ข่าว
อาลัย “ผู้ว่าฯ ณรงศักดิ์” ผู้ว่าฯ หมูป่า เสียชีวิตแล้ว

อาลัย “ผู้ว่าฯ ณรงศักดิ์” ผู้ว่าฯ หมูป่า เสียชีวิตแล้ว ภายหลังเข้ารักษาอาการป่วยโรคมะเร็ง

เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณรงศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนาม “ผู้ว่าฯ หมูป่า” เสียชีวิตอย่างสงบ ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อเวลา 18.00 น. ที่ผ่านมา ในวัย 58 ปี ภายหลังเข้ารักษาอาการป่วยโรคมะเร็ง

ทั้งนี้ สำหรับ นายณรงศักดิ์ เป็นที่รู้จัก สมัยดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าฯ เชียงราย และเป็นผู้นำบัญชาการ เหตุการณ์ช่วยเหลือทีมบอล “หมูป่า” 13 คนที่เข้าไปติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย เมื่อเดือน มิ.ย. 2561 จนสามารถช่วยทั้งหมดออกมาได้ โดยภารกิจนี้โด่งดังไปทั่วโลก โดยหลังจากที่ข่าวการเสียชีวิตของ นายณรงศักดิ์ แพร่ออกไป ผู้ที่เคยร่วมงานกับผู้ว่าฯ หมูป่า ได้แสดงความอาลัยเป็นจำนวนมาก

พระราชทานโกศแปดเหลี่ยม ผู้ว่าฯ หมูป่า รับไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ตลอด 7 คืน

ข้าราชการ ประชาชนที่เคารพรักร่วมอาลัย “ผู้ว่าฯ หมูป่า” ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร แน่นวัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ในหลวงพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พร้อมเครื่องประกอบเกียรติยศ และโปรดเกล้าฯ รับพิธีบำเพ็ญกุศลศพ ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ตลอด 7 คืน

วันที่ 22 มิ.ย. เวลา 14.00 น. ที่วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน กรุงเทพฯ นางจินจณา โอสถธนากร ภรรยานายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วย น.ส.พรธีรา โอสถธนากร น.ส.สุธารีย์ โอสถธนากร ลูกสาวทั้งสองคน และสมาชิกในครอบครัว “โอสถธนากร” เคลื่อนศพ นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเสียชีวิตอย่างสงบจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่ รพ.ศิริราช เมื่อเวลา 17.52 น. วันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา สิริรวมอายุ 58 ปี ออกจากโรงพยาบาลศิริราช มาประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล ณ ศาลาพ่วงจินดา วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร ท่ามกลางความโศกเศร้าอาลัยของคนในครอบครัว คนสนิท ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย และข้าราชการเจ้าหน้าที่ในจังหวัดปทุมธานีจำนวนมากรอรับศพ

เวลา 17.45 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ณ ศาลาพ่วงจินดา วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศแปดเหลี่ยมกับฉัตรเบญจา เป็นเครื่องเกียรติยศประกอบศพ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์พระพิธีธรรมในการสวดพระอภิธรรมศพ ในพิธีบำเพ็ญกุศลศพ เป็นเวลา 7 คืน ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.ท.ภักดี แสงชูโต รองอธิบดีกรมราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อัญเชิญพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง, สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี, สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา, สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ และเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี มาวางที่หน้าโกศศพ

นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี โปรดเกล้าฯ ให้ คุณหญิงจรัสศรี ทีปิรัช เป็นผู้แทนพระองค์อัญเชิญพวงมาลาส่วนพระองค์ พร้อมพวงมาลาพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า สิริภาจุฑาภรณ์ และพวงมาลาพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า อทิตยาทรกิติคุณ มาวางที่หน้าโกศศพ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ โปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.มิตรอนันต์ จิตต์โสภา ประจำสำนักพระราชวังพิเศษ วังเทเวศร์ เป็นผู้แทนพระองค์อัญเชิญพวงมาลาส่วนพระองค์วางหน้าโกศศพ

โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี บรรยากาศพิธีเป็นไปด้วยความโศกเศร้าและอาลัยอย่างสุดซึ้ง ซึ่งนอกจากสมาชิกครอบครัว บุคคลใกล้ชิด ยังมีคณะข้าราชการเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย และจังหวัดปทุมธานี ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่เคารพรัก ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ เดินทางมาร่วมแสดงความอาลัย และรดน้ำศพจำนวนมาก

นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยว่า สิ่งที่ประทับใจในตัวผู้ว่าฯ หมูป่า คือเป็นคนมีความคิดรอบคอบในแต่ละเรื่อง และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ข้าราชการ ใครที่ได้ร่วมงานก็จะมีความรัก และมั่นใจในตัวผู้ว่าฯ ผู้ว่าฯ จะลงพื้นที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา เป็นผู้ที่เข้าถึงประชาชนในการทำงาน จากการที่ได้ใกล้ชิดและทำงานร่วมกับผู้ว่าฯ นั้นเป็นคนเรียบง่าย บางครั้งอาจจะดูเหมือนเป็นคนเครียดเวลาที่พูดคุย แต่แท้จริงแล้วเป็นคนมีความเมตตาสูง ดูแลพี่น้องข้าราชการเป็นอย่างดี ในระหว่างที่ผู้ว่าฯ ป่วยนั้น ก็ยังใจสู้ แม้ว่าขณะที่มาทำงานที่จังหวัดปทุมธานี ตัวผู้ว่าฯ อาจจะไม่ได้แข็งแรงเหมือนกับที่ตอนอยู่จังหวัดเชียงราย แต่ก็ยังคงเข้มแข็ง และทำงานหนักเหมือนเดิม และยังคงห่วงทุกงานในจังหวัดปทุมธานี

“งานสุดท้ายคือที่ได้ร่วมงานคือโครงการโคก หนองนา โดยในวันที่ 28 เมษายน ที่มีการประชุมร่วมกัน พร้อมกำชับให้รีบเร่งทำงานให้เร็วที่สุด ส่วนตัวได้เจอกับผู้ว่าฯ ครั้งล่าสุดคือไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล ในวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นครั้งสุดท้ายที่ได้มีการพูดคุยกัน ขณะนั้นผู้ว่าฯ ยังคงแข็งแรง และสาเหตุที่ไปเยี่ยมก็เพราะทราบว่าท่านผู้ว่าฯ แข็งแรงขึ้นบ้างแล้ว โดยในวันนั้นมีการพูดคุยหารือเรื่องงานร่วมกันเล็กน้อย คุยเรื่องทั่วไป รวมถึงเรื่องบุญกุศลต่างๆ ที่ผ่านมา ก็ยังคงมีการพูดคุยกันผ่าน LINE กับผู้ว่าฯ อยู่ตลอด ผู้ว่าฯ เป็นคนที่มีหัวใจเป็นนักสู้มาก แม้รู้ว่าตัวเองจะป่วยแต่ก็ยังมีใจสู้ มีความรอบคอบในการทำงาน ถือเป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นต้นแบบให้แก่ข้าราชการในปัจจุบัน”

สำหรับพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมศพ นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี จะมีไปจนถึงวันที่ 28 มิ.ย. 2566 รวม 7 คืน จากนั้นจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 29 มิ.ย. 2566.

ไร้ปาฏิหาริย์ เผยพบเศษชิ้นส่วนเรือดำน้ำไททันบนพื้นทะเล

23 มิ.ย. บีบีซี รายงานความคืบหน้าปฏิบัติการค้นหาเรือดำน้ำไททันของบริษัทโอเชียนเกต เอ็กซ์พิดิชั่น ที่หายสาบสูญไปพร้อมลูกเรือ 5 คน ระหว่างดำดิ่งลงไปทัวร์ซากเรือไททานิก ว่าพบเศษชิ้นส่วนปริศนากระจายเต็มพื้นทะเล โดยมีชิ้นส่วนของเรือไททันรวมอยู่ การเปิดเผยล่าสุดมาจากนายเดวิด เมิร์นส์ เพื่อนของหนึ่งในผู้โดยสารบนเรือดำน้ำไททัน กล่าวว่า ชิ้น

ส่วนที่พบนั้นมีส่วนของขาตั้งและฝาครอบด้านหลังของเรือรวมอยู่ด้วย

ความคืบหน้านี้ต่อเนื่องจากการเปิดเผยจากหน่วยบัญชาการกลางภารกิจค้นหาโดยหน่วยยามฝั่งของสหรัฐอเมริกา ว่าผู้เชี่ยวชาญกำลังเร่งวิเคราะห์เศษชิ้นส่วนที่พบอย่างละเอียด และเตรียมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 23 มิ.ย. ตามเวลาประเทศไทย

จากกรณีเหตุการณ์เรือดำน้ำไททัน (Titan) พร้อมลูกเรือ 5 คน สูญหายระหว่างทริปชมซากหักพังของเรือไททานิก (Titanic) ก่อน ที่ต่อมายามชายฝั่งสหรัฐอเมริกายืนยัน พบชิ้นส่วนเรือไททัน ห่างจากซากส่วนท้ายเรือไททานิกราว 490 เมตรและว่า 5 คนบนเรือเสียชีวิตทั้งหมด เนื่องจากเรือระเบิดนั้น

จากการค้นคว้าอ้างอิงตามหนังสือ วรรณกรรม ประวัติศาสตร์เรื่องเล่าแห่งจินตนาการ หรือ A Little History of Literature เขียนโดยนายจอห์น ซัตเทอร์แลนด์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านวรรณกรรมอังกฤษสมัยใหม่ ม.คอลเลจลอนดอนของอังกฤษ แปลโดย นายสุรเดช โชติอุดมพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยถึงที่มาและความเชื่อมโยงของคำทั้ง 2 คำ ซึ่งคำว่า ไททัน Titan ซึ่งเป็นคำนามหมายถึง ผู้ที่มีพละกำลังมหาศาล และคำว่า ไททานิก Titanic เป็นคำคุณศัพท์ของคำว่า Titan ซึ่งในหนังสือเล่มนี้อธิบายว่า

ในตำนานกรีกโบราณ บรรดาไททัน (Titan) คือ เผ่าเทพเจ้ายักษ์ ผู้ให้กำเนิดเหล่าไททันคือผืนดินและท้องฟ้า และพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์แรกบนโลกที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ หลังจากเสพสุขในฐานะเผ่าพันธุ์ที่มีอำนาจมากที่สุดบนโลกเป็นเวลานาน เหล่าไททันก็ตกอยู่ในภาวะสงครามอันยาวนานนับสิบปีกับเหล่าทวยเทพเผ่าพันธุ์ใหม่ที่มีวิวัฒนาการสูงขึ้น

แม้ว่าไททันจะเป็นยักษ์ที่มีพละกำลังมาก แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขามี เหล่าทวยเทพเผ่าพันธุ์ใหม่ซึ่งมีชื่อว่า โอลิมเปียน (Olympian) มีความสามารถเหนือกว่าในหลายๆ ด้าน ทั้งปัญญา ความงาม และทักษะต่างๆ ที่สำคัญคือเหล่าโอลิมเปียนมีลักษณะเหมือนมนุษย์ (หรืออาจเทียบได้ว่า เหมือนกับพวกเรา) มากกว่าจะเป็นเพียงพลังธรรมชาติ แม้ว่าจะมีพละกำลังมหาศาล แต่ตามตำนานแล้ว เหล่าไททันต้องประสบกับความพ่ายแพ้

เรือเดินสมุทรของบริษัทไวต์สตาร์ไลน์ ซึ่งจมลงไปที่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติกในเดือนเม.ย. 1912 มีชื่อว่า ไททานิก และมีพิธีที่เชื่อมโยงกับตำนานอย่างการ “รินเหล้าบวงสรวง” โดยเคาะขวดแชมเปญกับหัวเรือ เรือลำนี้ได้ชื่อดังกล่าวเพราะเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุด เร็วที่สุด และมีกำลังมากที่สุดลำหนึ่งที่จะแล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในสมัยนั้น ผู้คนเชื่อกันว่า เรือไททานิกไม่มีวันล่ม แต่คนที่ตั้งชื่อดังกล่าวย่อมรู้สึกไม่สบายใจนัก ดูจะเป็นชะตาลิขิตที่ล่อลวงใจเลือกตั้งชื่อเรือว่า ไททานิก หากแม้นพวกเขาจะรำลึกได้สักนิดว่า เกิดอะไรขึ้นกับเหล่าไททัน

นายซัตเทอร์แลนด์ ระบุอีกว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราหลงใหลมหันตภัยครั้งนี้อาจเป็นเพราะเราสงสัยไร้เหตุผลว่า เหตุการณ์เรือไททานิกล่มนั้นเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างให้แก่เรา (ต้องใช้เงินนับล้านๆ ดอลล่าร์เพื่อสำรวจเรือที่จมอยู่ใต้น้ำ และตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีหลายคนอยากให้กู้เรือลำนี้) เหตุการณ์ดังกล่าวบ่งบอกเรื่องบางอย่าง มันเตือนเราถึงบางสิ่งที่เราควรจะพยายามทำความเข้าใจอย่างแท้จริง ประโยคที่ว่า “อย่าทะนงตนจนเกินไป” น่าจะเป็นข้อเตือนใจจากเหตุการณ์ที่กลายเป็นตำนานแห่งยุคสมัยของเรา

ศาลผู้ทำหน้าที่ไต่สวนหลังจากเหตุการณ์เรือไททานิกอับปางได้พิจารณาเหตุและผล ก่อนลงความเห็นว่า ความผิดเกิดจากการบังคับกฎที่หย่อนยาน การตรวจตราดูหินโสโครกอย่างหละหลวม การสร้างเรือที่ไม่ได้มาตรฐาน และพื้นที่วางเรือชูชีพที่ไม่เพียงพอตามกฎหมาย ทั้งหมดนี้ไม่ผิดจากความจริงเลย

รายชื่อบุคคลบนเรือดำน้ำไททันทั้ง 5 คน ได้แก่ นายฮามิช ฮาร์ดิง นักธุรกิจพันล้านและนักสำรวจชาวสหราชอาณาจักร ประธานบริษัทด้านอากาศยาน แอ็กชัน เอวิเอชัน นายชาห์ซาดา ดาวูด นักธุรกิจชาวปากีสถาน และนายสุเลมาน ดาวูด บุตรชาย นายปอล อองรี นาโชเลต์ นักสำรวจชาวฝรั่งเศส และนายสต็อกตัน รัช ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท โอเชียนเกต เอ็กซ์เพดิชันส์ เจ้าของเรือดำน้ำไททัน

ทั้งนี้ทั้งนั้น การเก็บกู้ศพ “เป็นเรื่องยากลำบากมาก” ท่ามกลางสภาพแวดล้อมลึกใต้ทะเล ที่ระดับ 3,800 เมตร.... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/2466961/


“จีน-ฝรั่งเศส” มีมุมมองเชิงยุทธศาสตร์และภาพรวมร่วมกัน

นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ขณะพบหารือกับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ที่กรุงปารีส ว่าจีนและฝรั่งเศส ในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) และและประเทศหลักของโลก มีมุมมองเชิงยุทธศาสตร์และภาพรวมร่วมกัน

หลี่กล่าวว่า ในระหว่างการเยือนจีนของประธานาธิบดีฝรั่งเศส เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งประสบความสำเร็จ ผู้นำทั้งสองประเทศแลกเปลี่ยนเชิงลึก และบรรลุฉันทามติเชิงยุทธศาสตร์ เป็นพิมพ์เขียวสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ฝรั่งเศส

นายกรัฐมนตรีจีนกล่าวว่า การเยือนฝรั่งเศสมีเป้าหมายเพื่อดำเนินการตามฉันทามติสำคัญที่ประมุขแห่งรัฐทั้งสองบรรลุ และหารือเชิงลึกกับรัฐบาลปารีส เกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือจีน-ฝรั่งเศส

จีน ฝรั่งเศส และยุโรป มีจุดแข็งของตัวเอง และจำเป็นต้องกระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หลี่กล่าว พร้อมเน้นย้ำว่า ขณะที่พวกเขากระชับความร่วมมืออย่างลึกซึ้งในด้านดั้งเดิม เช่น พลังงานนิวเคลียร์ อวกาศ และการบิน ก็ควรใช้ประโยชน์จากศักยภาพของความร่วมมือในพื้นที่เกิดใหม่ เช่น การปกป้องสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และการผลิตขั้นสูง เพื่อให้บรรลุผลประโยชน์ร่วมกันและผลลัพธ์ของทั้งสองฝ่าย

ทั้งนี้ จีนสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ ลงทุนในฝรั่งเศส และบริษัทฝรั่งเศสยินดีแบ่งปันโอกาสในการพัฒนาของจีน จีนพร้อมที่จะเสริมสร้างการสื่อสารและการประสานงานกับฝรั่งเศส ในด้านกิจการระหว่างประเทศ สนับสนุนความคิดริเริ่มที่ดีของกันและกัน ร่วมกันรับมือกับความท้าทายระดับโลก และส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพของโลก

ด้านมาครงกล่าวว่า ยินดีต่อการเยือนฝรั่งเศสของนายกรัฐมนตรีจีน และการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดสำหรับสนธิสัญญาทางการเงินระดับโลกฉบับใหม่ ฝรั่งเศสให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์กับจีน และยึดมั่นในหลักการจีนเดียว

ฝรั่งเศสยินดีทำงานร่วมกับจีน เพื่อยกระดับการประสานงาน ผ่านการเจรจาเชิงกลยุทธ์ฝรั่งเศส-จีน การหารือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับสูง และการหารือระดับสูงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน และเพื่อกระชับความร่วมมือกับจีนอย่างลึกซึ้งในสาขาต่างๆ เช่น การบิน และอวกาศ พลังงานนิวเคลียร์ การเกษตร และอาหาร

นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยินดีต้อนรับบริษัทจีนให้ลงทุนในฝรั่งเศส และขยายความร่วมมือในด้านที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น การคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสิ่งแวดล้อม และพลังงานใหม่ ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ฝรั่งเศสและจีนควรยึดมั่นในแนวทางพหุภาคีที่เป็นผล ส่งเสริมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างประเทศ ปรับปรุงธรรมา ภิบาลทั่วโลก และส่งเสริมแนวทางแก้ไขปัญหาระดับโลก รวมถึงวิกฤติยูเครนและประเด็นระหว่างประเทศอื่นๆ ที่มีข้อกังวลร่วมกัน

แหล่งข้อมูล : https://news.cgtn.com/news/2023-06-23/China-France-share-strategic-holistic-perspective-Chinese-premier-1kRrgNv29j2/index.html... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/2467430/


ตะวันตกรับ ‘ปฏิบัติการตอบโต้กลับรัสเซีย’ ในยูเครนไม่คืบ

วันที่ 23 มิถุนายน 2566: เจ้าหน้าที่ของชาติตะวันตกรวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ รับว่า ปฏิบัติการตอบโต้กลับรัสเซียของยูเครนในขั้นแรกนั้นประสบความสำเร็จน้อยกว่าที่คาดหวัง และกองกำลังรัสเซียได้แสดงให้เห็นว่ามีความสามารถมากกว่าที่ตะวันตกคาดการณ์

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอกกับซีเอ็นเอ็นว่า การตอบโต้กลับในแนวหน้าไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง กองกำลังยูเครนถูกทำลายจากทุ่นระเบิด ขณะที่กองกำลังรัสเซียมีความสามารถในการป้องกัน

จากการประเมินของชาติตะวันตก กองกำลังรัสเซียพิสูจน์ว่าพวกเขามีแนวป้องกันที่ดี ทำให้กองกำลังยูเครนบุกทะลวงได้ยาก นอกจากนี้กองกำลังรัสเซียยังประสบความสำเร็จในการหยุดยั้งรถหุ้มเกราะของยูเครนด้วยการใช้ขีปนาวุธโจมตีและทุ่นระเบิด ทั้งยังสามารถปฏิบัติการทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ระบุว่า การต่อสู้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรยังคงมองโลกในแง่ดี และเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป กองกำลังยูเครนจะสามารถยึดดินแดนคืนกลับมาได้ โดยสหรัฐฯ และพันธมิตรจะรออย่างน้อยจนถึงเดือนกรกฎาคม จึงจะประเมินความคืบหน้าของการโจมตีตอบโต้กลับให้ละเอียดมากขึ้น

ทั้งนี้ ปฏิบัติการตอบโต้กลับของยูเครนดังกล่าวซึ่งเปิดตัวเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ถูกมองว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะตัวชี้วัดว่าใครจะเป็นผู้ชนะในสงครามยูเครนที่รัสเซียเริ่มต้นขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา

เจ้าหน้าที่ตะวันตกคนหนึ่งบอกว่า ปฏิบัติการตอบโต้กลับครั้งนี้เป็นการพิสูจน์ว่ามันเป็นเรื่องยากลำบากทั้งสำหรับยูเครนและรัสเซีย ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก

ขณะที่เจ้าหน้าที่หลายคนบอกกับซีเอ็นเอ็นว่า สภาพอากาศที่เลวร้ายกำลังกลายเป็นปัญหาสำหรับกองกำลังยูเครน เพราะมันสร้างหายนะให้กับแผนการบุก ยวดยานก็ประสบปัญหาในการเคลื่อนตัว การบาดเจ็บล้มตายของยูเครนั้นหนักหนา แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดที่ฝ่ายรัสเซียพยายามแสดงให้เห็น


ยูเอ็นขึ้นบัญชีรัสเซีย ‘รายชื่อผู้กระทำความผิดทั่วโลก’ ปมสังหารเด็กยูเครนนับร้อย

สำนักข่าวรอยเตอร์ และเอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน นายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้ออกมาระบุว่ารัสเซียได้สังหารเด็กจำนวน 136 คนในประเทศยูเครนเมื่อปี 2022 พร้อมกับนำกองทัพรัสเซียใส่ลงไปในรายชื่อผู้กระทำความผิดทั่วโลก ตามรายงานประจำปีเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเด็กในพื้นที่ความขัดแย้งที่ส่งให้กับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

รายงานของยูเอ็นระบุว่า มีเด็กเสียชีวิตในประเทศยูเครนเมื่อปี 2022 จำนวน 477 คน โดยกองทัพรัสเซียและกองกำลังที่เกี่ยวข้องได้คร่าชีวิตเด็กไปเป็นจำนวน 136 คน ขณะที่กองทัพยูเครนได้สังหารเด็กจำนวน 80 คน นอกจากนั้นแล้วมีเด็กที่ต้องกลายเป็นผู้พิการในยูเครนจำนวน 909 คน โดย 518 คนต้องพิการจากกองทัพรัสเซีย ขณะที่ 175 คนต้องพิการจากกองทัพยูเครน

รายงานระบุด้วยว่า กองทัพรัสเซียได้ใช้เด็กจำนวน 91 คนเป็นโล่มนุษย์ และทำการโจมตีใส่โรงเรียนและโรงพยาบาล 480 ครั้ง ด้านกองทัพยูเครนทำการโจมตีโรงเรียนและโรงพยาบาล 212 ครั้ง อย่างไรก็ตาม กองทัพยูเครนไม่ได้ถูกใส่ชื่อลงไปในรายชื่อผู้กระทำความผิดทั่วโลก

นายกุแตเรซระบุในรายงานดังกล่าวว่า เขารู้สึก “ตกใจอย่างมาก” จากตัวเลขจำนวนเด็กที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจนกลายเป็นผู้พิการ รวมถึงการโจมตีโรงเรียนและโรงพยาบาลจากกองทัพรัสเซีย ขณะที่เขาเองรู้สึก “ไม่สบายใจอย่างมาก” เช่นกันที่ได้เห็นตัวเลขการโจมตีในลักษณะดังกล่าวต่อเด็กจากกองทัพยูเครน

ผู้แทนรัสเซียประจำยูเอ็นในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ ยังไม่ออกมาให้ความเห็นถึงรายงานดังกล่าวแต่อย่างใด รายงานที่ว่านี้ถูกรวบรวมโดยเวอร์จิเนีย แกมบา ผู้แทนพิเศษของนายกุแตเรซในเรื่องเด็กและความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธต่อสู้

รายงานของยูเอ็นยังยืนยันอีกว่ามีเด็กจำนวน 91 คนถูกลักพาตัวโดยกองทัพรัสเซีย แต่ทั้งหมดถูกปล่อยตัวในเวลาต่อมา และยืนยันว่ามีการย้ายเด็กจำนวน 46 คนจากยูเครนไปยังรัสเซีย

โดนัลด์ ทรัมป์” จะได้รับโทษสถานหนักถูกจองจำหรือไม่?

หากจะพูดถึงความเจนจัดในด้านการต่อสู้เรื่องคดีความ มองๆ ไปแล้วแทบจะไม่มีใครในแวดวงการเมืองและวงการธุรกิจที่จะมีความช่ำชองเชี่ยวชาญได้เทียบเท่ากับ “อดีตประธานาธิบดีโดนัดล์ ทรัมป์” สืบเนื่องมาจากเขาได้ผ่านทั้งคดีแพ่งและคดีอาญามากกว่าสี่พันคดีนั่นเอง

ทว่าขณะนี้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเผชิญกับคดีอาญาที่ถาโถมเพิ่มเติมเข้าไปอีกหลายๆ คดีที่ดูเหมือนว่า มีความเสี่ยงต่อการที่จะได้รับโทษสถานหนักถึงขั้นถูกจองจำอยู่ในคุกเลยทีเดียว !!!

โดยเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2023 อัยการเขตนครแมนฮัตตัน ณ รัฐนิวยอร์ก ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีก 34 กระทง และดูเหมือนว่าคดีนี้ที่ตกเป็นข่าวใหญ่เกี่ยวกับการจ่ายเงินปิดปากดาราดาวโป๊เรื่องที่เขาเข้าไปกุ๊กกิ๊กมีเพศสัมพันธ์ด้วย แต่เขาได้ออกมากล่าวปฏิเสธภายหลังว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดไม่มีมูลความจริง เป็นเรื่องกลั่นแกล้งต้องการที่จะทำลายอนาคตทางการเมือง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2023นี้ เขาก็ได้ถูกฟ้องจากรัฐบาลกลางอีก 37 กระทง ที่ความยาวของข้อกล่าวหามากถึง 49 หน้า สืบเนื่องมาจากการที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์นำเอาข้อมูลเอกสารลับไปเก็บไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ไม่ยอมนำไปส่งคืนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง หลังจากที่พ้นออกจากตำแหน่งย้ายออกจากทำเนียบขาวแล้ว โดยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถูกข้อหาว่า “มีความจงใจที่จะเก็บข้อมูลด้านการป้องกันประเทศภายใต้พระราชบัญญัติจารกรรมเอาไว้ในครอบครอง”

ข้อมูลของคำฟ้อง 37 กระทงระบุว่า เอกสารลับที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ครอบครองอยู่ประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันสหรัฐฯ และนานาประเทศ รวมไปถึง ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ

ในคำฟ้องได้กล่าวอ้างว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์มิได้รับอนุญาตให้มีหน้าที่เก็บเอกสารลับเหล่านี้ ที่อาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความปลอดภัยของกองทัพสหรัฐฯ

อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถูกข้อกล่าวหาต่อไปว่า เขาได้นำเอกสารเหล่านั้นไปเก็บไว้ในห้องบอลรูม ห้องน้ำ ห้องทำงาน และห้องนอน !!!

และยังมีข้อหาที่ว่า “อดีตประธานาธิบดีทรัมป์พยายามขัดขวางการสอบสวนของเอฟบีไอในเรื่องการเก็บเอกสาร”

และเมื่อเขาเดินทางกลับถึงรีสอร์ทที่มาร์-อา-ลาโก รัฐฟลอริด้า เขาได้ออกมากล่าวโจมตีโยงไปถึง ประธานาธิบดีโจ ไบเดน, อัยการสูงสุดเมอร์ริด การ์แลนด์, และ อัยการพิเศษเจ็ค สมิธ ในทำนองว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ นี่คือการแทรกแซงทางการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องของประธานาธิบดีโจ ไบเดน”

ทั้งนี้ “อัยการสูงสุดเมอร์ริด การ์แลนด์”เคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทรณ์เขตโคลัมเบียแห่งสหรัฐฯ และเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2021 เข้าพิธีสาบานตน เพราะได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งอัยการสูงสุดของสหรัฐฯ จากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งอัยการท่านนี้มีหน้าที่รับผิดชอบพนักงานกว่า 115,000 คนของกระทรวงยุติธรรม

สำหรับชีวประวัติคร่าวๆ ของอัยการการ์แลนด์สำเร็จด้านกฎหมายจากฮาร์วาร์ด ระดับเกียรตินิยม และอุทิศตนทำงานทั้งในคดีอาญา คดีแพ่ง และความมั่นคงแห่งชาติในกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน โดยยังรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่ฮาร์วาร์ดอีกด้วย

ส่วน แจ็ค สมิธ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2022 เขาได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่ง “ที่ปรึกษาพิเศษ” จากอัยการสูงสุดการ์แลนด์ให้เข้ามารับหน้าที่ด้านการดำเนินคดีอาญาต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ โดยที่ปรึกษาพิเศษแจ็ค สมิธ เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงจากการชนะคดียากๆ มาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นคดีอาชญากรสงครามห รือคดีตำรวจที่ฉ้อฉลคดโกง !!!

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายส่วนใหญ่ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นในทำนองที่ว่า ขณะนี้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์กำลังตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างร้ายแรง

อนึ่งผู้พิพากษาที่ไปมีหน้าที่รับผิดชอบคดีเกี่ยวกับการที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์นำเอกสารกลับไปเก็บที่บ้านตนเองก็คือ “ผู้พิพากษาไอลีน แคนนอน” ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปีค.ศ. 2019

อย่างไรก็ตามทันทีที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์โดนข้อหา 37 กระทง ปรากฏว่า บรรดาสมาชิกในค่ายพรรครีพับลิกันที่บางคนเป็นคู่แข่งในการแข่งขันการเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อเข้าไปลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีได้ออกมาปกป้องอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มี อาทิ “ผู้ว่าฯรอน เดอซานติส” คู่แข่งคนสำคัญ และยังมี “วิเวก รามาสวามี” มหาเศรษฐีหนุ่มได้ออกมาแถลงว่า หากเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เขาจะมอบอภัยโทษให้แก่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์

ส่วน “วุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์” ซึ่งสังกัดอยู่ในค่ายพรรครีพับลิกันเช่นกัน ได้ออกมากล่าวสนับสนุนการตัดสินใจของกระทรวงยุติธรรม โดยเขาได้กล่าวว่า “กระทรวงยุติธรรมมีความระมัดระวังในการตั้งข้อหา ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ นั่นแหละที่น่าจะมีความอับอายในการกระทำของตนเอง”

สำหรับ “อาซา ฮัทชินตัน” อดีตผู้ว่าฯรัฐอาร์คันซอ คู่แข่งอีกคนหนึ่งของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกมากล่าวว่า “อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ควรจะเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน”

และยังมี “วุฒิสมาชิกมิทช์ แมคคอนเนลล์” ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาได้ออกมากล่าวแถลงว่า “ข้อกล่าวหาของกระทรวงยุติธรรมนับว่าร้ายแรง แต่ก็เป็นภาระและเป็นหน้าที่ๆ กระทรวงยุติธรรมจะต้องทำการพิสูจน์” โดย “ศาสตราจารย์เทอร์ลีย์ เทอร์ลีย์”แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ช่องฟ็อกซ์นิวส์ว่า “คดีความ 37 กระทงที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับนั้น โดยในคำฟ้องมีรายละเอียดอย่างมากมาย และนับเป็นการฟ้องร้องที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง” และศาสตราจารย์ผู้นี้ยังได้กล่าวชี้ต่อไปอีกว่า “อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สมควรที่จะหลอกตนเอง”

อีกทั้งศาสตราจารย์เทอร์ลีย์ เทอร์ลีย์ ยังได้อธิบายเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า “ไม่สมควรอย่างยิ่งที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์นำเอกสารไปวางไว้ในห้องบอลรูมและในห้องน้ำ”

และยังมี “ศาสตราจารย์เคล แมคคลานาแฮน”แห่งมหาวิทยาลัยจอ์จ วอชิงตัน ได้ออกมากล่าวว่า “หลักฐานในคำฟ้องชี้ให้เห็นเด่นชัดแล้วว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เป็นตัวการสำคัญที่รู้ดีว่า เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลด้านอาวุธนิวเคลียร์ก็เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศและเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศอื่นๆ ด้วย”

ส่วน “อดีตอัยการสูงสุดวิลเลียม บาร์” ที่ดำรงตำแหน่งในสมัยของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์และเคยเป็นผู้ที่กางปีกปกป้องประธานาธิบดีทรัมป์อย่างแข็งขันขณะอยู่ในตำแหน่งตลอดมาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ “Face the Nation” ของสถานีโทรทัศน์ช่องซีบีเอสนิวส์เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2023 นี้ว่า “การกระทำของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับคดีเอกสารนั้น ถือเป็นพฤติกรรมประมาทเลินเล่อที่ไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อประเทศเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายต่อพรรครีพับลิกันอีกด้วย” โดยกล่าวโจมตีเพิ่มเติมต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์อีกว่า “เป็นคนหลงตัวเอง และมีพฤติกรรมบกพร่องโดยพื้นฐาน เหมือนกับเป็นเด็กอายุเก้าขวบที่ชอบท้าทายพ่อแม่ แต่ประเทศของเราไม่สามารถเป็นสถานที่บำบัดให้แก่ผู้ชายที่มีปัญหาเช่นนี้ โดยที่ผ่านมาข้อแก้ตัวของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ในกรณีเอกสารช่างไร้เหตุผลสิ้นดี”

เป็นที่น่าสังเกตว่าข่าวการให้สัมภาษณ์ของอดีตอัยการสูงสุดบาร์ ได้มีการเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนแทบทุกฉบับ นับว่าความคิดเห็นของเขามีน้ำหนักมากทีเดียว

อนึ่งขณะนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน พยายามหลีกเลี่ยงไม่ต้องการที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาทางด้านกฎหมายของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ แต่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะถูกกล่าวหาว่า อยู่เบื้องหลังของการดำเนินคดีความดังกล่าว !!!

อย่างไรก็ตามคำฟ้องในคดีความต่างๆ ที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับนั้น ทางกฎหมายไม่ถือเป็นอุปสรรคในการลงสมัครรับตำแหน่งประธานาธิบดีแต่อย่างใด !!!

และจากการหยั่งเสียงครั้งล่าสุดของมหาวิทยาลัย Quinnipiac ซึ่งเป็นโพลที่ได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างสูงเปิดเผยเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2023 นี้ว่า คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพิ่มขึ้น 2% เป็น 48% ส่วนคะแนนนิยมของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ร่วงหล่นลงมา 2% เหลือแค่เพียง 44%

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นดูเหมือนว่าขณะนี้ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”จะต้องเผชิญกับสองคดีดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เขาก็ยังมีคดีอาญาใหญ่ๆ อีกสองคดีเกี่ยวกับความพยายามที่เขาต้องการจะพลิกผลการเลือกตั้งแถมท้ายเข้าไปเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งเขากำลังตกอยู่ในโหมดอันตรายเสี่ยงเข้าไปนอนอยู่ในซังเต แต่ในทางกลับกันหากเขารับชัยชนะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งคราหนึ่ง เขาได้ประกาศกร้าวขู่ว่า จะคิดบัญชีกับทุกๆ คนที่วางตัวเป็นศัตรู และหากวันนั้นเป็นไปได้และเกิดขึ้นจริงสหรัฐอเมริกาอาจจะเข้าสู่โหมดวิกฤติระส่ำระสายบ้านเมืองลุกเป็นไฟ

เครดิต /ข้อมูล ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย