาเงินที่ผมแล้วไปทานข้างนอกจะได้ร้อนๆ"

"ยิ่งลักษณ์ นำร่างรธน.ทูลเกล้าฯ "ปุ้ม" แจง 3 อำนาจไม่คร่อมเลน

เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยัน "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" ต้องเดินหน้านำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขึ้นทูลเกล้าฯ ตามมาตรา 291(7) หากสภาโหวตผ่านวาระ 3

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จะเรียกทีมกฎหมายหารือเพื่อหาทางออกต่อการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณา ว่า นายกฯ ไม่ได้เรียกทีมกฎหมายมาหารือ เพราะฝ่ายกฎหมายหารือและศึกษาข้อกฎหมายต่างๆ ตามปกติอยู่แล้ว อย่างไรก็ ตามต้องยอมรับว่า ขณะนี้ในเชิงข้อกฎหมายมีหลากหลายความคิดเห็น ขณะเดียวกันหากเรายึดตามหลักประชาธิปไตยที่มี 3 เสาหลัก คือฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ซึ่งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญชัดเจนว่าเป็นอำนาจของรัฐสภา และเมื่อรัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่าน 3 วาระ มีการลงมติเรียบร้อยแล้ว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 291 (7) บัญญัติไว้ว่าให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ภายใน 20 วัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นก็ต้องรอดูว่าในวันที่ 28 ก.ย.นี้สภาจะมีมติออกมาอย่างไร

"รัฐบาลจะไม่มีการถ่วงเวลา เพราะการดำเนินการถูกบัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องมีการทูลเกล้าฯ นายกฯ ไม่สามารถขัดรัฐธรรมนูญได้ ดังนั้นหากการโหวตลงมติในวันที่ 28 ก.ย.ทุกอย่างผ่านตามกระบวนการ นายกฯ ก็พร้อมที่จะทำงานตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ นายกฯ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ทุกคนต่างทำหน้าที่อย่าเอามาปนกันระหว่างอำนาจ 3 เสาหลัก จากนั้นถ้ามีผู้เห็นแย้งอย่างไร หรือศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินออกมาอย่างไร ก็เป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อมีการวินิจฉัยหรือตีความออกมาอย่างไรเราก็พร้อมปฏิบัติตาม"

เมื่อถามว่าหาก นายกรัฐมนตรีนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯไปแล้ว แต่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าเป็นการขัดรัฐธรรมนูญจะเกิดอะไรขึ้น นายสุรนันทน์ กล่าวว่า รัฐบาลถือว่าเราทำตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญทุกประการ เป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องตีความว่าสิ่งไหนทำได้ หรือทำไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ทำนั้นผิด เมื่อถามว่า ในมาตรา 154 บัญญัติไว้ว่าหากเรื่องยังอยู่ระหว่างการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีควรระงับการนำขึ้นทูลเกล้าฯ นายสุรนันทน์ กล่าวว่า หากวันที่ 28 ก.ย.รัฐสภาผ่านความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีก็ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯภายใน 20 วัน ตามมาตรา 291(7) แต่หากมีคนเห็นต่างก็ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อมีการวินิจฉัยออกมาก็ต้องมาดูว่าจะแก้ไขกันอย่างไร วันนี้อย่าเพิ่งไปตัดสินล่วงหน้า

ผู้สื่อข่าวถามว่านักกฎหมายบางคนมองว่านายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ และถึงขั้นอาจต้องติดคุก นายสุรนันทน์ กล่าวย้อนถามว่า แล้วถ้านายกรัฐมนตรีไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯนายกรัฐมนตรีก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน วันนี้รับผิดชอบในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มีหน้าที่ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ไม่ใช่ว่าต้องรับผิดชอบว่าผิดหรือไม่ผิด เพราะนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีหน้าที่ต้องวินิจฉัย ส่วนวันที่ 28 ก.ย. นายกรัฐมนตรีจะเข้าประชุมสภาร่วมโหวตลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น นายสุรนันทน์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะ ส.ส.ก็คงไป แต่ช่วงเช้าจะลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วม จ.ปทุมธานี ก่อน

ชื่นชมทีมสาวไทย นายกฯให้ 2 ล้าน

วันที่ 27 ก.ย. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนา และนายสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย นำคณะนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย พร้อมคณะผู้ฝึกสอนที่ชนะเลิศการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์เอเชียครั้ง ที่ 17 เข้าเยี่ยมคารวะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม

โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวกับนักตบสาวไทยแชมป์เอเชียว่า ขอชื่นชม และให้กำลังใจที่ได้สร้างชื่อเสียง และความภูมิใจให้กับประชาชนชาวไทย พร้อมขอให้นักกีฬาทุกคน ดูแลสุขภาพของตัวเอง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจ ที่ได้มาเจอน้องๆ นักกีฬาอีกครั้ง อดภาคภูมิใจไม่ได้ ที่ทีมวอลเลย์บอลมีความแข็งแกร่ง สร้างความสุขให้คนไทย และน้องๆ เอง มีความขยันอดทนฝึกฝน สิ่งที่ได้วันนี้ คือ ความภาคภูมิใจในวงการวอลเลย์บอล ซึ่งมาจากความอุตสาหะฝึกซ้อม

น้องๆ ส่วนใหญ่ มาจากต่างจังหวัด ต้องเสียสละเวลา ที่จะอยู่กับครอบครัว ต้องเก็บตัวฝึกซ้อม ทั้งนี้ วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ต้องใช้ความสามัคคี ที่ประสบความสำเร็จ คือ การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อยากให้รักษาความดี รวมถึงทีมเวิร์กที่แข็งเเกร่งอย่างนี้ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ และขอให้ทุกคนประสบความสุขความสำเร็จ รักษาสุขภาพ

จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถือโอกาสเป็นตัวแทน มอบเงินสนับสนุนในนามรัฐบาล โดยเป็นเงินจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวน 1 ล้านบาท และจาก บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) อีกจำนวน 1 ล้านบาท รวม 2 ล้านบาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ให้กับทีมนักวอลเลย์สาวไทย