ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศยุติการเจรจาการค้ากับแคนาดาทุกระดับ หลังไม่พอใจโฆษณาที่นำคำพูดของอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน มาวิจารณ์นโยบายเก็บภาษีนำเข้าของเขา ขณะที่นายกรัฐมนตรีแคนาดายืนยันจะไม่ยอมให้สหรัฐฯ เข้าถึงตลาดอย่างไม่เป็นธรรม หากการเจรจาล้มเหลว
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย "ทรูธ โซเชียล" เมื่อวันพฤหัสบดีว่า การเจรจาการค้าทั้งหมดกับแคนาดาถูกยุติลงแล้ว โดยให้เหตุผลจากการที่เขาเรียกว่าเป็น "โฆษณาที่ฉ้อฉล" ซึ่งนำอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ รีแกน มาพูดในเชิงลบเกี่ยวกับมาตรการขึ้นภาษี
ทรัมป์ระบุว่า "จากพฤติกรรมที่อุกอาจของพวกเขา การเจรจาการค้ากับแคนาดาทั้งหมดจึงถูกยุติลงนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
โฆษณาที่เป็นปัญหาดังกล่าวแสดงภาพของ โรนัลด์ รีแกน อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งออกมาวิพากษ์วิจารณ์การขึ้นภาษีสินค้าจากต่างประเทศ โดยระบุว่ามาตรการดังกล่าวเป็นสาเหตุของการสูญเสียงานและสงครามการค้า
ก่อนหน้านี้ นายดัก ฟอร์ด มุขมนตรีรัฐออนทารีโอของแคนาดา ยอมรับเมื่อต้นสัปดาห์ว่า โฆษณาต่อต้านภาษีดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ "ผมได้ยินมาว่าประธานาธิบดีเห็นโฆษณาของเราแล้ว ผมแน่ใจว่าเขาคงไม่มีความสุขเท่าไหร่"
ทรัมป์มักใช้มาตรการขึ้นภาษีเป็นเครื่องมือต่อรองกับหลายประเทศทั่วโลก สงครามการค้าของเขาได้ผลักดันให้ภาษีของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1930 และเขาก็ได้ขู่ที่จะขึ้นภาษีเพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสร้างความกังวลในหมู่ภาคธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทรัมป์ได้เรียกเก็บภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์จากแคนาดา ซึ่งทำให้ทางการแคนาดาต้องตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีในลักษณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจามาหลายสัปดาห์เพื่อหาข้อตกลงที่อาจเกิดขึ้นสำหรับภาคเหล็กและอะลูมิเนียม
ด้านนายมาร์ค คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดา ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า แคนาดาจะไม่ยอมให้สหรัฐฯ เข้าถึงตลาดของตนอย่างไม่เป็นธรรม หากการเจรจาข้อตกลงทางการค้าต่าง ๆ กับวอชิงตันล้มเหลว
นอกจากนี้ ในปีหน้า สหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก มีกำหนดจะต้องทบทวนข้อตกลงการค้าเสรีของทวีปอเมริกาเหนือปี 2020 ซึ่งความตึงเครียดที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกระบวนการทบทวนข้อตกลงดังกล่าว.
ที่มา Reuters
เมื่อเวลา 01.58 น. วันที่ 25 ตุลาคม 2568 สำนักพระราชวังออกประกาศว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต ความว่า
ตามที่คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2562 เพื่อติดตามพระอาการทางระบบต่าง ๆ ความทราบทั่วกันแล้วนั้น ในช่วงที่ประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรหลายครั้ง และคณะแพทย์ตรวจพบความผิดปรกติทางระบบต่าง ๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรจากภาวะติดเชื้อในกระแสพระโลหิต แม้ว่าคณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่พระอาการทรุดหนักลงตามลำดับ ถึงวันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 เวลา 21 นาฬิกา 21 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 93
กงสุลภาวัสส์ เรืองวิชาธร ผู้แทนกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แอนเจลิส เป็นประธานงานทอดผ้าพระกฐินพระราชทาน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม 2568 ที่วัดป่าธรรมชาติ เมืองลาพวนเต้ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมี ชีนิรนุช วัฒนสุรวิทย์, มนสิชา เสนาขันธ์ และ ณิชมน จันทโรธรณ์ ร่วมกันเป็นประธานจัดงาน Mr. Zheng Rong Chen เป็นประธานถวายผ้าบริวารพระกฐิน มีผู้นำชุมชนและสาธุชนจากหลายเมืองไปร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง
(เครดิตภาพ:บุญเรือง เกตุพงศ์สุดา)
นักศึกษาวิทันตสาสมาธิหลักสูตรของ เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร รุ่นที่ 3“รุ่นวิริยานุภาพ” สอนโดย พระอาจารย์พระมหาสุภณ สติสัมปันโน อาจารย์สมชาย ไทยทัน และอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายท่าน ตอนนี้ยังคงเปิดรับสมัครอยู่ เรียนทุกวันอังคาร-พุธ เวลา 9.00-16.00 น. จนถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ที่ สถาบันพลังจิตตานุภาพ วัดไทยแอลเอ ติดต่อสอบถามและสมัครเรียนได้ที่เบอร์ 818-855-4789
สำนักข่าวซินหัวรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 24 ต.ค.ว่าการค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นในเขตฉีเจียง ของเทศบาลนครฉงชิ่ง โดยหลุมสำรวจแห่งหนึ่งที่ขุดเจาะในพื้นที่ดังกล่าวสามารถผลิตน้ำมันในอัตรา 38.64 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และก๊าซธรรมชาติ 10,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ระหว่างการผลิตระยะทดสอบ...
ทั้งนี้ น้ำมันจากชั้นหินดินดาน หมายถึงไฮโดรคาร์บอนในรูปของของเหลวที่กักเก็บอยู่ในชั้นหินดินดานซึ่งสามารถสกัดออกมาเพื่อการกลั่นได้ มักพบในชั้นหินดินดานที่อุดมด้วยสารอินทรีย์ และมีชั้นหินคาร์บอเนต หินทราย และหินทรายแป้งแทรกอยู่เป็นชั้นบาง ๆ โดยมีส่วนสนับสนุนการผลิตน้ำมันดิบอย่างมั่นคงในจีน...
ทั้งนี้ ซิโนเปกเดินหน้าพัฒนาการสำรวจและพัฒนาน้ำมันจากชั้นหินดินดานอย่างต่อเนื่อง โดยค้นพบแหล่งน้ำมันจากชั้นหินดินดานขนาดใหญ่แห่งใหม่ 3 แห่ง และมีปริมาณการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน 705,000 ตัน เมื่อปี 2567 เพิ่มขึ้น 308,000 ตันจากปีก่อนหน้า.
ข้อมูล : XINHU
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES...
เว็บไซต์ไทม์ นำเสนอรายงานเรื่อง “สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพฉบับใหม่ ที่ทรัมป์ต้องการเป็นคนกลาง” ก่อนการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียครั้งแรกหลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 2 ของเขาในปลายสัปดาห์นี้ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ แทบไม่เคยแสดงความสนใจต่ออาเซียน หรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากนัก อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลของเขาพยายามต่อสู้กับอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้ ทรัมป์ก็กำลังวางแผนจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนประจำปีที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 26 ตุลาคม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 อย่างไรก็ดี เป้าหมายที่แท้จริงของเขาดูเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับศิลปะชั้นสูงของการทูตพหุภาคี ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐผู้นี้ไม่ค่อยให้ความสนใจนัก แต่กลับเกี่ยวข้องกับการร้องเอาเครดิตจากข้อตกลงสันติภาพอีกฉบับหนึ่งมากกว่า อันแท้จริงแล้ว ข้อตกลงซึ่งถูกเรียกว่า “ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์” อาจเป็นเหตุผลเดียวที่ทรัมป์เดินทางมาร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ตามรายงานของ Politico เมื่อต้นเดือนนี้
ทรัมป์ได้รวมเอาความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นในเดือนพฤษภาคมระหว่างไทยและกัมพูชา ประเทศเพื่อนบ้านสองประเทศที่เป็นสมาชิกอาเซียน ซึ่งสหรัฐช่วยเป็นคนกลางในการหยุดยิงเมื่อเดือนกรกฎาคม โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางการค้า ไว้ในรายชื่อของสงครามที่เขาอ้างว่าได้ “ยุติ” ลงทั่วโลก ซึ่งรวมถึงความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮามาส อิสราเอลกับอิหร่าน ปากีสถานกับอินเดีย รวันดากับคองโก อาร์เมเนียกับอาเซอร์ไบจาน และจากสมัยดำรงตำแหน่งครั้งแรกของเขา ได้แก่ อียิปต์กับเอธิโอเปีย รวมถึงเซอร์เบียกับโคโซโวด้วย
แม้ว่าบางความขัดแย้งในรายชื่อข้างต้นจะมีข้อตกลงสันติภาพเกิดขึ้นจริง แต่หลายกรณีก็ยังคงมีความตึงเครียดที่ยังไม่คลี่คลาย และอาจมีความรุนแรงปะทุขึ้นเป็นระยะ รวมถึงกรณีไทย–กัมพูชาด้วย ทรัมป์ได้อ้างถึงข้อตกลงสันติภาพที่มีทั้งความสำเร็จที่แท้จริงและการโอ้อวดเกินจริง เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของเขาในฐานะ “ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ” ทรัมป์ได้รณรงค์อย่างหนักเพื่อผลักดันตนเองให้ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งถูกมอบให้แก่ มาเรีย โครีนา มาชาโด ผู้นำฝ่ายค้านของเวเนซุเอลาเมื่อต้นเดือนนี้แทน แต่ก็มีผู้นำหลายประเทศ รวมถึงกัมพูชา ที่เสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีหน้า ซึ่งถูกมองว่าเป็นกลยุทธของ “การทูตแบบประจบเอาใจ”
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ข้อตกลงสันติภาพระหว่างกัมพูชาและไทยจะเป็นความสำเร็จที่แท้จริง หรือเป็นเพียงการกล่าวอ้างเกินจริงนั้นยังคงต้องติดตามต่อไป และยังมีคำถามเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของทรัมป์ที่มีต่อข้อตกลงนี้ หลังจากผ่านช่วงเวลาของการถ่ายรูปเพื่อการประชาสัมพันธ์ผ่านพ้นไปแล้ว
มาร์ก เอส. โคแกน รองศาสตราจารย์ด้านสันติภาพและความขัดแย้ง มหาวิทยาลัยคันไซกะอิได เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารไทม์ ว่า มันต้องอาศัยแรงกดดันทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง สหรัฐจะเลิกสนใจมันหรือไม่ จะยังคงใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชาต่อไปหลังจากที่ทรัมป์ได้ลงนามในข้อตกลงนี้แล้วหรือไม่? หรือเขาจะหันความสนใจไปเรื่องอื่น?
“คุณคิดหรือว่าสหรัฐจะให้ความสนใจอย่างลึกซึ้งกับข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งค่อนข้างเป็นเรื่องเล็กน้อย มันอยู่ในระดับเดียวกับความขัดแย้งอื่นๆ หรือไม่ แน่นอนว่าไม่ มันฝังรากลึกและร้อนแรงไหม? ใช่อย่างแน่นอน แต่มันส่งผลกระทบต่อสหรัฐมากน้อยแค่ไหน? ก็ไม่มากนัก แล้วทรัมป์ได้อะไรจากมัน?” โคแกนกล่าว
โคแกนกล่าวว่า ความสำเร็จของข้อตกลงนี้ขึ้นอยู่กับการติดตามตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม เพื่อให้แน่ใจว่าทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตาม และแน่นอนว่าจะมี “บททดสอบความทนทาน” ของข้อตกลงหยุดยิง ที่แต่ละฝ่ายจะกล่าวหากันว่าเป็นฝ่ายละเมิดการหยุดยิง การบังคับใช้ให้เป็นไปตามข้อตกลง แม้ว่าในทางทฤษฎีสหรัฐมีทั้งศักยภาพและความน่าเชื่อถือที่จะทำได้ แต่ก็ยังมีความสงสัยอยู่อีกมาก
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธุ์ นักวิชาการชาวไทย ศาสตราจารย์ประจำศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์กับไทม์ว่า การที่ทรัมป์เข้ามามีบทบาทในความพยายามสร้างสันติภาพในภูมิภาคนี้ดูเหมือนจะเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แรงกดดันจากภายนอกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำเป็นต่อการบังคับใช้ข้อตกลงนี้ น่าจะหมดไปทันทีหลังพิธีลงนามสิ้นสุดลง
แม้แต่กัมพูชาซึ่งต้องการข้อตกลงเกิด ก็ยังได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึง ข้อจำกัดที่จะยอมรับได้ นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ของกัมพูชา เขียนเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ว่า ข้อตกลงนี้เป็นการกำหนดเงื่อนไขและหลักปฏิบัติ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการ ยุติความขัดแย้งและฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แต่ฮุน มาเนตได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ทั้งการหยุดยิงครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม และข้อตกลงฉบับใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ได้หมายความว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมสละสิทธิทางกฎหมายในการควบคุมดินแดนที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของตน
ปวินกล่าวว่า ความยั่งยืนของข้อตกลงฉบับนี้ยังเป็นที่น่าสงสัย เพราะมันไม่สามารถแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเรื่องพรมแดนที่เกี่ยวกับดินแดนและแผนที่ทางประวัติศาสตร์ได้ มันจึงเป็นเพียงการเลื่อนเวลาของความขัดแย้งนั้นออกไปเท่านั้น...
"วัคซีนโควิด-19" ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน อาจมีคุณสมบัติที่เหนือความคาดหมาย สำหรับ "ผู้ป่วยมะเร็งบางราย" เพราะสามารถช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับ "เนื้องอก" ได้ดีขึ้น
งานวิจัยเบื้องต้นที่ตีพิมพ์ในวารสาร "Nature" เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ระบุว่า "ผู้ป่วยมะเร็งปอด" หรือ "มะเร็งผิวหนัง" ระยะลุกลามที่ได้รับการรักษาด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) จะมีอัตราการรอดชีวิตยาวนานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากได้รับวัคซีน Pfizer หรือ Moderna ภายใน 100 วันหลังเริ่มการรักษา โดยผลลัพธ์นี้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสแต่อย่างใด
นักวิจัยจากศูนย์มะเร็งเอ็มดีแอนเดอร์สัน (MD Anderson Cancer Center) เมืองฮิวสตัน และมหาวิทยาลัยฟลอริดา ระบุว่า โมเลกุล mRNA ซึ่งเป็นหัวใจของวัคซีนเหล่านี้ มีบทบาทช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ตอบสนองต่อการรักษามะเร็งได้ดีขึ้น
ดร.อดัม กริปปิน หัวหน้านักวิจัยจากเอ็มดีแอนเดอร์สัน กล่าวว่า “วัคซีนทำหน้าที่เหมือนไซเรนที่ปลุกเซลล์ภูมิคุ้มกันทั่วร่างกาย เรากำลังทำให้เนื้องอกที่ดื้อต่อภูมิคุ้มกัน กลับมาตอบสนองต่อการรักษาได้อีกครั้ง”
แม้โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ จะเคยตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับเทคโนโลยี mRNA พร้อมตัดงบประมาณกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการวิจัยบางส่วน แต่ผลลัพธ์จากงานวิจัยใหม่นี้กลับชี้ให้เห็นถึงศักยภาพที่น่าทึ่ง
ทีมวิจัยกำลังเตรียมการศึกษาที่เข้มข้นขึ้น เพื่อพิจารณาว่า วัคซีน mRNA สำหรับไวรัสโคโรนาอาจใช้ร่วมกับยาภูมิคุ้มกันบำบัดประเภท Checkpoint Inhibitors ได้หรือไม่ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญระหว่างทางสู่การพัฒนาวัคซีน mRNA ชนิดใหม่สำหรับรักษามะเร็งโดยเฉพาะ
ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์มีหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็งก่อนที่มันจะลุกลาม แต่เนื้องอกบางชนิดสามารถวิวัฒนาการให้หลบหลีกการตรวจจับได้ การใช้ยา Checkpoint Inhibitors จะช่วยเปิดเผยกลไกการซ่อนตัวนี้ และหากใช้ร่วมกับเทคโนโลยี mRNA ก็อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาได้มากขึ้น
Messenger RNA หรือ mRNA เป็นโมเลกุลธรรมชาติที่พบในทุกเซลล์ของร่างกาย ทำหน้าที่ส่งคำสั่งทางพันธุกรรมเพื่อสร้างโปรตีน แม้เทคโนโลยีนี้จะเป็นที่รู้จักในฐานะพื้นฐานของวัคซีนโควิด-19 แต่ในวงการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามพัฒนา “วัคซีนรักษา” มะเร็งแบบเฉพาะบุคคลมานานแล้ว
ดร.เจฟฟ์ คอลเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน mRNA จากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในงานวิจัยนี้ ให้ความเห็นว่า
“นี่คือเบาะแสสำคัญว่าวัคซีนแบบสำเร็จรูปอาจใช้ได้ผลจริง และยังแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี mRNA ยังคงสร้างความประหลาดใจด้านสุขภาพมนุษย์ต่อไป”
ทีมของกริปปินและเพื่อนร่วมงานจากฟลอริดา ได้พัฒนาวัคซีนมะเร็ง mRNA แบบเฉพาะบุคคลมาก่อนหน้านี้ และพบว่าวัคซีนทั่วไปที่ไม่มีเป้าหมายเฉพาะ ก็สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ตอบสนองต่อเซลล์มะเร็งได้ในลักษณะคล้ายคลึงกัน
นักวิจัยจึงได้วิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลามเกือบ 1,000 รายจากโรงพยาบาล MD Anderson โดยเปรียบเทียบผู้ที่ได้รับวัคซีน Pfizer หรือ Moderna กับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ได้รับวัคซีนมีโอกาสรอดชีวิตเกือบ “สองเท่า” ภายในสามปีหลังเริ่มรักษา ขณะที่ผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา ก็มีอัตราการรอดชีวิตเฉลี่ยสูงขึ้นอย่างชัดเจน แม้ตัวเลขที่แน่นอนยังไม่สามารถระบุได้เพราะบางรายยังคงมีชีวิตอยู่ในระหว่างการศึกษา
ทั้งนี้ วัคซีนที่ไม่ใช่ mRNA เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ไม่พบว่ามีผลลัพธ์ในลักษณะเดียวกัน
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012