วันที่ 16 ม.ค. พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผบช.ภาค 5 พร้อมด้วยพล.ต.ต.ชำนาญ รวดเร็ว รอง ผบช.ภาค 5 พล.ต.ต.ประจวบ วงค์สุข ผบก.สส.ภาค 5 พ.ต.อ.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.5 และพ.ต.อ.วีระวุฒิ เนียมน้อย รอง ผบก.ภ.เชียงใหม่ ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาคดีอุ้มฆ่านายสมชาย เถอะจา อายุ 36 ปี อดีตผู้ต้องหาคดียาบ้ารายใหญ่ของภาคเหนือ
ได้ผู้ต้องหารวม 4 คนประกอบด้วยน.ส.นิตยา จิรญานิธิกุล หรือน.ส.นิตยา เล่ายี่ปา อายุ 37 ปี อดีตเมียนายสมชาย เศรษฐินีพันล้านเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรหลายแห่งในอ.สันทราย จ.เชียงใหม่, นายณัฐชัย เผือกสงค์ อายุ 47 ปี มือปืน, นายธนรัตน รัตนสุภา อายุ 38 ปี คนขับรถให้มือปืน และจ.ส.อ.ธนาชัย เสือเปรม อายุ 52 ปี อดีตทหารสังกัดค่ายทหารรบพิเศษที่ 5 อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ คนรับงาน พร้อมยึดของกลางอาวุธปืนขนาด .38 รถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า สีเทา ทะเบียน กบ 4695 เชียงใหม่ ที่ใช้ก่อเหตุ และรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นคัมรี่ สีดำ ทะเบียน ญน 6446 กทม. ที่น.ส.นิตยา ขับพาสามีไปให้คนร้ายก่อเหตุ ผู้ต้องหาให้การสารภาพ
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 27 ต.ค.2555 มีคนร้ายก่อเหตุขับรถปาดหน้ารถยนต์ที่น.ส.นิตยา ขับพานายสมชาย กลับจากกินอาหาร แล้วอุ้มนายสมชายขึ้นรถหายตัวไป ก่อนพบเป็นศพทิ้งอยู่ริมถนนสายคันคลองชลประทาน ต.เชิงดอย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ สภาพศพถูกยิงเข้าที่ศีรษะ 1 นัด ลำตัว 5 นัด สร้อยคอทองคำหนัก 8 บาท พระเลี่ยมทอง และเงินสด ภายในตัวผู้ตายยังอยู่ครบ
พล.ต.ท.สุเทพกล่าวว่า หลังพบศพเช็กประวัตินายสมชาย พบว่าเป็นแก๊งยาบ้ารายใหญ่ของภาคเหนือถูกตำรวจจับกุมและศาลตัดสินจำคุก 25 ปี แต่ติดจริงๆ ประมาณ 12 ปี เพิ่งพ้นโทษออกมาได้ประมาณ 1 เดือน ก็กลับมาอยู่กับน.ส.นิตยา ภรรยาที่กลายเป็นเศรษฐินีเจ้าของบ้านจัดสรรหรูหราหลายแห่งในอ.สันทราย โดยมีทรัพย์สินนับพันล้านบาท ตอนแรกมุ่งไปที่ปมเรื่องหักแก๊งยาบ้า แต่หลังจากสืบสวนในทางลึกสงสัยว่าจะเป็นฝีมือน.ส.นิตยา เพราะนายสมชาย กลับมาทวงเงินจำนวนมากที่ทิ้งเอาไว้ก่อนติดคุก
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 16 มกราคม ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน (กมธ.) สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายศุภชัย ศรีหล้า ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นประธาน ได้พิจารณาศึกษาแนวทางการกำกับดูแลสื่อโทรทัศน์และการควบคุมดูแลด้านความเหมาะสมของเนื้อหา กรณีละครเหนือเมฆ 2 ถูกระงับการออกอากาศ โดยมีนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายนนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับ นายฉัตรชัย เปล่งพานิช ผู้อำนวยการสร้าง นางสินจัย เปล่งพานิช นักแสดงจากละครเหนือเมฆ 2 เข้าชี้แจง โดยนายศุภชัยแจ้งว่า พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. ในฐานะประธาน กสท. อ้างว่าติดภารกิจประชุมกรรมการ กสทช.ไม่สามารถมาชี้แจงได้ ขณะที่ทางผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 โดยนายประสาร มาลีนนท์ รองประธานกรรมการบริหาร เพิ่งได้รับหนังสือให้มาชี้แจงช่วงเย็นของวันที่ 14 มกราคม จึงไม่สามารถมาตามนัดได้ แต่ยินดีให้ความร่วมมือมาชี้แจงต่อไป
นายฉัตรชัยชี้แจงขั้นตอนการสร้างละครเหนือเมฆ 2 ว่า ก่อนสร้างหรือผลิตต้องเสนอเรื่อง บทย่อ เนื้อหา ตัวละคร ว่ามีนักแสดงใครบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องย่อ เมื่อได้รับอนุมัติจะเริ่มผลิต เสร็จแล้วส่งให้ช่องออกอากาศ ทั้งนี้ ช่อง 3 มีกองพิจารณาเซ็นเซอร์เนื้อหา เนื่องจากอาจมีฉากที่ไม่เหมาะสม มีความรุนแรง หรือฉากข่มขืน ดื่มสุรา ได้ดำเนินการตามขั้นตอนมาตลอด โดยถ่ายทำเสร็จจะตัดต่อลงเสียง เสร็จทันเวลาที่จะออกอากาศ เมื่อส่งให้กองเซ็นเซอร์ของช่องก็ถือว่าหมดหน้าที่ผู้ผลิตแล้ว ทั้งนี้ เนื้อหาละครเรื่องนี้เป็นเหตุการณ์สมมุติการนำเสนอไม่มีเจตนากระทบกระทั่งใคร บริษัทเมตตามหานิยมของตน จะสร้างละครในแนวเพื่อชีวิต บอกเล่าเรื่องแก่งแย่งผลประโยชน์ อำนาจ อยากให้ทุกคนลุกขึ้นมาสามัคคีกัน เป็นแนวละครสร้างสรรค์บอกถึงความดี ชั่ว เลว และความสงบสุขที่จะเกิดขึ้น
ขณะที่นายนนทรีย์ชี้แจงว่า บทละครตามปกติจะเขียนบทไปครึ่งหนึ่งก่อนจะเริ่มลงมือสร้าง ที่เหลือจะทยอยส่ง ยอมรับว่ามีการปรับเปลี่ยนบทละครบ้างเพื่อให้เหมาะสมกับการผลิต โดยเฉพาะละครเรื่องนี้เป็นละครแอ๊กชั่นดราม่า เมื่อเสร็จแล้วก็ส่งให้ช่องพิจารณาอนุมัติออกอากาศต่อไป ส่วน 3 ตอนสุดท้ายที่มีปัญหาคือ ตอนที่ 10-11-12 ยอมรับว่าตอนที่ 10 ได้ส่งก่อนปีใหม่ ส่วนตอนที่ 11-12 ส่งหลังปีใหม่แล้ว ไม่ทราบว่าหลักปฏิบัติทางช่อง 3 ดำเนินการอย่างไร เพราะเพิ่งมาทำงานละครได้เพียง 4 เรื่อง ยอมรับว่าตอนที่ 11-12 มีการปรับเปลี่ยนเรื่องราวของละคร หลังนายกรัฐมนตรีในเรื่องเสียชีวิต เรื่องเริ่มไม่สนุก จึงต้องเปลี่ยนบทแต่ก็ให้คนเขียนบทเป็นคนเปลี่ยน ซึ่งส่งบทให้ทางช่องดูและไม่ทราบว่ามีการอ่านหรือไม่
ด้านนางสินจัยกล่าวว่า บางคำถามของ กมธ.คงเป็นเรื่องที่ทางช่อง 3 จะตอบ เราเองก็ไม่ทราบถึงคำสั่งว่าบางส่วนบางตอนไม่เหมาะสมอย่างไร รวมถึงโอกาสที่จะได้รับชมตอนที่ถูกแบนทางดีวีดีนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นลิขสิทธิ์ของช่อง เราเป็นเพียงผู้ผลิต ในฐานะคนทำงานที่ทำตามขั้นตอน เมื่อผิดพลาดก็แก้ไข แต่เมื่อบอกจบก็ต้องจบ แต่การทำงานคราวหน้าเราจะรอบคอบและพิจารณากันมากขึ้น
นายนนทรีย์ให้สัมภาษณ์หลังการชี้แจงว่า ประเด็นว่ามีการเมืองเข้ามาแทรกแซงหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าความจริงเป็นอย่างไร ถ้าสื่อทราบก็ช่วยบอกด้วย โดยนางสินจัยได้กล่าวเสริมว่า หลังจากละครถูกระงับออกอากาศแล้ว มีการพูดว่ามีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น เราไม่ทราบ แต่เป็นเพราะทุกคนนำไปโยงเป็นเรื่องการเมืองเอง
ขณะที่นายฉัตรชัยกล่าวว่า หลังละครโดนแบนตนได้พูดกับนายสมรักษ์ ณรงค์วิชัย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ช่อง 3 ซึ่งนายสมรักษ์ก็ไม่ทราบเหตุผลที่ถูกแบนเช่นกัน
เมื่อถามว่าไม่ได้ติดต่อผู้ใหญ่ในช่องเพื่อถามเหตุผลที่แท้จริงหรือ นายนนทรีย์กล่าวว่า การทำงานของพวกตนจะติดต่อนายสมรักษ์เพียงคนเดียว แต่ยืนยันว่าเรามีอิสระในการทำงาน ไม่มีใครขัดขวางการทำละครตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแต่ตอนจบไม่ได้ออกอากาศเท่านั้น เราก็เหมือนช่างทำรองเท้า พอตัดเสร็จก็ส่งให้ผู้จ้าง เขาจะเอาไปใส่หรือไม่ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ถือว่าไม่ขัดกับอิสรภาพ
ด้านนายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักฯ ชี้แจงว่า ในฐานะผู้ที่กำกับดูแล อสมท ไม่ได้ให้นโยบายเฉพาะเจาะจงใดๆ ทั้งด้านข่าวหรือบันเทิง เพราะเรื่องนี้คณะกรรมการของ บมจ.อสมท เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งกรณีการสั่งถอดละครเหนือเมฆ 2 ตนเองไม่ได้นิ่งนอนใจพยายามสอบถามและหาข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้องและช่อง 3 แต่จนถึงขณะนี้ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากผู้บริหารช่องถึงสาเหตุในการถอดละครเรื่องนี้ ทราบเฉพาะที่มีการออกแถลงการณ์ว่าเนื้อหาไม่เหมาะสมเท่านั้น ขณะเดียวกัน ยืนยันว่าไม่มีการเมืองเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เมื่อวันที่ 16 ม.ค. พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชกากรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เข้ายื่นเอกสารเกี่ยวกับผลการสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีเคยถูกกล่าวหาว่าต้องคดีขโมยวิทยุ ที่สหรัฐอเมริกา และเอกสารเกี่ยวกับการได้รับพระราชทานยศพล.ต.ต. รวมทั้งเอกสารการเปลี่ยนชื่อจาก “ไพรัช” เป็น “พงศพัศ” ต่อพล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร โดยพล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่า กรณีที่เป็นข่าวว่าตนมีปัญหาในเรื่องของคุณสมบัติการลงสมัครจาก 2 ประเด็นดังกล่าวนั้นเห็นว่าเป็นการคาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง โดยในเรื่องที่กล่าวหาว่าเคยต้องคดีขโมยวิทยุนั้น ข้อเท็จจริงมีการกล่าวหาเรื่องนี้เมื่อปี 41 และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนจนแล้วเสร็จในปี 43 โดยสั่งให้ยุติเรื่องทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เมื่อวันที่ 11 ก.ย.43 ซึ่งผลสรุปว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์
ส่วนที่กล่าวหาว่าเปลี่ยนชื่อเพื่อขอรับพระราชทานยศพล.ต.ต.นั้น ตนติดยศพ.ต.อ.ตั้งแต่ปี 38 ในชื่อ พ.ต.อ.ไพรัช พงษ์เจริญ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพล.ต.ต.ในปี 40 ซึ่งก็ยังใช้ชื่อเดิมอยู่ จนปี 41 เห็นว่าเรื่องร้ายที่เจอได้ผ่านพ้นไปแล้วภรรยาจึงได้ขอให้เปลี่ยนชื่อ จึงเปลี่ยนมาเป็นชื่อ "พงศพัศ" ดังนั้นที่กล่าวหาว่าเปลี่ยนชื่อเพื่อขอรับพระราชทานยศพล.ต.ต. จึงไม่เป็นความจริง
“ผมถูกให้ร้ายมานับสิบๆ ปี แต่ก็ไม่เคยคิดอะไรมาก ถือว่าให้มันผ่านๆ ไปแต่เผอิญขณะนี้มีการเลือกตั้ง ฝ่ายกฎหมายของพรรคก็พิจารณาอยู่ว่ามีจุดอยู่บ้างที่เป็นปัญหา ผมก็ขอว่าไม่ให้พิจารณาเรื่องนี้เพราะจะนำมาให้กับกกต.เอง เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพราะเป็นห่วงสื่อมวลชน และน้อง ๆ ที่ไปโพสต์ข้อความในโชเชียลเน็ตเวิร์กโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าอาจจะถูกดำเนินคดีได้ เพราะมาตรา 57 ของพ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น ใช้คำว่าห้าม“ผู้ใด”กระทำการใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จ อีกทั้งขณะนี้มีประกาศให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.แล้วเมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา จึงไม่อยากให้ทุกคนมีความผิด” พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าว
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012