ข่าว
เต็มถังจุ๊บฟรี! โลกออนไลน์แห่แชร์ เด็กปั๊มสาวสวย “แถมจุ๊บ”

เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ้กชื่อว่า Nidnoi Apinya ได้โพสต์คลิปวิดีโอความยาว 26 วินาที พร้อมกับบรรยายว่า “เด็กปั๊มแบบนี้ก็มีหรอ?? #ถ้าเด็กปั๊มจะน่ารักขนาดนี้ #ดูให้จบไม่จบจะเสียใจ” โดยในวิดีโอเป็นภาพของพนักงานสาวปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งกำลังรอลูกค้าเซ็นบัตรเครดิตเพื่อจ่ายเงิน ก่อนที่จะมีเสียงผู้หญิงในคลิปพูดขึ้นว่า “นี่นะคะ มาเติมน้ำมัน เด็กปั๊มสวยมาก” แล้วถามพนักงานเติมน้ำมันสาวว่า “เมื่อกี้บอกว่าอะไรนะ ถ้าเติมเต็มถังจะได้อะไร” ก่อนที่พนักงานสาวตอบว่า “ได้จุ๊บค่ะ” จากนั้นชายในคลิปก็บอกว่า “เกือบลืมเลย” สุดท้ายพนักงานเติมน้ำมันสาวก็ใช้จมูกของเธอแจะที่แก้มของหนุ่มในคลิปเบาๆ ก่อนที่ชายในคลิปจะหันมามองกล้องแล้วทำหน้าเหวอ เพราะลูกสาวพูดว่า “แม่เห็นแน่”

‘เรืองไกร’จ่อยื่นสรรพากร ’17 ก.พ.’ สอบเงินภาษีขายที่ดินพ่อ’บิ๊กตู่’

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า หลังจากติดตามศึกษาการขายที่ดินของพ่อนายกรัฐมนตรี จนได้ข้อมูลที่เพียงพอทำให้พบว่า การขายที่ดินดังกล่าวเป็นการขายที่สูงกว่าราคาประเมินประมาณ 402 ล้านบาทเศษ และนายกฯ ได้แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายที่ดินว่ามีราคาขายที่ 600 ล้านบาทไว้ในการยื่นแบบแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อป.ป.ช.ด้วย แต่จากการตรวจสอบหมายเหตุประกอบงบการเงินของบริษัทผู้ซื้อพบว่า มีการบันทึกบัญชีต้นทุนที่ดินรวมค่าใช้จ่ายไว้ที่ 623 ล้านบาทเศษ ซึ่งเมื่อคำนวณหักค่าธรรมเนียมและค่าอากรแล้วยังมีตัวเลขปริศนาเกินมาอีก 16 ล้านบาทเศษ และเมื่อนำที่ดินแต่ละแปลงมาคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย ก็จะได้ตัวเลข 16 ล้านบาทเศษที่ใกล้เคียงกัน จึงมีเหตุอันควรเชื่อว่า บริษัทผู้ซื้อบันทึกต้นทุนที่ดินโดยรวมค่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายของผู้ขาย คือ พ่อนายกฯ ไปด้วย ดังนั้น จึงน่าเชื่อต่อไปว่า ในการขายที่ดิน 600 ล้านบาทนั้น บริษัทผู้ซื้อได้มีการออกภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้กับผู้ขายด้วย เงินค่าภาษีที่บริษัทผู้ซื้อออกให้ จึงต้องด้วยความหมายของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ที่ผู้ขายคือพ่อนายกฯ จะต้องนำไปเสียภาษีอีกทอดหนึ่งภายในวันที่ 31 มีนาคม 2557 หลังจากที่ขายที่ดินไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2556

นายเรืองไกรกล่าวว่า จากการตรวจพบข้อเท็จจริงของตัวเลขของผู้ขายที่นายกฯ แจ้งไว้ต่อ ป.ป.ช. 600 ล้านบาท แต่บริษัทมีตัวเลขต้นทุนที่ดิน 623 ล้านบาท โดยมีผลต่าง 16 ล้านบาทเศษเป็นค่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายนั้น กรณีจึงมีเหตุให้ตนจะไปร้องขอให้กรมสรรพากรตรวจสอบการเสียภาษีที่ดินดังกล่าวว่า บริษัทผู้ซื้อได้ออกค่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้กับผู้ขายหรือไม่ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ถ้าออกให้ ผู้ขายได้นำเงินได้ไปเสียภาษีอีกทอดหนึ่งตามความในประมวลรัษฎากรมาตรา 39 หรือไม่ ถ้ายังไม่มีการเสีย ก็เท่ากับว่า กรมสรรพากรต้องทำการประเมินเรียกเก็บภาษีให้ครบถ้วนพร้อมเงินเพิ่มและเบี้ยปรับต่อไป หากนำเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย 16 ล้านบาทเศษ มาถือเป็นเงินได้พึงประเมิน ก็จะต้องเสียภาษีตามอัตราก้าวหน้ารวมทั้งสิ้นประมาณ 5.23 ล้านบาทเศษ บวกเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน คำนวณถึงมีนาคม 2560 จะได้ประมาณ 2.82 ล้านบาทเศษ และหากมีการไม่ยื่นภาษีแล้วมีคนร้องให้สรรพากรไปตรวจสอบก็ต้องเสียเบี้ยปรับอีกสองเท่าประมาณ 10.46 ล้านบาท รวมเม็ดเงินภาษีพร้อมเงินเพิ่มและเบี้ยปรับจะอยู่ประมาณ 18.51 ล้านบาทเศษ ซึ่งกรณีดังกล่าว ผู้เกี่ยวข้องเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันมีฐานะเป็นผู้ดูแลและจัดการงานแทนบิดาตามคำสั่งศาล จึงได้พิจารณาตรวจสอบโดยความละเอียดรอบคอบมาระยะเวลาหนึ่ง จนได้ข้อสรุปที่เพียงพอที่จะร้องขอให้มีการตรวจสอบภาษีกรณีดังกล่าว และเป็นหน้าที่กรมสรรพากรต้องเรียกเก็บภาษีต่อไป หากไม่ดำเนินการก็จะมีโทษทางอาญาตามมาได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องร้องขอให้กรมสรรพากรตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ต่อไป


‘บิ๊กป้อม’ลั่นปราบสินค้า’ละเมิดลิขสิทธิ์’ ขออย่าใช้ของก๊อป ลุ้น’ไทย’พ้นปท.ถูกจับตา

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ว่า ต้องดำเนินการเรื่องการใช้สิ้นค้าปลอมทั้งหลาย เพราะทำให้เกิดความเสียหายในภาพรวมประเทศ ทั้งนี้ ในเดือนเมษายนนี้ทางสหรัฐอเมริกาจะดูว่าประเทศไทยจะสามารถปลดล็อกประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ หรือ Priority Watch List – PWL ในการจัดสถานการณ์คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศคู่ค้าตามกฎหมายการค้าสหรัฐ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2559 ได้หรือไม่ ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นตำรวจ กรมศุลกากร กระทรวงพาณิชย์ ก็จะต้องไปดำเนินการ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญของประเทศ

“อยากจะฝากกับประชาชนคนไทย อะไรที่ไม่ควรใช้ก็อย่าไปใช้ อย่างประเทศใหญ่ๆ เขาก็ยังเลิกได้ ไม่จำเป็นต้องไปใช้ของแบรนด์เนมที่ทำปลอมกันหรอก มันไม่มีประโยชน์ จะใช้อะไรก็ถือได้” พล.อ.ประวิตรกล่าว

เมื่อถามว่าขณะนี้ในเฟซบุ๊กไลฟ์เองก็มีการขายของที่ละเมิดลิขสิทธิ์อยู่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เราจะไปจับกุมทั้งหมด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.ก็เป็นห่วงในเรื่องเหล่านี้ โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการไปเยอะแล้ว เมื่อถามว่ากระแสในโซเชียลมีการเสนอให้นำของที่ละเมิดลิขสิทธิ์ไปให้กับคนที่ไม่มี พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ทำแบบนั้นไม่ได้ มีอย่างเดียวคือการทำลายเท่านั้น เอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้


“ไซซะนะ”เขียนจดหมายจากคุก ถึงเมียฝั่งลาว ฝากดูแลลูก

นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการควบคุมนายไซซะนะ แก้วพิมพา ผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ชาวลาว และนายณัฐพล นาคคำ หรือบอย ผู้ต้องหาเครือข่ายนายไซซะนะว่า นายไซซะนะถูกควบคุมตัวที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง กรุงเทพมหานคร โดยอยู่ในแดนความมั่นคงสูงสุด หรือแดน 10 โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำแยกให้นายไซซะนะนอนเพียงลำพัง ส่วนนายณัฐพล อยู่แดนความมั่นคงสูง หรือแดน 9 เครือข่ายยาเสพติดของนายไซซะนะจะไม่ได้พบหรือพูดคุยกัน ได้รับรายงานว่า ช่วงกลางวันนายไซซะนะ ลงมาจากเรือนนอนเพื่อใช้ชีวิตประจำวันตามปกติที่ทางเรือนจำกำหนดไว้ ระหว่างที่นายไซซะนะถูกควบคุมตัว มีพี่สาวนายไซซะนะเดินทางมาขอเยี่ยม และมีทนายความมาพบ ทั้งนี้ นายไซซะนะยังเขียนจดหมายไปถึงภรรยา โดยส่งไปที่ จ.หนองคาย เพื่อขอความช่วยเหลือจากบุคคล 2 คน ในประเทศลาว โดยระบุเป็นชื่อเล่น พร้อมฝากดูแลลูกให้ดีด้วย ส่วนนายณัฐพลนั้น มีแฟนสาวเดินทางมาเยี่ยม ทั้งนี้ จากการตรวจสุขภาพพบว่าทั้งหมดมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัว และไม่ได้เรียกร้องอะไรจากทางเรือนจำเป็นพิเศษ


มาเลย์เผยพร้อมคืนศพ ‘คิม จอง นัม’ ให้โสมแดง ยันมีคำขอมาจริง ย้ำไม่กระทบสัมพันธ์ทางการทูต

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายอาหมัด ซาฮิด ฮามีดี รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเปิดเผยว่า มาเลเซียจะคืนศพของนายคิม จอง นัม วัย 45 ปี พี่ชายต่างมารดาของนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือตามคำร้องขอของรัฐบาลเกาหลีเหนือ แต่จะต้องเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการที่มีอยู่

นายซาฮิดยืนยันในการตอบคำถามผู้สื่อข่าวหลังการประชุมหารือกับบรรดาผู้นำทางธุรกิจในภูมิภาคว่า ทางการเกาหลีเหนือยื่นคำร้องดังกล่าวมาจริง โดยกล่าวว่า “เราจะช่วยอำนวยความสะดวกตามคำขอของรัฐบาลต่างชาติ แม้ว่าจะมีขั้นตอนกระบวนการที่ต้องปฏิบัติตาม นโยบายของเราคือเราให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทวิภาดีกับรัฐบาลต่างชาติ”

นายซาฮิดยังยืนยันอย่างเป็นทางการด้วยว่า ชายคนดังกล่าวที่ถูกลอบสังหารที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์คือนายคิม จอง นัม พี่ชายต่างมารดาของนายคิม จอง อึนจริง โดยก่อนหน้านี้ ตำรวจมาเลเซียไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่อ้างถึงนายจอง นัม ในการแถลงอย่างเป็นทางการว่าเป็นชายชาวเกาหลีเหนือรายหนึ่งเท่านั้น

นายซาฮิดเปิดเผยว่า นายจอง นัม มีเอกสารยืนยันตัวตน 2 ฉบับ โดยเป็นไปได้ว่าฉบับหนึ่งเป็นพาสปอร์ตปลอมเพื่อปกปิดตัวตน และอีกฉบับหนึ่งเป็นพาสปอร์ตจริง

ทั้งนี้ สื่อเกาหลีใต้เชื่อว่า นายจอง นัม เดินทางเข้ามาเลเซียโดยใช้พาสปอร์ตที่ระบุชื่อว่าคิม ชอล ซึ่งเป็นหนึ่งในนามแฝงของเขา

นอกจากนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การลอบสังหารนายจอง นัมครั้งนี้ จะกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง 2 ประเทศหรือไม่ นายซาฮิดตอบว่า “ไม่ เราจะยังคงความสัมพันธ์อันดี และต้องการกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้นกับประเทศที่มาเปิดสถานทูตที่มาเลเซีย


สรรเสริญทั้งแผ่นดิน! เผยแล้วภาพรถหรู 14 คันที่ผู้นำลาวสละ ประมูลขาย “ต้านการฟุ่มเฟือย”

สืบเนื่องกรณีการเปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับการนำรถประจำตำแหน่งของผู้นำระดับสูงใน สปป.ลาวคืนรัฐบาลเพื่อนำออกประมูลขายตามนโยบายต้านการฟุ่มเฟือย ล่าสุด เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เวปไซต์สื่อในสปป.ลาว อาทิ ลาวโพสต์ ได้เผยภาพและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ดังกล่าว รายละเอียดเบื้องต้น มีรถ BMW รุ่น 730 LI จำนวน 7 คัน และ Mercedes Benz รุ่น S350 อีก 7 คัน รวม 14 คัน

อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลว่ารถยนต์แต่ละคัน เคยเป็นรถประจำตำแหน่งของใคร ไม่ว่าจะเป็น ประธานประเทศ , นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ

ทั้งนี้ มีผู้แสดงความเห็นว่า หากเปิดเผย จะทำให้สามารถขายรถได้อย่างรวดเร็ว และราคาสูงขึ้น

สื่อลาว ยังรายงานอีกว่า การกระทำของผู้นำระดับสูงของลาวในครั้งนี้ สร้างเสียงชื่นชมอย่างมากทั้งจากประชาชน ข้าราชการ รวมถึงทหาร และตำรวจ ซึ่งต่างมีความภาคภูมิใจในความเสียสละซึ่งจะเป็นแบบอย่างแก่ลูกหลานอย่างที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์มาก่อน

สั่งอพยพประชาชนใต้ “เขื่อนโอโรวิลล์” ในแคลิฟอร์เนีย หลังพบ “สปิลล์เวย์” แตก

ประชาชนซึ่งอาศัยอยู่ใต้เขื่อนสูงที่สุดในสหรัฐฯ ที่เมืองโอโรวิลล์ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียได้รับคำสั่ง “อพยพทันที” เมื่อวานนี้ (12 ก.พ.) หลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าทางน้ำล้น (สปิลล์เวย์) ของเขื่อนแตกเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ และเสี่ยงต่อการพังทลาย ทางการได้ประกาศคำสั่งอพยพด่วน หลังพบว่าทางน้ำล้นของเขื่อนทะเลสาบโอโรวิลล์ (Lake Oroville) อาจพังทลายลงมาได้ทุกเมื่อ ซึ่งจะทำให้มวลน้ำมหาศาลไหลเข้าท่วมชุมชนตลอด 2 ฝั่งแม่น้ำเฟเธอร์ ฝนและหิมะที่ตกต่อเนื่องหลายสัปดาห์ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนโอโรวิลล์เพิ่มสูงขึ้นจนเกือบเต็มพิกัด ซึ่งช่วยผ่อนคลายความกังวลแก่รัฐแคลิฟอร์เนียที่ต้องเผชิญปัญหาภัยแล้งมานานถึง 4 ปีซ้อน กระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียได้โพสต์ทวิตเตอร์ ว่าทางน้ำล้นจุดนี้อาจ “พังทลายในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า” อย่างไรก็ตาม การพังทลายยังไม่เกิดขึ้นหลังผ่านมาแล้วเกือบ 3 ชั่วโมง ขณะที่กระทรวงทรัพยากรน้ำก็เตรียมส่งเฮลิคอปเตอร์เข้าไปทิ้งก้อนหินปิดกั้นทางน้ำ และจะทยอยระบายน้ำออกจากเขื่อนเพิ่มเติมด้วย ทางการได้ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวขึ้นที่เมืองชิโก (Chigo) ซึ่งห่างจากโอโรวิลล์ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 20 ไมล์ และเวลานี้ถนนที่มุ่งหน้าสู่เมืองดังกล่าวเริ่มมีการจราจรติดขัดเนื่องจากประชาชนต่างพากันอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง เขื่อนดินแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองโอโรวิลล์ซึ่งมีประชากรราว 16,000 คน โดยเป็นเขื่อนที่สูงที่สุดในสหรัฐฯ ด้วยความสูง 230 เมตร แซงสถิติของเขื่อนฮูเวอร์อยู่ 12 เมตร