เมื่อเวลา 20.40 น.วันที่ 24 กันยายน 2563 ที่รัฐสภา 6 พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร , นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงภายหลังการปิดประชุมสภาในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

โดย นายสมพงษ์ กล่าวว่า เราพยายามทุกวิถีทาง ทุกอย่าง แต่รัฐบาลไม่มีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่พี่น้องประชาชนต้องการ

นายพิธา กล่าวว่า วันนี้เราผิดหวัง แต่ไม่หมดหวัง เพราะฝ่ายค้านทำงานหนักมาตลอด เพื่อหวังหาทางออกเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ประเทศ หาทางออกให้รัฐบาล และ ส.ว.แต่เราเสียใจที่รัฐบาลไม่เห็นเป็นทางออก และเทญัตติของฝาายค้านทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา แต่อย่างไรก็ตาม เรายังไม่หมดหวัง เพราะยังมีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ไอลอว์เสนอไว้ จะเข้าสู่การพิจารณาในการเปิดสมัยประชุมหน้าวันที่ 1 พ.ย.ทั้งนี้ การเสนอตั้ง กมธ.ตามมาตรา 121 วรรค 3 เป็นการประวิงเวลาไปอีก 9 เดือน ไม่ใช่แค่ 1 เดือน โดยความแยบยลของรัฐบาล เป็นเหตุผลของการที่เราไม่ร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาลได้

ขณะที่ นายสุทิน กล่าวว่า ที่เราไม่ร่วมสังฆกรรม เพราะเราเห็นว่า วิถีทางที่รัฐบาลเสนอโดยการตั้ง กมธ.จะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญล้มเหลว มากกว่าที่จะประสบผลสำเร็จ จะถูกหลอก และนอกเหนือจากที่หัวหน้าพรรคก้าวไกล บอกว่าจะเสนอญัตติซ้ำอีกไม่ได้แล้ว จะทำให้ร่างของไอลอว์ตกไปด้วย เพราะหลักการเดียวกัน ดังนั้น ทิศทางของเราจากนี้คือ เราจะดูการทำงานของเขา เราจะสู้ต่อไป การแก้ไขรัฐธรรมนูญวันนี้ยังไม่จบสิ้น แต่เราต้องสู้ไปอีกนาน

เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 23 กันยายน 2563 พ.ต.ท.ไพฑูรย์ ตั้งความเพียร รองผกก.สอบสวน สภ.แกลง จ.ระยอง รับแจ้งจาก น.ส.พุธคำ คำวัน อายุ 51 ปี ผู้จัดการห้างทองสุพัตรา เยาวราช สาขาโลตัสแกลง จ.ระยอง ว่า เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา มีผู้หญิงวัยกลางคนเข้ามาซื้อทองรูปพรรณ รวมน้ำหนัก 20 บาท มูลค่า 578,000 บาท แล้วจ่ายเงินผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคารไทยพาณิชย์ โดยพบว่ามีการยืนยันว่าโอนเงินแล้ว พร้อมเซ็นเช็คค้ำประกันไว้ จึงให้ทองรูปพรรณไป แต่พอไปตรวจสอบที่ธนาคารกลับไม่มีเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชี จึงพยายามติดต่อ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงนำเรื่องเข้าแจ้งความ

น.ส.พุธคำ ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนเองอยู่ที่ร้านทองกับพนักงานขาย ปรากฏว่าหลังเปิดร้านได้ไม่นาน มีผู้หญิงวัยกลางคน แต่งตัวธรรมดาแบบชาวบ้านๆอายุราว 40 ปี ใส่หน้ากากอนามัยปิดหน้ามิดชิด ได้เข้ามาซื้อทองในร้าน ก่อนจะตกลงซื้อสร้อยคอทองคำหนัก 10 บาท 1 เส้น สร้อยคอน้ำหนัก 2 บาท 1 เส้น สร้อยคอมือน้ำหนัก 5 บาท 1 เส้น และสร้อยคอมือหนัก 3 บาท 1 เส้น รวมน้ำหนัก 20 บาท มูลค่ารวม 578,000 บาท โดยผู้ซื้อได้นำบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดมีนบุรี จำนวน 578,000 บาท โอนเข้าบัญชีผู้จัดการห้างทองสุพัตราเยาวราช สาขาโลตัสแกลง พร้อมทั้งโชว์สลิปว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีแล้ว และคนร้ายยังได้เซ็นเช็คจำนวนเงินดังกล่าวค้ำประกันไว้

หลังจากนั้นได้เดินทางไปตรวจสอบเงินที่ธนาคารที่ตั้งอยู่ห้องถัดไปภายในห้าง แต่เป็นช่วงที่มีคนใช้บริการมาก จึงต้องรอคิวอยู่ประมาณ 30 นาที โดยที่ไม่คิดว่าพนักงานจะให้ทองรูปพรรณกับลูกค้าไป จนกระทั่งตรวจสอบบัญชีก็ไม่พบยอดเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชี จึงรีบโทร.กลับมาที่ร้าน แต่สายไปแล้ว เพราะคนร้ายได้เอาทองรูปพรรณที่ตกลงซื้อไว้หนีไปแล้ว โดยพนักงานไม่คิดว่าจะเป็นคนร้ายและเห็นสลิปการโอนเงิน จึงไม่ได้เอะใจ เอาทองให้ไป ก่อนจะมาทราบว่าเป็นมิจฉาชีพ จึงพยายามติดต่อ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ คาดว่าเป็นมืออาชีพน่าจะทำกันเป็นขบวนการ เพราะมีการสร้างแอพฯธนาคารปลอมขึ้นมา เพราะมองเห็นสลิปว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีของร้านแล้ว

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบกล้องวงจรปิด ภายในร้านทองเกิดเหตุ พบว่า คนร้ายสวมหน้ากากอนามัยปิดหน้ามิดชิด ใส่เสื้อสีดำ เข้ามาเลือกซื้อทองรูปพรรณ โดยมาคนเดียว ก่อนจะเดินออกจากร้านไปอย่างใจเย็น

หลังตรวจสอบหลักฐาน จากกล้องวงจรปิด และเช็คที่คนร้ายเซ็นไว้ค้ำประกัน จนสามารถสืบทราบว่าคนร้ายรายนี้ คือ น.ส.พิชชาภา ครณรงค์ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 86/12 ม.5 ต.หนองยาว อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งได้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจออกติดตามตัว เพื่อจับกุมตัวมาดำเนินคดี เพราะถือเป็นภัยสังคม นอกจากนี้ทางร้านทองสุพัตรา เยาวราช ยังประกาศให้รางวัล 100,000 บาท หาก ใครแจ้งเบาะแสจนนำไปสู่การจับกุมคนร้ายรายนี้ได้ พร้อมประสานร้านทองทุกแห่ง หากมีใครนำสร้อยคอทองคำที่มีตราอักษร “พ” ตรงตะขอ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ

24 ก.ย.63 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมเจ้าหน้าที่การแพทย์เตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดใช้งานหอผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) แห่งใหม่ ซึ่งดัดแปลงมาจากลานจอดรถชั้นใต้ดินของวิทยาเขตการแพทย์รัมบัม (Rambam Health Care Campus) ในเมืองไฮฟาทางตอนเหนือของอิสราเอล

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอลรายงานการตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่ม 11,316 ราย ในวันพุธ (23 ก.ย.) ทำให้ยอดผู้ป่วยในประเทศรวมอยู่ที่ 204,690 ราย และพบผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม 40 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยเสียชีวิตรวมอยู่ที่ 1,325 ราย

ขณะเดียวกันอิสราเอลยังมีผู้ป่วยที่ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลรวมอยู่ที่ 1,370 ราย โดยส่วนหนึ่งเป็นผู้ป่วยอาการรุนแรง 657 ราย ลดลงจากเดิม 688 ราย

24 กันยายน 2563 สำนักข่าวซินหัวรายงาน สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) ประกาศเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (23 ก.ย.) ว่าการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ครั้งที่ 4 เพื่อประเมินวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ซึ่งอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา ได้เริ่มเปิดลงทะเบียนรับอาสาสมัครวัยผู้ใหญ่แล้ว

สถาบันสุขภาพฯ ระบุในเอกสารแถลงว่าการทดลองนี้ออกแบบมาเพื่อประเมินวัคซีนแจนส์เซนโควิด-19 (Janssen COVID-19) JNJ-78436725 ที่อยู่ระหว่างการวิจัย ว่าสามารถป้องกันโรคโควิด-19 ที่แสดงอาการได้หรือไม่ หลังจากผู้ร่วมทดลองได้รับวัคซีนชนิดโดสเดียว (Single dose)

การทดลองครั้งนี้เปิดลงทะเบียนรับอาสาสมัครมากถึง 60,000 คน ผ่านหน่วยวิจัยทางคลินิกมากถึงเกือบ 215 แห่งในสหรัฐฯ และระดับนานาชาติ บริษัทแจนส์เซน ฟาร์มาซูติคอล คอมพานีส์ (Janssen Pharmaceutical Companies) ของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) ได้พัฒนาวัคซีนที่กำลังวิจัยอยู่นี้และเป็นผู้นำในการทดลองทางคลินิกในฐานะผู้สนับสนุนที่มีอำนาจกำกับดูแล การทดลองครั้งนี้เป็นการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ขนาดใหญ่ครั้งที่ 4 เพื่อทดสอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในสหรัฐฯ ขณะที่อีก 3 การทดลอง ได้แก่ การทดลองวัคซีนทดลองเอแซดดี1222 (AZD1222) ซึ่งร่วมคิดค้นโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัทวัคซีเทค (Vaccitech) บริษัทลูกของมหาวิทยาลัย, การทดลองวัคซีนทดลองเอ็มอาร์เอ็นเอ-1273 (mRNA-1273) ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐฯ (NIAID) ร่วมกับโมเดอร์นา บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสัญชาติสหรัฐฯ และการทดลองวัคซีนทดลองบีเอ็นที162บี2 (BNT162b2) ซึ่งพัฒนาโดยไฟเซอร์ (Pfizer) บริษัทชีวเภสัชกรรมของสหรัฐฯ และบริษัทเยอรมันอย่างไบโอเอ็นเทค (BioNTech)

ขณะที่วัคซีนทดลองรายการอื่นต้องใช้ 2 โดส แต่วัคซีนแจนส์เซนนั้นอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อให้เป็นวัคซีนชนิดใช้โดสเดียว วัคซีนรายการนี้เป็นวัคซีนรีคอมบิแนนต์เวกเตอร์ (recombinant vector vaccine) ซึ่งจะใช้อะดิโนไวรัส (adenovirus) ของมนุษย์ในการขัดขวางสไปก์โปรตีนหรือโปรตีนหนาม (spike protein) ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเซลล์

ผลการวิจัยการทดลองก่อนการทดสอบในมนุษย์ที่ตีพิมพ์ลงในวารสารเนเจอร์ (Nature) ชี้ว่าวัคซีนแจนส์เซนเหนี่ยวนำให้เกิดการตอบสนองของแอนติบอดีลบล้างฤทธิ์ (neutralizing antibody) ในลิงแสม และสร้างการป้องกันที่สมบูรณ์หรือเกือบสมบูรณ์ต่อการติดเชื้อในปอดและโพรงจมูกได้ หลังทำการทดลองกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

สถาบันสุขภาพฯ ระบุว่าการทดลองนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อตรวจสอบว่าวัคซีนที่อยู่ระหว่างการวิจัยรายการนี้สามารถป้องกันโรคโควิด-19 ในระดับปานกลางถึงรุนแรงได้หรือไม่ หลังจากมีการให้วัคซีนเพียงโดสเดียว นอกจากนั้นยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำความเข้าใจว่าวัคซีนสามารถป้องกันโรคโควิด-19 ที่ต้องมีการรักษาแบบแทรกแซงทางการแพทย์ (medical intervention) ได้หรือไม่ รวมถึงวัคซีนสามารถป้องกันการป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรง และการติดเชื้อไวรัสโดยไม่แสดงอาการได้หรือไม่

ด้านคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลและความปลอดภัยอิสระจะดำเนินการกำกับดูแล เพื่อให้การดำเนินการศึกษาเป็นไปด้วยความปลอดภัยและถูกต้องตามหลักจริยธรรม

“วัคซีนทดลองสำหรับป้องกันโรคโควิด-19 ทั้ง 4 รายการ เข้าสู่การทดสอบทางคลินิกระยะที่ 3 ในสหรัฐฯ ภายในระยะเวลาเพียง 8 เดือน หลังสามารถระบุตัวตนของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ นี่คือความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์สำหรับประชาคมวิทยาศาสตร์ ที่เกิดขึ้นจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีวัคซีนและแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่สอดประสานกันระหว่างภาครัฐ อุตสาหกรรม และวิชาการ ตลอดหลายทศวรรษ” แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้ฯ ระบุ

“มีแนวโน้มว่าเราจะต้องมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 หลายรายการ เพื่อตอบสนองความต้องการทั่วโลก ส่วนวัคซีนแจนส์เซนมีผลการทดสอบระยะต้นที่ส่งสัญญาณดีและอาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการควบคุมโรคระบาด หากพิสูจน์ได้ว่าสามารถป้องกันโรคได้หลังได้รับเพียงโดสเดียว” เฟาซีทิ้งท้าย