ข่าว
'จรัล'ซัด'ลูกบิ๊กเสือ'ฟ้องสื่อ สนใจสมบัติมากกว่าชีวิตพ่อ

"น้องบิ๊กเสือ" โต้ "ลูกชายบิ๊กเสือ" แฉ 40 กว่าปีไม่เคยกลับมาดูแลพ่อ จนถูกตัดจากตระกูล "กุลละวณิชย์" แต่ตอนนี้จะมาสนใจเรื่อง "เงิน" มากกว่า "ชีวิตพ่อ" เชื่อกลับมาไทย เพราะอยากได้สมบัติ ยัน "พี่ชาย" สบายดี แต่ไม่ขอบอกว่าพักที่ไหน

พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเป็นน้องชายของพล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายพิเชฏฐ์ กุลละวณิชย์ อายุ 55 ปี บุตรชายของพล.อ.พิจิตร นำหลักฐานเอกสารไปร้องเรียนกับสื่อมวลชน เกี่ยวกับปัญหาภายในครอบครัว "กุลละวณิชย์" โดยระบุว่า ถูกกีดกันไม่ให้พบบิดา และถูกยื่นฟ้องในข้อหาละเมิดห้ามเข้าไปในบ้าน, โรงพยาบาล, ทำเนียบองคมนตรี หรือสถานที่ที่บิดาปฏิบัติหน้าที่ โดยขณะนี้พล.อ.พิจิตรถูกนำตัวพาตัวหนีหายไปออกไปจากบ้านพักว่า พล.อ.พิจิตรได้ตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับนายพิเชฏฐ์ไปแล้ว ตั้งแต่นายพิเชฏฐ์ไปอยู่ต่างประเทศ ก็ไม่ได้มีการติดต่อกันนานกว่า 40 ปี การที่นายพิเชฏฐ์ให้ข่าวกับสื่อมวลชนเช่นนี้ ทำให้พล.อ.พิจิตรและครอบครัว "กุลละวณิชย์" ได้รับความเสียหาย และทำให้เรื่องต่างๆ เกิดความยุ่งยากมากขึ้น การกลับมาประเทศไทยครั้งนี้ ตนถามว่า จะเข้ามาทำประโยชน์อะไรให้กับคนรอบข้าง สำหรับพล.อ.พิจิตรในขณะนี้สบายดี แต่ไม่ขอเปิดเผยว่าพักอยู่ที่ไหน

“40 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่เคยกลับมาดูแลพ่อ เขาถูกตัดขาดจากตระกูล 'กุลละวณิชย์' ไปแล้ว ส่วนที่พูดถึงเรื่องเงินในบัญชีธนาคารของพล.อ.พิจิตรนั้น ผมถามว่า เขารู้ได้อย่างไรว่าพ่อมีเงินเท่าไหร่ ทำไมสนใจเรื่องเงิน มากกว่าชีวิตของพ่อ จะกลับมาทำไม หรือจะมาเอาสมบัติพ่อ” พล.อ.จรัลกล่าว

ลูกตามหา"บิ๊กเสือ" ป่วย-หายตัว พร้อมเงินสด12ล้านจาก"9บัญชี

ลูกชาย "บิ๊กเสือ"พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ห่วงพ่อชราภาพอายุ 82 ปีและป่วยด้วยอาการสมองฝ่อ ถูกพาตัวหนีหายไปจนถึงขณะนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว เผยก่อนหน้านี้พยายามขอพบ แต่ถูกญาติใกล้ชิดที่ดูแลอยู่กีดกันหนัก สุดท้ายพ่อมอบอำนาจให้ยื่นฟ้องในข้อหาละเมิด ห้ามเข้าไปในบ้าน โรงพยาบาล ทำเนียบองคมนตรี หรือสถานที่ที่พ่อจะปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ยังพบว่าเงินในบัญชีธนาคารทั้ง 2 แห่งรวม 9 บัญชีถูกเบิกไปถึง 11.9 ล้านบาท ล่าสุดได้ยื่นฟ้องญาติ 2 คนข้อหาฉ้อโกงไปแล้ว

เมื่อวันที่ 5 ก.พ. นายพิเชฏฐ์ กุลละวณิชย์ อายุ 55 ปี ลูกชายของพล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี และอดีตรองผบ.สส. ได้นำหลักฐานเอกสารเข้าร้องเรียนกับหนังสือพิมพ์ "ข่าวสด" เกี่ยวกับปัญหาภายในครอบครัวกุลละวณิชย์ โดยนายพิเชฏฐ์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2557 พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ ได้มอบอำนาจให้ พ.ต.ท.สุรโชคมพล วิเศรษฐฐิติพันธ์ ยื่นร้องศาลแพ่งฟ้องตนซึ่งเป็นลูกชายในข้อหาละเมิด คดีหมายเลขดำที่ 5485/2557 ระบุว่าตนซึ่งย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกากับนางอรุณี กุลละวณิชย์ อดีตภรรยาของพล.อ.พิจิตร ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ จึงไม่มีความผูกพันกับพล.อ.พิจิตร อีกทั้งปัจจุบันไม่ได้ประกอบอาชีพ เพิ่งเดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกา และพยายามบุกรุกเข้าไปในบ้านพักส่วนตัวของพล.อ.พิจิตร โดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้อำนาจข่มขู่เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยภายในบ้าน ทำให้พล.อ.พิจิตรซึ่งมีอายุ 82 ปี และมีอาการป่วยอยู่ระหว่าง การรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ต้องอับอายเสื่อมเสียชื่อเสียง และต้องหลบหนีออกจากบ้านพักไป

ทั้งนี้ พล.อ.พิจิตร ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยเข้าไปยังสถานที่บ้านพักของพล.อ.พิจิตร ทำเนียบองคมนตรี โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในวันที่โจทก์เข้ารับการรักษาตัว และสถานที่ที่ พล.อ.พิจิตร ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองคมนตรี หรือไปร่วมงาน โดยศาลนัดกำหนดแนวทางการดำเนินคดี หรือสืบพยานโจทก์ในวันที่ 16 ก.พ.นี้

นายพิเชฏฐ์ เปิดเผยว่าตนไม่เชื่อว่าพ่อจะฟ้องลูกชายได้ ตนไปอยู่สหรัฐอเมริกาเมื่ออายุ 14 ปี หลังจบมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ระหว่างที่อยู่สหรัฐอเมริกา ตนได้ติดต่อและกลับมาเยี่ยมเยือนพ่ออย่างสม่ำเสมอ ช่วงต้นปี 2557 ตนตั้งใจกลับมาจากสหรัฐอเมริกามาใช้ชีวิตในประเทศไทย เพื่อมาดูแลพ่อที่ป่วยด้วยโรคปอด และโรคสมองฝ่อ

นายพิเชฏฐ์กล่าวว่าจากการพบพ่อที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พบว่าพ่อเจ็บป่วยด้วยโรคดังกล่าวมากว่า 4 ปีแล้ว ทำให้ความสามารถในการจดจำ หรือคิดเรื่องต่างๆ ต้องใช้เวลานานหลายสิบนาที และบางครั้งก็จำไม่ได้ จากการถามแพทย์เจ้าของอาการที่เคยตรวจ เอ็มอาร์ไอสมองพ่อ พบว่าเส้นเลือดในสมองเต็มไปด้วยแผล และเนื้อสมองเล็กลงกว่าเดิม 30 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ตนคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะสมัยหนุ่มๆ พ่อชอบชกมวย ทำให้ศีรษะถูกกระทบกระเทือนมาก อีกทั้งออกรบและตรากตรำทุ่มเทรับราชการทหารมาตลอดชีวิต

นายพิเชฏฐ์กล่าวต่อว่า ตนอยู่สหรัฐนานกว่า 40 ปี เมื่อรู้ว่าพ่อชราภาพและเจ็บป่วย ก็ตัดสินใจกลับมาดูแลพ่อ ครั้งหนึ่งประมาณเดือนส.ค.57 ตนเข้าไปเยี่ยมพ่อที่บ้านในเวลา 21.30 น. คนรับใช้ที่ดูแลบ้านไม่อนุญาตให้เข้าไปภายในตัวบ้าน แต่ให้นอนหลับบนพื้นหน้าบ้านจนรุ่งเช้า จากการถูกกีดกันหลายครั้ง ตนพยายามสอบถามพูดคุยกับญาติๆ ที่ใกล้ชิดพ่อ แต่กลับไม่มีใครสนใจ โดยมักอ้างว่าตนไม่ควรทำให้พ่อเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้รู้สึกผิดปกติ ต่อมาตนไปสอบถามเรื่องการเบิกจ่ายเงินที่ธนาคารทหารไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ที่พ่อเปิดบัญชีไว้ทั้งหมด 9 บัญชี พบว่าในช่วง 3 ปีกว่า โดยเฉพาะเดือนก.ค.2554 เงินในบัญชีพ่อหายไป 11.9 ล้านบาท ช่วงหนึ่งมีการถอนเงินออกจากบัญชีกว่า 3 ล้านบาท โดยถอน 37 ครั้ง ภายใน 45 นาที

ลูกชายพล.อ.พิจิตรกล่าวต่อว่า หลังจากเริ่มขุดคุ้ยปัญหา พบว่าคนใกล้ชิดพ่อพยายามกีดกันไม่ให้ตนพบกับพ่อ หากจะเข้าไปหาพ่อที่บ้าน ก็ต้องอาศัยติดตามผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่เข้าไปเยี่ยมพ่อ กระทั่งเมื่อต้นเดือนธ.ค.2557 ตัดสินใจขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ธนาคารให้ไปพบพ่อ เพื่อแจ้งให้ทราบถึงปัญหาเรื่องการ เบิกเงิน และขอให้พ่อระงับการให้คนอื่นทำธุรกรรมทางการเงินแทน ปรากฏว่าพ่อถูกพา หายออกจากบ้านไป และบ้านก็ใส่กุญแจล็อกอย่างแน่นหนา

"ผมพยายามติดต่อคนใกล้ชิด ถามว่าพ่ออยู่ที่ไหน แต่กลับถูกปฏิเสธว่าไม่มีใครรู้ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ไม่ทราบว่าพ่อถูกพาตัวไปอยู่ที่ไหน และดูจากอาการป่วยของพ่อไม่มีทางที่จะตัดสินใจเดินทางไปไหนด้วยตัวเองตามลำพัง ยิ่งไม่มีทางที่พ่อจะตั้งใจฟ้องผมว่าไปละเมิดท่านด้วยตัวเองด้วย" นายพิเชฏฐ์กล่าว

นายพิเชฏฐ์ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตนตัดสินใจยื่นฟ้องนายทหารสังกัดหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะทหารติดตาม แต่ไม่ใช่ญาติสนิท ซึ่งอาสามารับใช้พ่อตั้งแต่ปี 2553 และญาติ ผู้หญิงอีกคน ฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ของพ่อเป็นเงินจำนวน 11,934,395 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศา


รวบ'1มือบึ้ม'ได้แล้ว ระเบืดสยามพารากอน

ทหารตามล่าได้แล้ว 1 ราย ต้องสงสัยร่วมทีมวางระเบิดบีทีเอส-สยามพารากอน ล็อกตัวจากบ้านพักย่านคลองหก จ.ปทุมธานี หิ้วเข้าค่ายเค้นสอบซัดทอดถึงจอมบงการ ควานหาตัวมือบึ้มขากะเผลกต่อ จ่อจับเพิ่มอีก 4 ราย

เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร. กล่าวถึงคดีระเบิดบริเวณจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสถานีสยามกับหน้าห้างสยามพารากอน ว่า หนึ่งในคนร้ายใส่เสื้อแขนยาวสีขาว หมวกแก็ปสีดำ มีอายุมากกว่าคนร้ายอีก 1 คน อีกทั้งขาด้านขวาของคนร้ายมีความผิดปกติ สันนิษฐานว่าเคยบาดเจ็บหรือเคยประสบอุบัติเหตุมาก่อน เพราะเดินขากะเผลกเอียงไปทางด้านขวา นอกจากนี้ได้เชิญผู้ต้องสงสัยมาสอบปากคำอีกหลายคน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้

ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร. กล่าวว่า ขณะนี้ได้ส่งชุดสืบสวนเฉพาะกิจของกองบังคับการตำรวจนครบาล (บช.น.) รวมทั้ง 7 ชุด และชุดเฉพาะของตนอีก 5 ชุด ลงพื้นที่หาเบาะแสตามภาพสเก็ตช์ของคนร้ายในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเน้นพื้นที่ในจังหวัดภาคตะวันออก และภาคกลาง คือ ชลบุรี ระยอง ปทุมธานี ลพบุรี เป็นต้น เนื่องจากคาดว่าจะเป็นพื้นที่ที่คนร้ายใช้หลบหนีไปหลบซ่อนตัว ส่วนตัวยังคงเชื่อว่าคนร้ายอาจมีมากกว่า 2 คน

ส่วน พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. เปิดเผยว่า ขณะนี้ขั้นตอนการสืบสวนแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ คนสั่งการ คนประกอบระเบิด และคนลอบวางระเบิด แต่การติดตามตัวคนวางระเบิด จะจับตัวยากสุด ดังนั้น วิธีการสืบสวนจะต้องหาตัวผู้จ้างวานมาให้ได้ก่อน จึงจะสามารถหาตัวคนลอบวางระเบิดได้ และขณะนี้ฝ่ายสืบสวนนครบาล อยู่ระหว่างการตรวจสอบอย่างเร่งด่วนแล้ว ทั้งนี้ จะประชุมติดตามความคืบหน้าของคดีรอีกครั้ง ในวันที่ 7 ก.พ. เวลา 14.00 น. ที่ บช.น.

ทั้งนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้เบาะแสเพิ่มเติมว่า หลังจากคนร้ายทั้ง 2 คนก่อเหตุลอบวางระเบิดแล้ว ได้เรียกรถสามล้อเครื่อง 2 คัน เพื่อหลบหนี แต่คนขับปฏิเสธ จากนั้นคนร้ายได้หายตัวไปจากบริเวณป้ายรถประจำทางฝั่งตรงข้ามห้างมาบุญครอง ในช่วงเวลา 20.18 น.โดยมีกล้องวงจรปิด 1 ตัว จับภาพไว้ได้นอกจากนี้มีรถแท็กซี่จอดรออยู่ใกล้จุดเกิดเหตุอีก 3 คัน จึงเป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจจะขึ้นรถแท็กซี่คันใดคันหนึ่งหลบหนีไป แต่ด้วยความที่ขณะนั้นเป็นเวลาค่อนข้างมืด จึงยังไม่ทราบว่ารถแท็กซี่ทั้ง 3 คันมีหมายเลขทะเบียนอะไร

ขณะเดียวกันมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารชุดร่วมคลี่คลายคดี สามารถควบคุมตัวคนร้ายที่ก่อเหตุไว้ได้ 1 ราย จากบ้านพักหลังหนึ่งในย่านคลองหก อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เนื่องจากมีรูปพรรณสันฐานตรงตามคำให้การของคนขับรถแท็กซี่ ที่รับคนร้ายมาส่งที่สยามสแควร์ แล้วนำตัวเข้าไปสอบสวนปากคำที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งทันที โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าร่วมสอบสวนด้วย โดยให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และทำให้ทราบถึงตัวผู้บงการแน่ชัดแล้ว และอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติหมายจับมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผนก่อเหตุในครั้งนี้ 3-4 รายด้วยกัน.


พระพยอม ย้ำถอดถอน "ปู" ขาดความเป็นธรรม อยู่ยาก

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ก.พ. ที่วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปกราบนมัสการพระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กัลยาโณ เพื่อสัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีที่มีการเผยแพร่ในโซเชี่ยล ว่า อาจถูก คสช. เรียกตัวไปปรับทัศนคติ โดยพระนักเทศน์กล่าวว่า อาตมาพูดเป็นกลาง ก็เหมือนกับอาจารย์หรือครูบาอาจารย์อื่นๆ ที่พูดกัน คนอื่นเขาพูดแรงกว่าอาตมาอีก ซึ่งอาตมาอยากจะบอกว่า อย่าสั่งสมไอ้ความอคติ สองมาตรฐาน เวลาจะจัดการอะไรกับใครก็ขอให้จัดการให้มันเสมอภาค แล้วมันจะไม่เกิดแรงอัดอั้น ประทุ เช่นสมมติว่านาย ก. นาย ข. ทำความเดือดร้อน เสียหาย ให้กับบ้านเมือง แต่ถ้าปล่อยให้ลอยนวล แต่กลับมาเล่นงานอีกฝ่ายหนึ่ง มันก็จะเหมือนกับที่เขาพูดกันมาก่อน ไม่ใช่อาตมาพูด อาตมาเพิ่งจะมาพูดตอนหลัง เพียงแต่เห็นว่าคำพูดนี้มันใช่ ถ้าใครได้รับความรู้สึกไม่เป็นธรรม โดนเล่นแต่เรา อีกฝ่ายไม่โดน

พระพยอมกล่าวต่อว่า ตอนนี้อาตมาว่ากฎหมายขายได้ แล้วมันล้มเหลวในความน่าเชื่อถือ เพราะคำว่าไม่มีมาตรฐานเดียวกัน ถอดถอนนายกฯ ปู ประเทศอยู่ได้ แต่ถ้าถอดถอนความเป็นธรรมออกจากฎหมายอยู่ลำบาก นายกฯปู ถอดถอนไม่มีอะไร แกไม่ได้มีพาวเวอร์ สู้กองทัพไม่ได้ แต่ถ้าถอดถอนความเป็นธรรมออกจากกฎหมาย เหมือนกฎหมายขายได้ พวกใช้กฎหมายเละเทะ อันนี้อยู่ยาก

พระพยอม กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีกระแสข่าวตามโซเชี่ยล ว่าอาตมาจะโดนคสช. เรียกไปปรับทัศนคตินั้น อาตมาเชื่อว่าเขาคงไม่กล้าเสียมวลชนหรอก ตอนนี้ทหารเขามีจิตวิทยาสูง อย่างมากก็แอบมาถ่ายรูปหน้าวัดตอนดึกๆ แต่จะเรียกอาตมาไปคงไม่ทำ เพราะเท่ากับเติมเชื้อแรงประทุ

แล้วที่มีคนออกมาบอกว่าจะมีการตั้งศาลฉ้อราษฎร์บังหลวงนักวิชาการเขาก็ออกมาพูดสวนทันทีเลยตัวอย่างเรื่องไมค์ทองคำทำไมกฎหมายปล่อยหายเวลานี้ใครทำอะไรพูดอะไรขว้างงูไม่พ้นคอ ตั้งศาลมาใครโดนก่อน เผลอๆ ลูกน้องคนตั้งนั่นแหละโดนก่อน...อาตมาไม่ได้พูดนะ นักวิชาการเขาพูดกัน

พระราชธรรมนิเทศ กล่าวต่อว่า นักการเมืองมันเล่นกันซะเละเทะ ตอนนี้ซวยเลย ปากก็แห้ง ท้องก็หิว จะเล่านิทานให้ฟัง มีตัวนาคอยู่สองตัว มันช่วยกันดำน้ำจับปลาได้ตัวนึง แต่ตกลงกันไม่ได้ อีกตัวจะเอาท่อนหัว อีกตัวก็จะเอาท่อนหัว ไม่มีใครเอาท่อนหาง สุดท้ายนาคสองตัวไปให้สุนัขจิ้งจอกตัดสิน สุนัขจิ้งจอกหั่นสามเลย แล้วคว้าตรงกลางไป เหลือหางกับหัวไว้ให้นาคสองตัว


อุ้ม‘เรืองไกร’ปรับทัศนคติ ฟ้องมะกัน‘ปู’โดนถอดถอน

6 ก.พ.2558 แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ถูกทหารควบคุมตัวไปว่า ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง โดยถูกควบคุมตัวไปตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา คาดว่าฝ่ายความมั่นคงอาจจะไม่พอใจที่นายเรืองไกรส่งหนังสือถึงนายแพทริค เมอร์ฟีย์ อุปทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย โดยให้ความชัดเจนแก่สหรัฐอเมริกาว่า การถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นเรื่องการเมือง ซึ่งจนถึงขณะนี้ทราบว่านายเรืองไกรก็ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว

ทั้งนี้หลังจากที่นายเรืองไกรยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงสหรัฐอเมริกานั้น ช่วงค่ำของวันดังกล่าวก็ไม่สามารถติดต่อนายเรืองไกรได้อีกเลย โทรศัพท์ก็ถูกปิดเครื่อง อย่างไรก็ตาม ทราบจากคนใกล้ชิดนายเรืองไกรว่า มีทหารยศพันเอกมาที่บ้านนายเรืองไกรและพูดคุยกันอยู่สักพัก จากนั้นนายเรืองไกรก็ถูกนำตัวขึ้นรถตู้ที่มาจอดรออยู่ประมาณ 3-4 คันออกไป

ทหารยันไม่ได้เชิญ'เรืองไกร'ปรับทัศนคติ

ตามที่มีรายงานข่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ทหารของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ได้ควบคุมตัวนายเรืองไกรมาพูดคุยเพื่อปรับทัศนคติตามกฎอัยการศึกตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมาที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11)นั้น

ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามไปยังมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) และ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ได้รับการยืนยันว่าไม่ได้มีการควบคุมตัว นายเรืองไกร ไว้แต่อย่าใด แต่ยอมรับว่าก่อนหน้ามีการเชิญบุคคลที่กระทำความผิดกฎอัยการศึกหลายคนมาปรับทัศนะคติ


ยังไม่ออกหมายจับพ่อ-แม่"ศรีรัศมิ์"

ตำรวจกองปราบปรามเผย ยังไม่มีการออกหมายจับบิดาและมารดาของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ หลังถูกเจ้าหน้าที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงแจ้งความดำเนินคดี โดยระบุว่ายังอยู่ในระหว่างการสอบปากคำพยาน ขณะที่บ้านพักของทั้งสองใน อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี ยังคงเงียบเหงาไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาการ ผบก.ป. แถลงความคืบหน้ากรณี น.ส.ศวิตา หรือแสงระวี หรือนก มณีจันทร์ อายุ 31 ปี เจ้าหน้าที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง เข้าแจ้งความเอาผิดกับ นายอภิรุจ สุวะดี อายุ 72 ปี และ นางวันทนีย์ สุวะดี อายุ 66 ปี บิดาและมารดาของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี หลังอ้างว่าถูกทั้งสองกลั่นแกล้ง จนต้องรับโทษทางอาญาในข้อหาฉ้อโกงจำคุก 1 ปี 6 เดือน โดย พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายจับ นายอภิรุจ และ นางวันทนีย์ สุวะดี แต่อย่างใด เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนของตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ รวมถึงสอบปากคำพยานผู้เห็นเหตุการณ์ โดยขณะนี้ได้ทำการเรียกพยานผู้เห็นเหตุการณ์มาทำการสอบปากคำที่กองบังคับการปราบปรามไปแล้ว จำนวน 2 คน เหลือที่ต้องสอบปากคำเพิ่มเติมอีก 1 คน ซึ่งพยานคนดังกล่าวขณะนี้อยู่ที่ จ.ราชบุรี แต่คาดว่าน่าจะสอบปากคำพยานทั้ง 3 แล้วเสร็จภายในวันนี้ ในส่วนของการออกหมายจับและหมายเรียก นายอภิรุจ และ นางวันทนีย์ นั้น คงต้องดูข้อมูลจากหลักฐานพยานต่างๆที่ได้รับจากการสอบปากคำพยานทั้งหมดอีกครั้ง ถึงจะบอกได้ว่าจะมีการออกหมายจับและหมายเรียกหรือไม่ เนื่องจากกรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่จากการสอบปากคำพยานผู้เห็นเหตุการณ์ทั้ง 2 คนในวันนี้ ค่อนข้างที่จะมีน้ำหนักเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ส่วนการที่ผู้ถูกกล่าวหาจะเดินทางมาเข้าพบเจ้าหน้าที่ก่อนนั้นเพื่อให้ปากคำก็เป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย

ส่วนบรรยากาศที่บ้านพักของ นายอภิรุจ และ นางวันทนีย์ ใน ต.วัดเพลง อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงค่ำวานนี้ ได้มีกำลังตำรวจของ บก.ป.และ สภ.วัดเพลง มาเฝ้าสังเกตการณ์อยู่รอบๆบริเวณบ้าน เนื่องจากเกรงว่า นายอภิรุจ และ นางวันทนีย์ จะเดินทางออกไปที่อื่น จนอาจจะทำให้ในการติดตามตัวนั้นยากมากขึ้น อย่างไรก็ตามตลอดทั้งวันพบว่าบ้านพักของ นายอภิรุจ และ นางวันทนีย์ เป็นไปอย่างเงียบสงบ ไม่มีผู้ใดเข้า-ออกแต่อย่างใด มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วัดเพลง ที่ได้ตั้งจุดสกัดที่บริเวณหน้าบ้านพักเท่านั้น ทั้งนี้่แหล่งข่าวยังได้เปิดเผยว่า ปกติที่บริเวณจุดสกัดหน้าบ้านของ นายอภิรุจ นั้น จะมีตำรวจนั่งดูจอมอนิเตอร์ของกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ที่ทางเข้า-ออกของตัวบ้าน รวมทั้งมีรายงานด้วยว่าหาก นายอภิรุจ และ นางวันทนีย์ จะเดินทางออกไปทำกิจธุระข้างนอกบ้าน จะต้องมาลงชื่อกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในตอนออกไปและตอนกลับเข้ามาที่บ้านทุกครั้งอีกด้วย.

จอร์แดนสุดกร้าว!! จากนี้จะได้รู้เป็นใคร ส่งฝูงบินรบถล่มไอซิสในซีเรีย แค่‘เริ่มต้น’

วันที่ 6 ก.พ. รัฐบาลจอร์แดนประกาศกร้าว ปฏิบัติการโจมตีถล่มเป้าหมายกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอซิส ทางภาคตะวันออกของประเทศซีเรียเมื่อวันที่ 5 ก.พ. เป็นเพียงแค่ ‘การเริ่มต้นของปฏิบัติการตอบโต้’ หลังจากเรืออากาศโท มูอัธ อัล-คาซาสเบห์ นักบินหนุ่มจอร์แดนวัย 27 ปี ถูกกลุ่มไอซิส ‘เผาทั้งเป็น’ อย่างเหี้ยมโหดตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนหน้าจะมีการนำคลิปวิดีโอเผยแพร่ในโลกออนไลน์เมื่อ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา

กองทัพจอร์แดนออกแถลงการณ์ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติว่า นี่เป็นแค่เพียงการเร่ิมต้น เพราะจอร์แดนจะแสดงให้กลุ่มไอซิสได้ประจักษ์แจ้งว่า ชาวจอร์แดนนั้นเป็นใคร พร้อมกันนั้น กองทัพจอร์แดน ยังแถลงว่า เครื่องบินรบของกองทัพอากาศจอร์แดนหลายลำได้ปฏิบัติการทิ้งระเบิดโจมตีทำลายคลังแสงเก็บอาวุธและเครื่องกระสุน รวมทั้งถล่มสถานที่ฝึกซ้อมการสู้รบของกลุ่มไอซิสาจนราบคาบ และเครื่องบินรบของกองทัพจอร์แดนทุกลำได้บินกลับฐานทัพอย่างปลอดภัย

หนึ่งในเครื่องบินรบ 30 ลำที่เข้าร่วมทิ้งระเบิดโจมตีเป้าหมายกลุ่มไอซิส

สถานีโทรทัศน์จอร์แดนรายงานข่าวพิเศษปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มไอซิสในซีเรียเมื่อ 5ก.พ.

ข่าวแจ้งว่า ปฏิบัติการโจมตีกลุ่มไอซิสเมื่อวันที่ 5 ก.พ. ใช้ชื่อปฏิบัติการว่า ‘วีรชนมูอัธ’ โดยสถานีโทรทัศน์แห่งชาติจอร์แดนยังได้ออกอากาศเผยแพร่ข่าวพิเศษแสดงให้เห็นภาพเหตุการณ์เครื่องบินรบจอร์แดนถล่มเป้าหมายกลุ่มไอซิสในซีเรีย พร้อมกันนั้น หลังปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้น เครื่องบินรบของกองทัพยังบินผ่านน่านฟ้าเหนือหมู่บ้านในเมืองคารัก บ้านเกิดของเรืออากาศโทมูอัธ อัล-คาซาสเบห์ด้วย เพื่อเป็นการประกาศสดุดี ก่อนบินกลับฐานทัพด้วย

ด้าน นายนาสเซอร์ จูเดห์ รมว.ต่างประเทศจอร์แดนยังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็น ย้ำถึงปฏิบัติการส่งฝูงเครื่องบินรบไปโจมตีกลุ่มไอซิสในซีเรีย เมื่อ 5 ก.พ. ว่านี่เป็นแค่เพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เพราะกองทัพจอร์แดนจะขยายปฏิบัติการโจมตีไอซิสในอิรัก

กษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2 ทรงแสดงความเสียพระทัย โอบกอดบิดาของเรืออากาศโทมูอัธ อัล-คาซาสเบห์

ขณะที่ นายซาฟี อัล-คาซาสเบห์ บิดาของนักบินหนุ่มผู้ล่วงลับ ยังเผยด้วยว่า จากการที่ตนได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯกษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2 แห่งจอร์แดนนั้น พระองค์ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าทางการจอร์แดนจะแก้แค้นให้กับการเสียชีวิตของบุตรของตน โดยมีการทิ้งระเบิดถล่มเป้าหมายไอซิสในเมืองรักกา ซึ่งเปรียบเป็นเมืองหลวงของไอซิส อีกทั้ง กษัตริย์แห่งจอร์แดนยังทรงบอกตนด้วยว่ากองทัพจอร์แดนได้ส่งเครื่องบินรบถึง 30 ลำเข้าร่วมในปฏิบัติการโจมตีทางอากาศครั้งนี้