ข่าว
คู่แข่งปูติน! ชาวเน็ต แห่แชร์ภาพ “จัสติน ทรูโด” ผู้นำแคนาดาสุดหล่อโชว์สกิลยิมนาสติก

เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมาซีเอ็นเอ็นรายงานถึงกระแสความฮือฮาของโลกโซเชียลมีเดีย ที่มีต่อนายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา วัย 44 ปี ระบุว่า แม้ว่าประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซีย จะดูเหมือนเป็นผู้นำที่มีความสามารถทางกีฬามากที่สุดในโลก มักจะมีภาพทำกิจกรรมต่างๆ ถอดเสื้อโชว์กล้าม โลดแล่นบนหลังม้า ขณะที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกาสามารถเต้นแทงโก้ได้ แต่โลกอินเตอร์เน็ตในเวลานี้กลับหันไปชื่นชมภาพของนายทรูโด ที่กำลังแสดงความสามารถในการเล่นโยคะ

ภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ทรูโด ทวีตเอาไว้ตั้งแต่ปี 2556 แสดงความสามารถในการทรงตัวด้วยมือ ท่าโยคะที่รู้จักกันว่า “ท่านกยูง” หรือท่า “มยุราสนะ” โดยโลกอินเตอร์เน็ตต่างแชร์ภาพดังกล่าวและชื่นชมประธานาธิบดีแคนาดากันเป็นจำนวนมาก

ความสามารถทางกีฬาของทรูโด นั้นเป็นการเดินตามรอยพ่อ ปิแอร์ เอลเลียตต์ อดีตนายกรัฐมนตรีแคนาดา ที่เป็นคนที่เล่นโยคะ และเล่นยูโดระดับสายน้ำตาล ขณะที่ทรูโดเอง ก็เคยเป็นครูสอนสโนว์บอร์ดในช่วงทศวรรษที่ 90 ด้วย

'ปู'อ้อนแฟนเพจ เลี้ยงขอบคุณครบ 5 ล้านไลค์

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า วันเดียวกันนี้ได้จัดงานขอบคุณแฟนเพจเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ครบ 5 ล้านไลค์ ที่ร้าน Coffee Gallery CDC ในงานชื่อ "Coffee with Yingluck" ซึ่งภายในงานได้มีการมอบเสื้อเชิ้ตสีขาวปักเป็นรูป "ปูแดง" แทนคำขอบคุณแฟนเฟจที่ติดตามกันมาอย่างยาวนาน และเหนียวแน่น นอกจากนี้ภายในงานอดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับแฟนเพจตอนหนึ่ง ว่า “ขอบคุณแฟนเพจที่มาร่วมกิจกรรม และบางท่านที่มาร่วมไม่ได้ ขอบคุณทุก 5 ล้านไลค์ ที่ทำให้มีวันนี้ขึ้นมา ครอบครัวเราโตมาเป็น 5 ล้านไลค์ ไม่มีคำพูดใดที่จะมากกว่าคำว่า ขอบคุณจากใจ และแฟนเพจอยู่ในหัวใจไม่มีลืมเลือน ถึงแม้ไม่มีโอกาสได้เจอกันครบทุกคน ถ้าเจอกันที่ใดก็ขอให้ทักทายกันด้วย


‘ตู่’ ย้ำจุดยืนนปช.ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เชื่อ กติกาที่ไม่เคารพปชช.จะก่อวิกฤตซ้ำ

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล ผ่านยูทูป ว่า นปช. มีจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่ภายใต้กติกาไม่เคารพอำนาจประชาชนนั้น จะยิ่งก่อวิกฤติซ้ำเติมปัญหาประเทศให้เลวร้ายยิ่งขึ้น การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนั้น หากไม่ได้อยู่ภายใต้กติกาประชาธิปไตยของประชาชนแล้ว จึงไม่น่าให้มีการเลือกตั้งอีก แม้การคว่ำร่างรัฐธรรมนูญจะทำให้การเลือกตั้งช้าออกไป แต่ประเทศจะหายนะช้าลง การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องการให้ประชาชนตัดสินใจ สะท้อนว่าอาจจะเป็นคนกลาง ซึ่งอาจไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่หน้าที่ได้กำหนดว่า ควรดำรงตัวเองเช่นนั้น นายจตุพร กล่าวอีกว่า นับแต่นี้ไปร่างรัฐธรรมนูญได้เข้าสู่บรรยากาศประชามติ จะเกิดความเห็นที่แตกต่างขึ้น คสช.จึงควรเปิดพื้นที่ให้แสดงความเห็นอย่างเสรี แต่กลับมีความพยายามนำฝ่ายมีความเห็นไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ มาเข้าหลักสูตรปรับทัศนคติ เพื่ออบรมการเมือง

โดยตนเชื่อว่า หลักสูตรแบบนี้ไม่เป็นประโยชน์ สำหรับ นปช. แล้ว ได้ประกาศจุดยืนมาตลอดว่าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ได้ใช้อคติ แต่ยึดมั่นจุดยืนอย่างมั่นคงว่า ร่างรัฐธรรมนูญต้องสอดคล้องกับความต้องการและยึดมั่นกับอำนาจประชาชน เพราะหลักการประชาธิปไตยเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน เมื่อนำหลักการนี้มาเทียบกับร่างรัฐธรรมนูญของนายมีชัย ย่อมแสดงได้ชัดเจนว่า ไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยที่เคารพในอำนาจของประชาชน สิ่งสำคัญคือบรรยากาศของประเทศนับจากนี้ไปถึงการทำประชามติวันที่ 7 ส.ค.นี้ ควรสร้างให้เป็นบรรยากาศการแสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ และไม่ควรมีหลักคิดแบบว่า ความเห็นของฝ่ายคว่ำร่างรัฐธรรมนูญคือ การคว่ำ คสช.


'ขบวนการปชต.ใหม่'แถลงการณ์คว่ำร่างรธน.

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ออกแถลงการณ์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก เรื่อง "จุดยืนของขบวนการต่อการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ" ระบุว่า จากการเปิดเผยรายละเอียดของร่างรัฐธรรมนูญ ขบวนการประชาธิปไตยใหม่มีความเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวยังคงมีบทบัญญัติที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย เช่น การใช้ถ้อยคำกำกวมเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพ การใช้บัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว ให้พรรคการเมืองเสนอชื่อบุคคลที่จะให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้ถึง 3 ชื่อ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ยังคงเป็นไปได้ยาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังคงมีอยู่หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ เป็นต้น ขณะเดียวกัน มีการแก้ไขเพิ่มเติมที่ขัดต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยยิ่งขึ้น เช่น การให้สมาชิกวุฒิสภาชุดแรก จำนวน 250 คน มาจากการสรรหา การบัญญัติให้กำลังทหารใช้เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศด้วย เป็นต้น

แถลงการณ์ ระบุอีกว่า แสดงให้เห็นว่า ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวยังคงพยายามบ่อนเซาะสถาบันที่มาจากการเลือกตั้งให้อ่อนแอ และเอื้อให้สถาบันที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนเป็นผู้บงการการเมืองไทยในระยะยาว ไม่ต่างจากร่างเมื่อสองเดือนที่แล้ว จึงไม่มีทางที่ร่างรัฐธรรมนูญนี้จะนำพาประเทศไทยไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้ ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ขอแสดงจุดยืนสนับสนุนให้ประชาชนไปร่วมลงประชามติ ‪ไม่รับ‬ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว และร่วมกันหาหนทางไปสู่ระบอบประชาธิปไตยด้วยมือของประชาชนเอง


ไม่รวยทำไม่ได้ เศรษฐีซาอุฯ ขนขบวนรถซุปเปอร์คาร์ทองคำไปเที่ยวที่’ลอนดอน’

อภิมหาเศรษฐีชาวซาอุดีอาระเบีย เดินทางไปท่องเที่ยวที่กรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ แบบไม่ธรรมดา ด้วยการขนขบวนรถซุปเปอร์คาร์เคลือบทองคำ เพื่อนำไปใช้ระหว่างการท่องเที่ยวในลอนดอน

รายงานจากเดลีเมล์ระบุว่า มหาเศรษฐีรายนี้ ซึ่งไม่มีการเปิดเผยชื่อ ได้นำขบวนรถทองคำรวมมูลค่าเกินกว่า 1 ล้านปอนด์ (ราว 51 ล้านบาท) ไปยังกรุงลอนดอน โดยรถทองคำที่นำไปใช้ระหว่างเที่ยวครั้งนี้ มีทั้ง เมอร์เซเดซ จี63 มูลค่า 370,000 ปอนด์ (ราว 18.7 ล้านบาท), รถออฟโรด 6 ล้อ, เบนท์ลีย์ ฟลายอิง สเปอร์ มูลค่า 220,000 ปอนด์ (ราว 11.14 ล้านบาท), โรลส์-รอยซ์ มูลค่า 350,000 ปอนด์ (ราว 17.7 ล้านบาท, ลัมโบร์กินี อเวนทาดอร์ เอสวี มูลค่า 350,000 ปอนด์

โดยรถหรูทองคำเหล่านี้ถูกนำมาเรียงรายจอดไว้บริเวณหน้าโรงแรมแมนดาริน โอเรียลเต็ล โรงแรมระดับ 5 ดาว ในกรุงลอนดอน ใกล้กับบริเวณไฮด์ปาร์ก เป็นที่โดดเด่นสะดุดตาผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก

เดลีเมล์รายงานว่า สำหรับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ การเดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างถิ่น หากต้องการความสะดวกในการเดินทาง ก็อาจจะเช่ารถเพื่ออำนวยความสะดวก แต่สำหรับอภิมหาเศรษฐีรายนี้ การไปเที่ยวที่กรุงลอนดอน หมายถึงสถานที่อีกที่หนึ่งที่เขาจะสามารถโชว์รถหรูไฮโซของตัวเองให้คนอื่นได้เห็น โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีบรรดามหาเศรษฐีนำรถหรูมาขับโชว์ในกรุงลอนดอนจำนวนมาก ทั้งมหาเศรษฐีจากคูเวต ซาอุฯ และเอมิเรตส์


‘หงไห่’ทุ่มนับแสนล้านเข้าเทกโอเวอร์‘ชาร์ป’

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า หงไห่ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโยลีของไต้หวัน ที่เป็นบริษัทแม่ของฟ็อกซ์คอนน์ ผู้ผลิตและประกอบไอโฟนกับไอแพดให้กับแอปเปิลรายใหญ่ที่สุดของโลก เปิดเผยเมื่อวันที่ 30 มีนาคมว่า สามารถบรรลุข้อตกลงเข้าซื้อกิจการของชาร์ป บริษัทผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สัญชาติญี่ปุ่นได้แล้ว ในข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ที่มีมูลค่าสูงถึง 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 123,000 ล้านบาท) นับเป็นการถูกซื้อกิจการโดยบริษัทต่างชาติเป็นครั้งแรกของบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ญี่ปุ่น และเกิดขึ้นหลังจากที่มีการล่าช้าออกมาหลายสัปดาห์ โดยหงไห่ซื้อหุ้น 66 เปอร์เซ็นต์และเข้าควบคุมกิจการในที่สุด

อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินดังกล่าวน้อยกว่าข้อเสนอที่หงไห่ยื่นขอซื้อกิจการของชาร์ปในทีแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาที่ 489,000 ล้านเยนหรือราว 153,000 ล้านบาท

ข่าวระบุว่า หงไห่ได้ยับยั้งการเดินหน้าซื้อกิจการของชาร์ปเมื่อเดือนที่แล้วหลังจากที่มีการประกาศออกมาครั้งแรก เพื่อทบทวนข้อมูลจากชาร์ปในเรื่องที่เชื่อว่าเป็นมูลค่าหนี้สินมหาศาลของชาร์ป

นายเทอร์รี กัว ผู้ก่อตั้งหงไห่ เปิดเผยในการแถลงข่าวที่กรุงไทเปของไต้หวันวันเดียวกันนี้ว่า รู้สึก “ตื่นเต้น” ในการได้เป็น “พันธมิตรทางยุทธศาสตร์” กับชาร์ป

“เราขอรับผิดชอบในการฟื้นฟูผลกำไรและสร้างการดำเนินงานให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้ชาร์ปกลับมาเป็นผู้นำในเวทีอิเล็กทรอนิกส์และเป็นบริษัทระดับโลกที่มีภาพลักษณ์ในทางบวกอีกครั้ง” แถลงการณ์ร่วมของทั้ง 2 บริษัทระบุ

โฆษกของหงไห่เปิดเผยว่า หงไห่จะซื้อหุ้นของชาร์ปที่ราคา 88 เยนต่อหุ้น และจะมีการลงนามในสัญญาเข้าซื้อกิจการอย่างเป็นทางการที่เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 2 เมษายนนี้

ทั้ง 2 บริษัทเคยร่วมงานกันมาก่อนในเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีจอยักษ์ รวมถึงโทรทัศน์และได้ร่วมลงทุนเปิดโรงงานผลิตจอแอลซีดีด้วยกันในญี่ปุ่น ถึงอย่างนั้นก็ตาม มีรายงานระบุว่ารัฐบาลญี่ปุ่นมีความกังวลในเรื่องที่เทคโนโลยีสำคัญของชาร์ปต้องตกอยู่ในมือของบริษัทต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม วันเดียวกันนี้ มีข่าวว่า คาดว่าชาร์ปจะมีผลประกอบการขาดทุน 170,000 ล้านเยนในปีงบประมาณปัจจุบัน จากที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะมีกำไรเล็กน้อย

ทั้งนี้ ชาร์ปอยู่ในสถานการณ์ใกล้จะล้มละลายมาหลายปี แต่ยังถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีจอแอลซีดี และยังคงเป็นบริษัทญี่ปุ่นที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จักดีที่สุดแห่งหนึ่งในต่างประเทศ

หนุ่มอังกฤษยังกล้า! ขอถ่ายรูปคู่สลัดอากาศ แม้ตกเป็นตัวประกันหลังเครื่องบินถูกจี้ โวเป็นรูปเซลฟี่ดีที่สุดที่เคยถ่าย

เบน อินน์ส หนุ่มอังกฤษ วัย 26 ปี ทำใจกล้าขอถ่ายรูปเซลฟี่คู่สลัดอากาศ หลังจากเขาเป็น 1 ในผู้โดยสาร 3 คนและลูกเรือ 4 คน ที่ถูกนายเซอิฟ เอลดิน มุสตาฟา สลัดอากาศชาวอียิปต์กักไว้เป็นตัวประกัน ในเหตุการณ์จี้เครื่องบินโดยสารเที่ยวบินเอ็มเอส 181 ของสายการบินอียิปต์แอร์ ซึ่งเป็นเที่ยวบินภายในประเทศ บินเส้นทางเมืองอเล็กซานเดรีย-กรุงไคโร แต่ถูกบังคับให้ต้องไปลงจอดที่สนามลาร์นากา ในประเทศไซปรัส เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ก่อนที่เหตุการณ์จะยุติลงโดยไม่มีใครเป็นอันตรายใดๆ หลังจากคนร้ายที่ขู่ว่ามีระเบิดจะยอมปล่อยตัวผู้โดยสารและลูกเรือส่วนใหญ่ออกมาจากเครื่องบินไปก่อน เหลือไว้แต่ตัวประกันจำนวนข้างต้นขณะต่อรองกับเจ้าหน้าที่ แต่ในท้ายที่สุดคนร้ายได้ยอมจำนนต่อเจ้าหน้าที่แต่โดยดี

โดยรูปที่ อินน์ส ผู้ตรวจสอบด้านความปลอดภัยและสาธารณสุขชาวเมืองลีดส์ ได้โพสต์ลงในโลกออนไลน์ เผยให้เห็นเขายืนฉีกยิ้มถ่ายรูปคู่กับคนร้ายอยู่หน้าประตูเครื่องบิน ที่ยังเผยให้เห็นเข็มขัดระเบิดของคนร้ายคาดอยู่ที่เอวซึ่งพบในภายหลังว่าเป็นระเบิดปลอม

อินน์ส เปิดใจกับหนังสือพิมพ์เดอะ ซัน ถึงสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานในห้วงเวลานั้นว่า เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงทำอย่างนั้น แค่ตนเองไม่ได้คิดอะไรมากขณะพยายามจะทำให้ร่าเริงเข้าไว้ในขณะเผชิญกับความเคราะห์ร้าย ตนแค่คิดว่าถ้าเป็นระเบิดจริง ก็ไม่มีอะไรจะต้องเสีย ก็เลยขอเข้าไปดูใกล้ๆ ซึ่งยังสงสัยว่าเป็นระเบิดจริงหรือไม่ จังหวะนั้นก็ได้ให้ลูกเรือคนหนึ่งช่วยเป็นล่าม เพื่อให้ถามคนร้ายว่าตนขอถ่ายเซลฟี่ด้วยได้ไหม ซึ่งคนร้ายก็แค่ยักไหล่เชิงตกลง ตนก็เลยเข้าไปยืนข้างๆ แล้วก็ยิ้มแล้วให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินถ่ายรูปให้ นี่ถือเป็น “รูปเซลฟี่ที่ดีที่สุดที่เคยถ่ายมาเลย”

ข่าวระบุว่า ภาพถ่ายของอินน์สที่ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางโดยใช้คำว่าเป็นรูป “เซลฟี่” นั้น แต่แม่ของอินน์สแย้งว่า ชัดเจนเลยว่าลูกชายของตนไม่ได้เป็นคนถ่ายรูปนี้เอง เขาอยู่ในรูปจริง แต่ไม่ได้เป็นคนถ่าย