ข่าว
ตำรวจรัฐสภาสหรัฐฯ ยื่นฟ้อง ‘ทรัมป์-กลุ่มขวาจัด’ หลังก่อเหตุจลาจล 6 ม.ค.

27 สิงหาคม 2564 : สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาสหรัฐฯ 7 นาย ยื่นฟ้องคดีความสิทธิพลเมืองเพื่อเอาผิดอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และโรเจอร์ สโตน ซึ่งเป็นพันธมิตรของทรัมป์ รวมถึงสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายขวาจัด กรณีบุกรุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.

เดอะ ฮิลล์ สื่อสหรัฐฯ รายงานว่าคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นฟ้องคดีความข้างต้นที่ศาลยุติธรรมในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยกล่าวหาว่าทรัมป์ร่วมดำเนินการกับกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายขวาจัด อาทิ พราวด์ บอยส์ (Proud Boys) และโอธ คีปเปอร์ส (Oath Keepers) ที่ทำการก่อการร้ายภายในประเทศระหว่างเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภา

คณะเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาว่าทรัมป์และจำเลยคนอื่นๆ ฝ่าฝืนทั้งกฎหมายของประเทศและบทบัญญัติแห่งกฎหมายคูคลักซ์แคลน (Ku Klux Klan Act) ซึ่งเป็นรัฐบัญญัติปี 1871 ที่กำหนดให้การใช้กำลังหรือการข่มขู่เพื่อกีดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย

กลุ่มผู้ร้องทุกข์ ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา 5 คน อ้างว่าการกระทำของจำเลยได้รับแรงกระตุ้นจากการส่งเสริมทฤษฎีสมคบคิดภายใต้แนวคิดคนผิวขาวสูงส่งที่สุด และคำโกหกที่ว่ามีการโกงการเลือกตั้งเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีประชาชนผิวดำจำนวนมาก

“การจลาจลเมื่อวันที่ 6 ม.ค. เป็นความพยายามอย่างโจ่งแจ้งในการปิดกั้นคะแนนและเสียงของชาว อเมริกันหลายล้านคน โดยเฉพาะผู้ลงคะแนนชาวผิวดำ” ความเห็นจากเดมอน เฮวิตต์ ประธานคณะกรรมการนักกฎหมายเพื่อสิทธิพลเมืองภายใต้กฎหมาย ซึ่งเป็นทนายให้คณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ

รายงานระบุว่าการยื่นฟ้องครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีผู้กล่าวหาว่าทรัมป์ลอบวางแผนกับกลุ่มฝ่ายขวาจัด เพื่อใช้กำลังและการข่มขู่กีดขวางสภาคองเกรส ซึ่งดำเนินการยืนยันชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของโจ ไบเดน

กิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ฉายหนังกลางแปลงเรื่อง “นาคี 2”

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ร่วมกับองค์กรไทยนิวเยียร์ฯ และ สภาไทยทาวน์ลอสแอนเจลิส ร่วมกันจัดกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ ฉายหนังกลางแปลงเรื่อง “นาคี 2” ในช่วงค่ำวันเสาร์ที่ 4 กันยายน 2564 ณ บริเวณที่จอดรถวัดไทยแอลเอเมืองนอร์ท ฮอลลีวูด เพื่อให้คนในชุมชนไทยในนครลอส แอนเจลิส และเมืองใกล้เคียง ได้มีโอกาสมาพักผ่อน พบปะสังสรรค์ สัมผัสชีวิตในแบบวิถีไทยร่วมกัน พร้อมกับได้ชมหนังกลางแปลงฝีมือคนไทย ได้ทานอาหารไทยที่จะมีจำหน่ายก่อนหนังฉายอย่างมากมาย ในบรรยากาศเปิดกลางแจ้ง ซึ่งไม่มีให้ได้สัมผัสกันบ่อยนัก

“อยากเชิญชวนให้เพื่อนคนไทยในแอลเอและเมืองอื่นๆ ที่มีเวลา มาร่วมกิจกรรมดูหนังกลางแปลงเรื่องนาคี 2 กันเยอะๆ จะได้มาพักผ่อนคลายเครียดจากเรื่องโควิด-19 กันไปได้บ้าง ได้มาพบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูงคนรู้จัก ได้มาซื้ออาหารทานก่อนและหลังดูหนัง เป็นบรรยากาศที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในต่างแดน ขอเชิญทุกคนนะคะ และก็อย่าลืมปฏิบัติตามมาตรการของทาง CDC ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง และขยันล้างมือบ่อยๆ ขอให้ทุกคนมีความสุขควบคู่กับการระมัดระวังตัวในช่วงที่โควิด-19 ยังวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเรา เสาร์ที่ 4 กันยายน ที่จะถึงนี้ พาครอบครัว ชวนญาติ ชวนเพื่อน มาชมหนังกลางแปลง ที่วัดไทยแอลเอกันค่ะ” นางศรีวงศ์ อาญาสิทธิ ประธานคณะกรรมการบริหารองค์กรไทยนิวเยียร์ กล่าวเชิญชวน

สำหรับกิจกรรมฉายหนังกลางแปลงจะเริ่มประมาณหกโมงเย็น แต่ทางตลาดอาหารวัดไทยแอลเอ ที่หยุดการขายไปนานกว่าหนึ่งปี จะกลับมา Soft opening จำหน่ายอาหารหลากหลายเมนูที่อร่อยในราคาประหยัด ให้กับผู้ไปร่วมชมหนังกลางแปลง ได้ทานกันก่อนหนังฉาย และสามารถซื้อทูโกกลับไปทานที่บ้านในช่วงหนังฉายเสร็จได้อีกด้วย

“กิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ฉายหนังกลางแปลงในวันเสาร์ที่ 4 กันยายน 2564 ทางทีมงานสภาไทยทาวน์ลอส แอนเจลิส ที่ดูแลด้านการจัดการด้านต่างๆ ในงาน จะเปิดประตูให้ทุกคนได้เข้ามาในงานตั้งแต่เวลาบ่าย 3 โมง เพื่อจะได้มีเวลามาหาซื้ออาหารและขนมต่างๆ ที่ตลาดอาหารวัดไทยฯ กันอย่างเต็มที่ มีเวลาทานก่อนหนังฉาย และสามารถซื้อกลับบ้านได้อีกด้วย โดยร้านต่างๆ ที่มาเปิดซอฟโอเพนนิ่ง จะเปิดขายกันตั้งแต่บ่ายสามโมงถึงสองทุ่มเลยครับ และที่พิเศษไปกว่านั้นผู้ที่เข้ามาร่วมกิจกรรม 100 คนแรก จะได้รับแจกฟรีไก่ทอดและข้าวเหนียวคนละชุด และยังมีป๊อปคอร์นแจกให้ทานในช่วงดูหนังกันทุกๆ คน เป็นกิจกรรมที่ไม่อยากให้เพื่อนคนไทยพลาดจริงๆ ไปร่วมกันนะครับ ได้สนุกกับการดูหนัง แล้วยังได้อิ่มอร่อย ช่วยอุดหนุนคนไทยด้วยกัน รับรองได้ว่าแต่ละร้านที่มาขายในราคาประหยัด ฝีมือยอดเยี่ยมทุกร้าน ทุกคนอยู่ในตำนานตลาดเสาร์ห้า ที่เคยเปิดขายทุกเช้าวันเสาร์ในไทยทาวน์ ฮอลลีวูด เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าอย่างมาก” นายตัน พัฒนะ นายกสภาไทยทาวน์ลอส แอนเจลิส แจกแจงรายละเอียดให้ได้รับทราบ

สำหรับร้านอาหารที่จะมาจำหน่ายในงานฉายหนังกลางแปลงนาคี 2 ประกอบด้วย

1.ร้านคุณเก๋หมูปิ้ง ประเภททอดๆ ปิ้งๆย่างๆ มี ไส้กรอกเบคอน/เกี๊ยวไข่นกไม้ $2 ลูกชิ้นปลาระเบิด น้ำจิ้มมะขาม 7ลูก $5 ข้อไก่ทอด ขีดละ $6 หมูสามชั้นทอดน้ำปลา ขีดละ $5 หมูปิ้ง ไม้ละ $1/แพ็คละ $10/10ไม้ ตับไก่ย่าง ไม้ละ $2/6ไม้ $10 กึ๋นไก่ย่าง ไม้ละ $2/6ไม้ $10 หนวดหมึกย่างไม้ละ $3/4ไม้ $10+น้ำจิ้มซีฟู้ด หมึกกระดองย่างทั้งตัวๆ ละออเดอร์ $15+น้ำจิ้มซีฟู้ด (พร้อมหั่น) ไส้กรอกอีสานย่างไม้ละ $2 /3ไม้ $5 หนังไก่ทอดถุงละ $5 ข้าวเหนียวห่อละ $1

2. ร้านThe Best Som-Tum $5 MENU มี ส้มตำ, น้ำตกคอหมู, ซุปหน่อไม้, แหนมเปรี้ยวข้าวทอด, ลาบวุ้นเส้น, ลาบไก่, ไก่ย่าง, ข้าวเหนียว, ขนมจีนน้ำยาปู, ขนมจีนน้ำพริกโบราณ ประเภท เครื่องดื่ม $2 มี ชาไทย, ชาเขียวนม, ชามะนาว, เลมอนเนด, น้ำกระเจี๊ยบ

3.ร้านกล้วยแขกคุณแดงวัดไทยฯ บริการ กล้วย, เผือก, มันทอด, ไข่นกกระทาทอด, และข้าวเหนียวมะม่วง

4.ครัวอิ่มอร่อย จำหน่ายเครื่องดื่มพิเศษ: Boba ชาเย็น (Boba) ชาเขียวเย็น (Boba) นํ้ากระเจี้ยบ นํ้ามะนาว $2 อาหาร $5 มี ข้าวผัดปู, ก๋วยเตี๋ยวหลอด, บะหมี่หมูแดง

“ขอเชิญเพื่อนชาวไทยทุกท่าน มาร่วมกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ ชมหนังกลางแปลง “นาคี2” ที่วัดไทยลอส แองเจลิส ในวันเสาร์ที่ 4 กันยายน ที่จะถึงนี้ ตั้งแต่เวลา 3.00 pm-8.00 pm กันนะครับ รับรองว่าจะได้รับความสุข สนุกสนาน อย่างมากมายทีเดียวครับ” นายกสภาไทยทาวน์ฯ กล่าวยืนยันในท้ายที่สุด

สลด ทหารสหรัฐฯ สังเวย 13 ระเบิดสนามบินคาบูลตายพุ่ง 90 ไอซิสเปิดชื่อมือบึม

สุดสะเทือนใจ ทหาร จนท.สหรัฐฯ สังเวย เหตุระเบิดสนามบินคาบูลเพิ่มเป็น 13 ศพ ขณะยอดเหยื่อเหตุวินาศกรรม เพิ่มเป็นอย่างน้อย 90 ศพแล้ว กลุ่มไอซิสอ้างความรับผิดชอบ พร้อมเปิดชื่อมือระเบิดฆ่าตัวตาย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้า เหตุระเบิดสะเทือนขวัญที่สนามบินนานาชาติฮามิด คาร์ไซ และที่โรงแรมบารอน ในกรุงคาบูล เมืองหลวงอัฟกานิสถาน เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ 26 ส.ค. 64 ว่า จำนวนผู้เสียชีวิต เพิ่มเป็นอย่างน้อย 90 ศพแล้ว

ในจำนวนนี้มีเจ้าหน้าที่นาวิกโยธินสหรัฐฯ สิ้นชีพ 13 นาย จนสร้างความสะเทือนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากกลุ่มก่อการร้ายหมายจะปลิดชีพและขัดขวางการดำเนินการอพยพเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร พลเรือนต่างชาติและชาวอัฟกานิสถานที่พยายามลี้ภัยออกจากอัฟกานิสถาน หลังจากกลุ่มตาลีบันหวนกลับมายึดครองประเทศ

ขณะเดียวกัน กลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรง รัฐอิสลาม (ไอซิส) ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย 2 ครั้งซ้อนที่สนามบินนานาชาติฮามิด คาร์ไซ และโรงแรมบารอน โดยกลุ่มไอซิสได้โพสต์ข้อความแสดงความรับผิดชอบผ่านทางแอปพลิเคชัน เทเลแกรม เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ 26 สิงหาคม ที่ผ่านมา

หลังจากไอซิสในอัฟกานิถสาน ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบก่อนหน้า หลังเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย ก่อนที่ต่อมา ยังเปิดเผยชื่อมือระเบิดฆ่าตัวตายคนหนึ่งในเหตุการณ์นี้ ว่าชื่อ อับดุล เรห์มาน อัล ลอชรี เป็นคนก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายที่ประตูแอบบีย์ เกต ของสนามบินคาบูล

นานาชาติร่วมประณามเหตุระเบิดสนามบินคาบูล

ผู้นำประเทศทั่วโลกได้ออกมาประณามเหตุนองเลือดที่สนามบินกรุงคาบูล อังกฤษไม่ท้อเร่งอพยพผู้ลี้ภัยออกจากอัฟกานิสถาน

สืบเนื่องจากเหตุการณ์วางระเบิดของกลุ่มก่อการร้ายที่สนามบินกรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ทะลุ 90 ศพ ผู้นำจากประเทศทั่วโลกและองค์กรต่างๆ ได้ออกมาร่วมประณามเหตุการณ์นองเลือดดังกล่าว ด้านนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติได้ประณามเหตุการณ์สลด พร้อมทั้งแสดงความเสียใจต่อญาติของผู้เสียชีวิต ขณะที่สเตฟาน ดูจาร์ริก โฆษกสหประชาชาติระบุว่า เหตุการณ์ก่อการร้ายในครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นสถานการณ์ความไม่แน่นอนในอัฟกานิสถาน เบื้องต้นยังไม่มีรายงานเจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว

ส่วนนายแพทย์เทดรอส แอดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกระบุว่า พลเรือนต้องได้รับการปกป้อง และเจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลกในอัฟกานิสถานพร้อมที่จะให้การสนับสนุนด้านสาธารณสุขเพื่อรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

ด้านนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระบุว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน พร้อมทั้งสรรเสริญผู้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้อพยพประชาชน และย้ำว่าสหราชอาณาจักรจะเดินหน้าปฏิบัติ

การอพยพชาวอัฟกันจนถึงนาทีสุดท้าย ขณะที่นายโดมินิก ราอับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ ระบุว่าทหารอังกฤษจะเดินหน้าปฏิบัติการต่อไป และจะไม่ยอมให้การกระทำที่ขี้ขลาดตาขาวมาขัดขวาง

สอดคล้องกับผู้นำจากชาติยุโรป อย่างนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และนายเปโดร ซานเชซ นายกรัฐมนตรีสเปน ที่ระบุว่าจะเดินหน้าอพยพผู้คนออกจากอัฟกานิสถานให้ได้มากที่สุด โดย นาย มาครงได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตชาวอเมริกันและชาวอัฟกัน พร้อมทั้งยกย่องผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เดินหน้าปฏิบัติการอพยพในครั้งนี้

ที่มา:ที่มา : Dailymail, BBC, CNA


อังกฤษขยับไทย ขึ้นเป็นประเทศสถานะสีแดงแล้ว หากไปเยือนกลับมาต้องกักตัว

27 ส.ค. 2564: รัฐบาลอังกฤษประกาศขยับไทยขึ้นไปอยู่สถานะสีแดงแล้ว แจงรายละเอียดเข้มในการเดินทางเข้า ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่นทท.จะไปเยือน เพราะเข้าอังกฤษจะต้องถูกกักตัว

ไฟแนนเชียลไทม์ และบีบีซีรายงาน รัฐบาลอังกฤษประกาศปรับไทย และมอนเตเนโกร จากสถานะแอมเบอร์ ลิตส์ (สถานะสีอำพัน) ขึ้นไปอยู่ในประเทศลิสต์ “สีแดง” หรือสถานะสีแดง มีรายละเอียดที่เข้มงวดในการเดินทางเข้าอังกฤษแล้ว

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลอังกฤษได้พิจารณาประเทศที่อยู่ในสถานะสีแดงให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในการเดินทางไปเยือน และบุคคลที่เดินทางมาจากประเทศที่อยู่ในลิสต์สีแดง จะต้องถูกกักตัวที่โรงแรมเป็นเวลา 10 วัน

เว็บไซต์รัฐบาลอังกฤษได้ระบุข้อกำหนดของประเทศที่ถูกรัฐบาลอังกฤษจัดให้อยู่ในสถานะสีแดง ไว้ว่า สำหรับบุคคลที่อยู่ในประเทศหรือดินแดนที่รัฐบาลอังกฤษประกาศให้อยู่ในสถานะสีแดง เป็นเวลา10 วันก่อนเดินทางมาอังกฤษ จะได้รับอนุญาตให้เข้าสหราชอาณาจักรได้ เฉพาะกรณีที่เป็นชาวอังกฤษ ชาวไอริช หรือมีสิทธิพำนักในสหราชอาณจักรเท่านั้น

นอกจากนั้น รัฐบาลอังกฤษยังได้ประกาศให้ 7 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ลิกเตนสไตล์ สวิตเซอร์แลนด์ เกาะอะซอร์สของโปรตุเกสในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ และลิทัวเนีย เป็นประเทศ “กรีนลิสต”' หรืออยู่ในรายชื่อประเทศในสถานะ “สีเขียว” ซึ่งผู้เดินทางกลับมาจากประเทศเหล่านี้ไม่ต้องถูกกักกันตัวตามมาตรการเฝ้าระวังโควิด ไม่ว่าจะฉีดหรือยังไม่ได้วัคซีนครบ 2 เข็มหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะเดินทางจากประเทศกรีนลิสต์เหล่านี้จะต้องตรวจหาเชื้อโควิดแบบ PCR ก่อนจะออกเดินทางมาอังกฤษ และตรวจอีกครั้งหลังจากมาถึงอังกฤษแล้ว 2 วัน

สำหรับคำประกาศเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะมีผลบังคับ ตั้งแต่เวลา 04.00 น ตามเวลามาตรฐานสากล ของวันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564


โควิด: อินเดียหวนติดเชื้อวันละ4หมื่นคน วอน 2 รัฐ “เกรละ-มหาราษฏระ” สั่งเคอร์ฟิว

โควิด: วันที่ 27 ส.ค. รอยเตอร์ รายงานว่า ทางการอินเดียแถลงผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันในรอบ 24 ชั่วโมง มากถึง 44,658 คน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อทั่วประเทศเพิ่มเป็น 32.6 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตอีก 496 ราย ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดเพิ่มเป็น 436,861 ราย

หลังอินเดียมีผู้ติดเชื้อลดลงต่ำสุดในรอบ 5 เดือน ที่ 25,166 คนราวกลางเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา แต่พุ่งขึ้นสูงอีกครั้งในช่วง 3 วันที่แล้ว

โดยรัฐเกรละ ทางใต้สุดของประเทศ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงสุด สัดส่วนเป็นร้อยละ 60 ของผู้ติดเชื้อใหม่ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ต่อด้วยรัฐมหาราษฏระ ทางตะวันตกของประเทศ ที่มีผู้ติดเชื้อที่คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16 ของทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน

กระทรวงกิจการภายในอินเดียแถลงหลังหารือกับมุขมนตรีรัฐเกรละและรัฐมหาราษฏระว่า ทางการทั้งสองรัฐควรเข้าแทรกแซงกิจการภายในโดยเฉพาะในพื้นที่มีอัตราการติดเชื้อสูงด้วยมาตรการ

เช่น ติดตามผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ผลักดันการฉีดวัคซีนสูงขึ้นโดยเร็ว และปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องท่ามกลางการระบาด และควรพิจารณาประกาศห้ามออกนอกเคหสถานตอนกลางคืนสำหรับพื้นที่มีการระบาดสูงหรือไม่ด้วย

ทั้งนี้ อินเดียกระจายฉีดวัคซีนแก่ประชาชนไปแล้วมากกว่า 611 ล้านโดส โดยฉีด 1 โดสแก่ประชากรวัยผู้ใหญ่ไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่งเป็นจำนวน 944 ล้านคน และฉีด 2 โดสไปแล้ว สัดส่วนเป็นร้อยละ 15 เท่านั้น

ไบเดนเสียใจ จนท.สหรัฐฯ ดับในเหตุบึมสนามบินคาบูล ลั่นตามล่ากลุ่ม ISIS-K

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แถลงหลังเกิดเหตุระเบิดโจมตีสนามบินกรุงคาบูล กล่าวแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิต และประกาศจะตามล่ากลุ่ม ไอซิส-เค ซึ่งอยู่เบื้องหลังการโจมตี

เมื่อ 26 ส.ค. 2564 ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ออกแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว ถึงเหตุระเบิด 2 ครั้ง โจมตีสนามบินในกรุงคาบูลที่คนจำนวนมากกำลังรออพยพ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 90 ศพ รวมถึงเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกัน 13 นาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกไม่น้อยกว่า 140 ราย ว่า “เป็นวันที่ยากลำบาก”

“เจ้าหน้าที่อเมริกันผู้เสียสละชีวิตตนเองเหล่านี้นั้น คือวีรบุรุษ นี่เป็นคำที่ใช้บ่อยเกินไปแล้ว แต่มันเหมาะสมอย่างมากที่จะนำมาใช้ที่นี่ พวกเขาคือวีรบุรุษผู้ปฏิบัติภารกิจอันตรายอย่างไม่เห็นแก่ตัว เพื่อช่วยชีวิตคนอื่นๆ” นายไบเดนกล่าว “พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการอพยพและการขนย้ายทางอากาศที่ไม่เหมือนครั้งใดในประวัติศาสตร์ ซึ่งมีชาวอเมริกัน, พันธมิตร, ชาวอัฟกันที่ช่วยเหลือเรา และคนอื่นๆ กว่า 100,000 คน ถูกพาไปยังที่ปลอดภัยในช่วง 11 วันที่ผ่านมา”

ผู้นำสหรัฐฯ ยังส่งคำเตือนถึงผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุระเบิดในกรุงคาบูล ซึ่งทำให้มีเจ้าหน้าที่อเมริกันบาดเจ็บอีก 15 นายด้วยว่า “ถึงเหล่าผู้ก่อเหตุโจมตีครั้งนี้ รวมทั้งใครก็ตามที่ปรารถนาจะทำร้ายอเมริกา จงรู้ไว้ว่า เราจะไม่ให้อภัย เราจะไม่ลืม เราจะตามล่าพวกคุณและให้พวกคุณชดใช้ ผมจะปกป้องผลประโยชน์และประชาชนของเราด้วยทุกมาตรการที่ผมสามารถสั่งการได้”

จากนั้น ไบเดนยืนสงบนิ่งไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตทุกคนในเหตุการณ์นี้ ก่อนจะกล่าวถึงครอบครัวของเจ้าหน้าที่และชาวอัฟกันที่เสียชีวิตว่า “ผมกับจิล (สุภาพสตรีหมายเลข 1) เจ็บปวดใจเช่นเดียวกันที่พวกคุณรู้สึก ทั้งสำหรับครอบครัวชาวอัฟกันทุกคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักซึ่งรวมถึงเด็กเล็กๆ หรือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีอันชั่วร้ายนี้ และเราโกรธเกรี้ยวเช่นเดียวกับที่หัวใจของเราแตกสลาย”

ไบเดนกล่าวอีกว่า เขาเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียครอบครัว โดยสื่อถึง โบ ไบเดน ลูกชายคนโตของเขา ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งสมองหลังกลับมาจากการปฏิบัติหน้าที่ในประเทศอิรัก “พวกคุณรู้สึกเหมือนกับกำลังถูกดูดเข้าไปในหลุมดำที่กลางอก ไม่มีทางออก หัวใจของผมเจ็บป่วยไปกับพวกคุณ”

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังเปิดช่องให้กองทัพสามารถขอกำลังทหารไปช่วยเหลือในอัฟกานิสถานเพิ่มเติมได้ แต่ตอนนี้ผู้นำกองทัพตั้งแต่ ประธานเสนาธิการร่วมไปจนถึงผู้บัญชาการภาคพื้น ยังคงขอปฏิบัติภารกิจตามเดิมไปก่อน ขณะที่เขาสั่งการให้กองทัพวางแผนปฏิบัติการเพื่อโจมตี ฐาน, ทรัพย์สิน และผู้นำของกลุ่ม ไอซิส-เค (ISIS-K) ซึ่งอ้างตัวเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีสนามบินคาบูลแล้ว

เมื่อถูกนักข่าวถามว่า เขาคิดผิดหรือไม่ที่พึ่งพาตาลีบันให้รักษาความปลอดภัยพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานนานาชาติ ฮามิด คาร์ไซ ก่อนจะเกิดเหตุโจมตี ไบเดนยืนยันว่า เขาไม่ได้คิดผิด “การรักษาความปลอดภัยของตาลีบันไม่ใช่สิ่งที่พวกคุณเรียกว่า ปฏิบัติการภายใต้การบังคับบัญชาอย่างเข้มงวดเหมือนกับของกองทัพสหรัฐฯ แต่พวกเขาต้องการรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง ผมก็ถามคำถามเดียวกันนี้กับเจ้าหน้าที่ภาคพื้นว่า นี่เป็นปฏิบัติการที่มีประโยชน์หรือไม่”

“ไม่มีใครเชื่อใจพวกเขา (ตาลีบัน) เราเพียงหวังว่า พวกเขาจะเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองต่อไป และมันจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเองถ้าเราออกไปในเวลาที่ให้คำมั่น และถ้าเราสามารถพาผู้คนออกไปได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” นายไบเดนกล่าว พร้อมเสริมว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ชี้ให้เห็นความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มตาลีบันและกลุ่ม ไอซิส-เค ในการโจมตีครั้งนี้

ผู้นำสหรัฐฯ ยืนยันด้วยว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นจะไม่ทำให้ปฏิบัติการอพยพชาวอเมริกันและพลเรือนอัฟกันต้องยุติลง แต่เขายังย้ำคำเดิมว่า จะถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานภายในวันที่ 31 ส.ค.นี้ เนื่องจากภารกิจของสหรัฐฯ ไม่ใช่การสร้างรัฐบาลประชาธิปไตยขึ้นในอัฟกานิสถาน ที่ไม่เคยรวมเป็นปึกแผ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ “ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ ถึงเวลาที่จะยุติสงคราม 20 ปีนี้แล้ว”

ที่มา : CNN