สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รายงานฉบับใหม่ของคณะกรรมการไต่สวน ซึ่งยื่นต่อสภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวหาทั้งอิสราเอลและกลุ่มฮามาสว่า ก่ออาชญากรรมสงครามและละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายครั้ง นับตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2566
รายงานดังกล่าว ซึ่งรวบรวมข้อมูลจนถึงสิ้นปี 2566 เท่านั้น กล่าวหาอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสว่า ก่ออาชญากรรมสงครามด้วยการโจมตีพลเรือน, ฆาตกรรม และฆ่าคนโดยเจตนา นอกจากนั้นยังกล่าวหาอิสราเอลเป็นพิเศษว่า ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติด้วยว่า ทรมาน, ทำลายล้าง และกดขี่ข่มเหงเนื่องจากเพศสภาพ” (gender persecution) โดยมุ่งเป้าหมายไปที่ชายและเด็กชายชาวปาเลสไตน์
ทั้งนี้ คณะกรรมการไต่สวนของสหประชาชาติ ซึ่งนำโดยนาง นาวี พิลเลย์ อดีตหัวหน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) รวบรวมข้อมูลสำหรับเขียนรายงานฉบับนี้ด้วยการสัมภาษณ์ผู้ตกเป็นเหยื่อ และผู้เห็นเหตุการณ์, รายงานทางการแพทย์ และข้อมูลที่ได้รับการเผยแพร่ออกมา
คณะกรรมการฯ ระบุว่า การที่อิสราเอลใช้อาวุธหนักในเขตชุมชน ถือเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม เนื่องจากมันเป็นการโจมตีพลเรือนโดยตรงด้วยความตั้งใจที่จะสร้างความเสียหายให้มากที่สุด โดยไม่สนหลักการแบ่งแยกพลรบกับพลเรือน, ความได้สัดส่วน และการเตือนภัยก่อนการโจมตี
พวกเขากล่าวหาอิสราเอลด้วยว่า ก่ออาชญากรรมสงครามรูปแบบอื่นๆ ทั้ง ทำให้อดอยาก, จับกุมตามอำเภอใจ, สังหารและทำให้เด็กหลายหมื่นคนบาดเจ็บสาหัสหรือพิการ นอกจากนั้นยังใช้การปิดล้อมอย่างสิ้นเชิงเป็นอาวุธ จำกัดพลังงาน, อาหาร และน้ำที่ส่งถึงพลเรือน กลายเป็นการลงโทษแบบเหมารวม (collective punishment)
ขณะที่อาชญากรรมต่อมนุษยชาติอื่นๆ ที่ก่อโดยอิสราเอล รวมถึง การทำลายล้าง, ฆาตกรรม, กดขี่ข่มเหงเนื่องจากเพศสภาพ, บังคับเคลื่อนย้ายประชากร, ทรมาน, การปฏิบัติอย่างโหดร้ายและไม่เป็นมนุษย์
ด้านกลุ่มฮามาสถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุทารุณกรรมมากมายระหว่างการโจมตีครั้งใหญ่ของพวกเขาในวันที่ 7 ต.ค. ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตร่วม 1,200 ศพ และอีก 251 คนถูกลักพาตัว โดยรายงานระบุว่า มีหลักฐานมากมายที่ชี้ว่าเกิดการล่วงละเมิดทางเพศเป็นวงกว้างต่อหญิงชาวอิสราเอล และพบรูปแบบของการสังหารหมู่ในที่หลักภัยสาธารณะหลายแห่ง
แต่ฝ่ายกองทัพอิสราเอลก็ถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศเช่นกัน ด้วยการบังคับใช้ชาวปาเลสไตน์เปลื้องผ้าในที่สาธารณะ โดยทีมสืบสวนระบุว่า ทำเพื่อสร้างความอับอายต่อชุมชน และเน้นย้ำการอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ถูกจับกุม
อิสราเอล ซึ่งปฏิเสธให้ความร่วมมือในการสืบสวน ออกมาปฏิเสธรายงานฉบับนี้อย่างรวดเร็ว โดยกล่าวหาว่ารายงานนี้คือการแบ่งแยกต่อต้านอิสราเอลอย่างเป็นระบบ โดยนาง เมราฟ เอลอน ชาฮาห์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ กล่าวหาคณะกรรมการสืบสวนว่า กำลังหาทางสร้างความเหมือนกันระหว่างกลุ่มฮามาสกับกองทัพอิสราเอล ในเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งไม่เป็นความจริง
ส่วนฝ่ายกลุ่มฮามาสยังไม่ออกมาแสดงความเห็นแต่อย่างใด
อนึ่ง รายงานของคณะกรรมการสืบสวนไม่ได้นำไปสู่บทลงโทษใดๆ แต่มันอาจถูกใช้ประกอบการดำเนินคดีผู้นำกลุ่มฮามาสและผู้นำอิสราเอล ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
จากที่อดีตผู้จัดการโรงแรมแห่งหนึ่งในตกลงเมืองพัทยา ต้องพลิกชีวิตมาเปิดร้านสถานี ส้มตำวินเทจ โดยใช้รถยนต์ส่วนตัวยี่ห้อ Audi (อาวดี้) ซึ่งเปิดท้ายรถในการทำ ส้มตำ และเครื่องปรุงยำต่างๆ กว่า 10 เมนู พร้อมด้วยอุปกรณ์ครก สาก ที่ใช้สำหรับทำ ส้มตำ และอุปกรณ์ในการทำเมนูยำต่างๆ เพื่อนำไปปรุงสดๆให้กับลูกค้าที่ออเดอร์ถึงที่
นายไพรทูล บุญศรี เจ้าของร้านสถานี ส้มตำวินเทจ กล่าวว่า ก่อนที่เกินโควิด 19 ตนได้ทำงานผู้จัดการโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา หลังจากนั้นก็ได้ออกมาเปิดร้านคาเฟ่ ซึ่งกำลังจะไปได้ด้วยดี ก็มาเกิดโควิดรุนแรงขึ้นก็ทำให้เจ้ง หลังจากนั้นก็มาเปิดเป็นร้านอาหารก็เริ่มเจอวิกฤตในการจำกัดปริมาณลูกค้านั่งรับประทานในร้านทำให้ธุรกิจไปต่อไม่ได้ จากนั้นก็ได้หาแนวทางโดยปรับการขายเป็นการขับรถไปขายขนมจีนให้กับลูกค้าถึงที่ก็ได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า หลังจากนั้นก็เห็นแนวทางอีกก็เปลี่ยนเป็นส้มตำที่ขายอยู่ที่ร้าน น้ำปลาร้าที่ต้มเอง ยกครก ซาก วัตถุดิบทะเลสด ยกขึ้นรถเพื่อไปขายให้กับลูกค้า
ซึ่งลูกค้าเห็นเป็นเรื่องแปลก น้ำปลาร้าไม่หกใส่รถหรูหรอ ซึ่งจุดขายที่ร้านก็เป็นน้ำปลาร้าที่เป็นสูตรของตนเอง พร้อมกับวัตถุดิบสด ใหม่ทุกวัน หลังจากนั้นลูกค้าก็ตั้งชื่อจากส้มตำวินเทจเป็นส้มตำอาวดี หลังจากนั้นก็ใช้ชื่อร้านส้มตำอาวดีเป็นต้นมา กระแสตอบรับจากลูกค้าถือว่าดีมาก ซึ่งมีพวกพี่ๆที่เป็นสื่อมาช่วยทำข่าวประชาสัมพันธ์ ตนไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีลูกค้าเยอะขนาดนี้ ก็ต้องขอบคุณลูกค้าที่มาอุดหนุน มาให้กำลังใจ ตามมาซื้อที่ทุกที่ที่ไปจอดรถขายส้มตำ จากตอนนั้นมีรถยนต์อาวดี้ 1คันที่ขับไปขายส้มตำทั่วพัทยา จนมาถึงตอนนี้เปิดร้านส้มตำอาวดี 10 สาขา ใน กทม. ส่วนในพื้นที่พัทยา ตนก็จะจอดขายที่หน้าโรงแรม เดอะนาว จอมเทียน รวมไปถึงงานเทศกาลต่างๆของเมืองพัทยา ก็จะนำส้มตำมาขายให้ลูกค้าชาวพัทยาได้รับประทาน สุดท้ายตนก็ขอบคุณลูกค้าจากใจที่คอยสนันสนุน อุดหนุน และให้กำลังใจมาถึงทุกวันนี้
นายวสิษฐ์พล สุขแก้ว อายุ 24 ปี ลูกค้า กล่าวว่า ก็มาซื้อไปรับประทานบ่อยครั้ง รสชาติแซ่บมาก ก็อยากเชิญชวนลูกค้าชาวพัทยามาลองชิมรสส้มตำและยำที่ร้านส้มตำอาวดี้
12 มิถุนายน 67 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.มักกะสัน ได้ควบคุมตัวนายนรเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ อายุ 52 ปี ชาวจ.อุทัยธานี ญาติสนิทนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย นายกิจจา จุลมุสิก อายุ 55 ปี ชาวจ.อุทัยธานี น.ส.วาลิส ทัศนเอกจิต อายุ 36 ปี ชาวจ.นครปฐม และ น.ส.อัญชลีพร เหมือนแก้ว อายุ 41 ปี ชาว กทม. ผู้ต้องหาคดียาเพติด มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้งแรก
กรณีเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 67 วลากลางคืน เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.1 บช.น.ได้เข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด ได้ภายในห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่ง ใน กทม.พร้อมของกลางยาไอซ์ชนิดเกล็ด บรรจุในถุงใสซิปล็อค 6 ถุง รวมน้ำหนัก 5.4 กรัม และอาวุธปืน GLOCK 30 ขนาด.45 พร้อมกระสุน 6 นัด ของนายนรเศรษฐ์ ส่งพนักงานสอบสวน สน.มักกะสันแจ้งข้อหาดำเนินคดีข้อหา ร่วมกันครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาไอซ์) โดยไม่ได้รับอนุญาต และแจ้งข้อหาเพิ่มนายนรเศรษฐ์ ความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร
ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีกหลายปาก รอผลการตรวจประวัติอาชญากรผู้ต้องหารอผลการตรวจพิสูจน์ยาเสพติด และอาวุธปืนของกลาง และอื่นๆ จึงขอฝากขังผู้ต้องหาทั้งหมดไว้เป็นเวลา 12 วันตั้งแต่วันที่12 -23มิถุนายนนี้
ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้
ต่อมาญาติผู้ต้องหาทั้งหมดได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวน ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ต้องหาทั้งสี่ มีประกันตัวไป โดยนายนรเศรษฐ์ไทยเศรษฐ ศาลตีราคาประกัน 55,000 บาท นายกิจจา จุลละมุสิก ศาลตีราคาประกัน 2 หมื่นบาท น.ส.วาริศ ทัศนจิต ศาลตีราคาประกัน 2 หมื่นบาท และน.ส.อัญชลี เหมือนแก้ว ศาลตีราคา ประกัน 55,000 บาท โดยศาลไม่กำหนดเงื่อนไขใดๆ
หอยทากบกเรืองแสงถูกค้นพบครั้งแรกในโลกเมื่อปี พ.ศ.2485 ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยนักวิจัยชาวญี่ปุ่น ดร.ยาตะ ฮาเนดะ (Dr. Yata Haneda) ซึ่งหอยทากสกุล Quantula ชนิด Striata จัดได้ว่าเป็นหอยทากบกเพียงชนิดเดียวในโลกที่เรืองแสงได้
เกือบ 80 ปีต่อมา หอยทากบกเรืองแสงถูกค้นพบอีกครั้งในประเทศไทย โดยทีมนักวิจัยจุฬาฯ นำโดย ดร.อาทิตย์ พลโยธา ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบหอยเรืองแสงตัวแรกของไทย เป็นหอยทากบกสกุล Phuphania ที่อาศัยอยู่บริเวณเขาหินปูน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
ดร.อาทิตย์ กล่าวว่า “การค้นพบหอยเรืองแสงในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าระบบนิเวศของไทยมีความหลากหลาย และน่าจะยังมีสัตว์หรือพืชพันธุ์อีกหลายอย่างที่มีเฉพาะในประเทศไทยหรือเฉพาะในภูมิภาคนี้เท่านั้น ที่รอให้เราค้นพบและศึกษา”
ทีมนักวิจัยจุฬาฯ ได้ส่งข้อมูลเรื่องราวการค้นพบ “หอยทากบกเรืองแสงของไทย” เข้าร่วมแข่งขันในเวที “International Mollusc of the Year 2024” การแข่งขันหอยและหมึกนานาชาติปี 2567 มีหอยและหมึกจากทั่วโลกเข้าร่วมมากกว่า 50 ชื่อ หอยทากบกเรืองแสงของไทยชนะผลโหวตเป็นอันดับ 1 ถูกคัดเลือกให้เป็น “หอยนานาชาติ ประจำปี 2024”
ดร.อาทิตย์เล่าว่าการค้นพบการเรืองแสงทางชีวภาพในหอยทาก เริ่มต้นจากทีมวิจัยของ ศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ ปัญหา ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านความหลากหลายทางและอาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ได้แก่ รองศาสตราจารย์ ดร.จิรศักดิ์ สุจริต, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิโยรส ทองเกิด และดร.อาทิตย์ ทีมวิจัยได้ศึกษาความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการของหอยทากบก พบว่าหอยทากบกสกุล Quantula ที่ค้นพบครั้งแรกโดยนักวิจัยชาวญี่ปุ่นนั้น มีความใกล้ชิดกับหอยทากบกสกุล Phuphania ในประเทศไทย จึงเริ่มวางแผนการศึกษาและสำรวจความหลากหลายของหอยทากบกในพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทย
ทีมวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เริ่มศึกษาวิจัยหอยทากบกเรืองแสงของไทยโดยร่วมมือกับทีมนักวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น การศึกษาวิจัยหอยทากบกเรืองแสงดำเนินไป 3 ปี ผลงานวิจัยหอยทากบกเรืองแสงของไทยได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports ฉบับที่ 13 ในปี 2566
หอยทากบกสกุล Quantula ที่นักวิจัยชาวญี่ปุ่นค้นพบนั้นจะเปล่งแสงสีเขียวเป็นจุดขนาดเล็กบริเวณใต้ปาก ไม่สามารถเปล่งแสงสีเขียวอย่างต่อเนื่องได้ แต่หอยทากบกสกุล Phuphania ของไทยมีความพิเศษคือสามารถเปล่งแสงสีเขียวได้อย่างต่อเนื่อง แสงสีเขียวที่เรืองแสงจะมาจากเซลล์เปล่งแสงที่อยู่บริเวณใต้ปากและเนื้อเยื่อแมนเทิล ส่วนหอยทากบก ชนิด Phuphania crossei ซึ่งเป็นชนิดที่ส่งเข้าประกวดได้รับผลโหวตชนะเลิศในครั้งนี้ มีความพิเศษคือสามารถเรืองแสงออกมาได้อย่างต่อเนื่องทั้งกลางวันและกลางคืน และเป็นชนิดเดียวในสกุลนี้ที่มีเซลล์เรืองแสงอยู่บริเวณเท้าส่วนหน้าด้วย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิโยรส ทองเกิด หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวถึงการวิจัยเกี่ยวกับหอยในอนาคตว่า หอยทากบกเรืองแสงของไทยที่ได้รับคัดเลือกให้เป็น International Mollusc of the Year จะได้นำไปวิเคราะห์และผลิตข้อมูลจีโนมฉบับเต็ม ซึ่งข้อมูลที่ได้จะต้องนำไปวิเคราะห์เปรียบเทียบกับหอยเรืองแสงในระบบนิเวศอื่น ๆ เพื่อให้เข้าใจวิวัฒนาการของการเรืองแสงในสัตว์กลุ่มนี้
นอกจากการศึกษาเรื่องการเรืองแสงของหอย ทีมวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กำลังศึกษาเกี่ยวกับ “เมือกจากหอย” เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะในการผลิตเป็นผ้าก็อตพันแผล
ดร.ปิโยรส กล่าวปิดท้ายว่า “ทีมนักวิจัยได้ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ศึกษาจีโนมของหอยเพื่อหาโปรตีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการผลิตเมือกเหนียว การค้นพบโปรตีนเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจกระบวนการทางชีวภาพที่ทำให้หอยสามารถผลิตเมือกที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวได้ และอาจนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพสูงได้ในอนาคต”
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขของแอฟริกาใต้ระบุในวันพุธที่ 12 มิ.ย. 2567 ว่า ชายวัย 37 ปี กลายเป็นผู้เสียชีวิตจากเชื้อ ‘ฝีดาษลิง’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘เอ็มพ็อกซ์’ (Mpox) ศพแรกในประเทศ โดยเขาเป็นหนึ่งใน 5 คนที่ผลตรวจจากห้องทดลองยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา
นาย โจ ฟาห์ลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของแอฟริกาใต้ กล่าวในงานแถลงข่าวว่า ชายผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเตมบีซา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (10 มิ.ย.) ขณะที่ผู้ติดเชื้อเอ็มพ็อกซ์รายอื่นๆ ทุกคนเป็นชายอายุระหว่าง 30-39 ปี และไม่มีประวัติเดินทางไปประเทศที่กำลังมีการระบาดของไวรัสชนิดนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่ากำลังมีการส่งต่อของเชื้อภายในประเทศ
“ผู้ป่วยทั้ง 5 รายถูกจัดเป็นผู้ป่วยรุนแรง ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยเหล่านี้มีโรคอื่นร่วม และถูกระบุว่าเป็นประชากรกลุ่มเสี่ยง หรือชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย” นายฟาห์ลาบอกกับผู้สื่อข่าว และเสริมว่า ผู้ป่วยคนหนึ่งออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว อีกคนได้ออกไปกักตัวต่อที่บ้าน ส่วนอีก 2 รายยังต้องอยู่โรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่ยืนยันด้วยว่า ผู้ป่วย 3 รายในจำนวนนี้ ติดเชื้อฝีดาษลิงในกลุ่ม/เคลด iib (clade IIb) ซึ่งเริ่มแพร่กระจายไปทั่วโลกในปี 2565
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012