ข่าว
ศาลสั่งจำคุก 18 ปีหัวโจกลุ่ม 'โอธ คีเปอร์' ก่อเหตุจลาจลบุกรัฐสภาสหรัฐฯ

26 พ.ค.66 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สจ๊วต โรดส์ ผู้ก่อตั้งกลุ่ม “โอธ คีเปอร์” แกนนำผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุจลาจลบุกเข้าไปภายในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อปี 2021 ถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุก 18 ปี ซึ่งถือว่าเป็นบทลงโทษที่หนักที่สุดของผู้ที่ถูกดำเนินคดีในเหตุการณ์ในครั้งนั้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021

ในจำนวนผู้ที่ถูกดำเนินคดีมากกว่า 1,000 คน โรดส์ ถูกระบุว่า เป็นผู้สั่งการให้กลุ่มของเขาที่มีแนวคิดสุดโต่งและมีอาวุธครบมือ เดินทางไปยังกรุงวอชิงตันและใช้ความรุนแรงหากมีความจำเป็นด้วยจุดประสงค์ในการขัดขวางมิให้นายโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ผู้พิพากษากล่าวว่า การสมคบคิดกันเพื่อปลุกปั่นให้ขัดขืนอำนาจการปกครองถือเป็นอาชญากรรมที่รุนแรงที่สุด การคุกคามของเขาเป็นภัยต่อประเทศ พร้อมกับปฎิเสธคำกล่าวอ้างของโรดส์ที่ว่า เขาเป็นนักโทษการเมือง

โรดส์ วัย 57 ปี เป็นผู้จัดการให้สมาชิกกลุ่ม “โอธ คีเปอร์” ของเขาเข้าร่วมในการจู่โจมอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 โดยเข้าร่วมกับผู้ที่สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ในขณะนั้น โรดส์บอกด้วยว่า อาชญากรรมอย่างเดียวที่เขากระทำคือการต่อต้านผู้ที่ทำลายประเทศ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศาลสหรัฐฯ มีคำพิพากษาตัดสินจำคุกเป็นเวลา 18 ปี ต่อนายสจวร์ต โรดส์ ผุ้ก่อตั้งกลุ่ม “โอธ คีเปอร์” ซึ่งเป็นแกนนำและอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุจลาจลบุกเข้าไปภายในอาคารรัฐสภา หรือสภาคองเกรส ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 (พ.ศ. 2564) หรือที่เรียกว่า เหตุจลาจล 6 มกราฯ เพื่อขัดขวางไม่ให้นายโจ ไบเดน ประกอบพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเหนือนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ

รายงานข่าวแจ้งว่า คำพิพากษาข้างต้น ถือเป็นบทลงโทษที่หนักที่สุดต่อผู้ที่ร่วมก่อเหตุจลาจลในครั้งนั้น ซึ่งมีผู้ถูกดำเนินคดีมากกว่า 1,000 คน

โดยผู้พิพากษารายหนึ่ง เปิดเผยว่า นายโรดส์ วัย 57 ปี ถือเป็นบุคคลที่เป็นภัยคุกคามต่อประเทศ จากการที่เขาได้ยุยงปลุกปั่นผู้คนในการก่อจลาจล และเป็นผู้นำกลุ่ม “โอธ คีเปอร์” ซึ่งเป็นกลุ่มที่บุกจู่โจมอาคารรัฐสภา

พร้อมกันนี้ ศาลยังได้ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของนายโรดส์ ที่ระบุว่า ตัวเขาตกเป็นนักโทษทางการเมือง

อย.สหรัฐฯ ไฟเขียว “นิวรัลลิงก์” ของอีลอน มัสก์ ทดสอบฝังชิปในสมองมนุษย์

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ว่า นิวรัลลิงก์ กล่าวว่า การอนุญาตจากเอฟดีเอ สำหรับการศึกษาทางคลินิกในมนุษย์เป็นครั้งแรกนี้ ถือเป็น “ก้าวแรกที่สำคัญ” ต่อเทคโนโลยีของบริษัท ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อให้สมองสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง

“พวกเรารู้สึกตื่นเต้นในการแจ้งให้ทราบว่า เราได้รับการอนุมัติจากเอฟดีเอ ให้เริ่มการศึกษาทางคลินิกในมนุษย์เป็นครั้งแรก” นิวรัลลิงก์ ทวีต “นี่คือผลงานอันน่าทึ่งของทีมนิวรัลลิงก์ ในความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับเอฟดีเอ”

ทั้งนี้ มัสก์ กล่าวในการนำเสนอเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า เป้าหมายของการฝังนิวรัลลิงก์ คือ การทำให้สมองของมนุษย์สามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์โดยตรงได้ ซึ่งทางบริษัททำงานอย่างหนัก เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทดสอบในมนุษย์คนแรก ตลอดจนมีความระมัดระวังรอบคอบอย่างมาก และมั่นใจว่ามันจะทำงานได้ดี ก่อนที่จะมีการใส่อุปกรณ์เข้าไปในคนจริง

ยิ่งไปกว่านั้น มัสก์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นิวรัลลิงก์ จะพยายามใช้การฝังชิป เพื่อฟื้นฟูการมองเห็น และการเคลื่อนไหวในมนุษย์ที่สูญเสียความสามารถดังกล่าว

“ในตอนแรก พวกเราจะทำให้คนซึ่งแทบจะไม่มีความสามารถข้างต้น สามารถใช้งานกล้ามเนื้อ และช่วยให้พวกเขาใช้โทรศัพท์ได้เร็วกว่าคนทั่วไป” มัสก์ ระบุ “เรามั่นใจว่ามันมีความเป็นไปได้ ที่จะฟื้นฟูการทำงานของร่างกายอย่างเต็มรูปแบบ ให้กับผู้ที่ตัดไขสันหลังออกไปแล้ว”

นอกเหนือจากศักยภาพในการรักษาโรคของระบบประสาท เป้าหมายสูงสุดของมัสก์ คือ การทำให้แน่ใจว่า มนุษย์จะไม่ถูกปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ครอบงำทางสติปัญญา

บริษัทนิวรัลลิงก์ ของนายอีลอน มัสก์ ประกาศว่า ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ ให้สามารถเริ่มทดลองฝังไมโครชิปในสมองมนุษย์ได้เป็นครั้งแรก

บริษัท นิวรัลลิงก์ ของนายอีลอน มัสก์ ผู้ผลิตชิปสำหรับฝังในสมอง กล่าวว่าได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ เอฟดีเอ ให้ดำเนินการทดสอบกับมนุษย์เป็นครั้งแรก โดยมีเป้าหมายในการช่วยฟื้นฟูการมองเห็นและการเคลื่อนไหวของผู้คนด้วยการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม บริษัทกล่าวว่าไม่มีแผนที่จะเริ่มรับสมัครผู้เข้าร่วมทันที ด้านเอฟดีเอยังคงไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ

ตามรายงานของรอยเตอร์ในเดือนมีนาคม ที่อ้างถึงพนักงานปัจจุบันและอดีตหลายคน การเสนอการทดลองก่อนหน้านี้ของนิวรัลลิงก์ เพื่อให้ได้รับการอนุมัติจากเอฟดีเอ ถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

นิวรัลลิงก์หวังที่จะใช้ไมโครชิปเพื่อรักษาอาการต่างๆ เช่น อัมพาตและตาบอด และช่วยให้ผู้พิการสามารถใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ โดยชิปที่เคยทำการทดสอบในลิง ได้รับการออกแบบมาเพื่อตีความสัญญาณที่ผลิตในสมองและถ่ายทอดข้อมูลไปยังอุปกรณ์ผ่านบลูทูธ

ก่อนหน้านี้ มัสก์เคยเสนอว่าเทคโนโลยีนี้สามารถช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับมนุษย์ที่อาจถูกแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์

นิวรัลลิงก์ กล่าวในทวิตเตอร์เมื่อวันพฤหัสบดี ถึงเทคโนโลยีนี้ว่า “ขั้นตอนแรกที่สำคัญซึ่งวันหนึ่งจะช่วยให้เทคโนโลยีของเราสามารถช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากได้” การอนุมัติดังกล่าวเป็น “ผลงานอันน่าทึ่งของทีมนิวรัลลิงก์ โดยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ เอฟดีเอ”

บริษัทยังกล่าวว่าจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเร็วๆ นี้ เกี่ยวกับแผนการสมัครเข้าร่วมการทดลอง ด้านเว็บไซต์ของบริษัทให้คำมั่นว่า “ความปลอดภัย ความสามารถในการเข้าถึง และความน่าเชื่อถื” เป็นสิ่งที่มีความสำคัญทั้งหมดในระหว่างกระบวนการทางวิศวกรรม

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการปลูกถ่ายสมองของนิวรัลลิงก์ จะต้องมีการทดสอบอย่างครอบคลุมเพื่อเอาชนะความท้าทายด้านเทคนิคและจริยธรรม หากต้องการให้มีการนำไปใช้ในวงกว้าง

ที่ผ่านมา นิวรัลลิงก์เคยประเมินว่าบริษัทจะสามารถเริ่มดำเนินการปลูกถ่ายชิปมาแล้วหลายครั้ง เป้าหมายแรกเริ่มคือการเริ่มปลูกชิปในสมองมนุษย์ในปี 2563 เพื่อทำตามการประกาศที่เคยให้ไว้เมื่อปีก่อนหน้า ต่อมาบริษัทได้ประกาศว่าจะเริ่มโครงการนี้ในปี 2565

บริษัทประสบกับความล้มเหลวอีกครั้งในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว หลังจากมีรายงานว่ากำลังถูกสอบสวนเกี่ยวกับการละเมิดสวัสดิภาพสัตว์ในระหว่างการทดลอง โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่คล้ายคลึงกัน การประกาศความคืบหน้าของนิวรัลลิงก์ มีขึ้นหลังจากข่าวล่าสุดเกี่ยวกับความก้าวหน้าที่คล้ายคลึงกันซึ่งเกี่ยวข้องกับการปลูกถ่ายสมองโดยนักวิจัยชาวสวิส หลังชายที่เป็นอัมพาตจากเนเธอร์แลนด์สามารถเดินได้ ผ่านการสั่งการจากสมอง ด้วยระบบการปลูกถ่ายที่ส่งความคิดของเขาไปยังขาและเท้าแบบไร้สาย

เครดิตภาพ : AFP


สหรัฐฯ ชี้แฮกเกอร์จีน จ้องโจมตีเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

รัฐบาลวอชิงตันกล่าวว่า แฮกเกอร์จีนในนาม “โวลต์ ไทฟูน” มีศักยภาพสูงเพียงพอ ที่จะโจมตีทางไซเบอร์ต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ว่า นายแมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า ผลการประเมินโดยประชาคมข่าวกรองสหรัฐบ่งชี้ “มีความเป็นไปได้มาก” ว่ากลุ่มแฮกเกอร์ของจีนสามารถโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งสามารถสร้างความปั่นป่วน และรบกวนการทำงานของระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของสหรัฐฯ รวมถึง น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ

และระบบราง พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ทุกภาคส่วน “ตื่นตัว”

คำเตือนดังกล่าวของรัฐบาลวอชิงตันเกิดขึ้น หลังหน่วยข่าวกรองของกลุ่ม “ไฟฟ์ อายส์” หรือ “5 ตา” ที่ประกอบด้วยสหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ หารือเกี่ยวกับกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อ “โวลต์ ไทฟูน” ( Volt Typhoon )

และออกแถลงการณ์ร่วม อ้างอิงตามรายงานวิเคราะห์โดยบริษัทไมโครซอฟต์ ที่ระบุด้วยว่า นอกเหนือจากสหรัฐฯ แล้ว ระบบโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคเอเชียมีความเสี่ยงจากการโจมตีโดยโวลต์ ไทฟูน เช่นกัน

ขณะที่ นางเหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นการวิเคราะห์และทำรายงานแบบ “ตัดแปะ” ที่ปราศจากความเป็นมืออาชีพ เพราะเต็มไปด้วยการเชื่อมโยงอย่างไร้เหตุผล ทั้งที่ “สหรัฐฯ เป็นเจ้าแห่งการแฮกข้อมูล”

เครดิตภาพ : AFP...


ญี่ปุ่นเผยมาตรการคว่ำบาตรหมีขาวล่าสุด กดดันยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ญี่ปุ่นประกาศคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มขึ้น เนื่อง จากประเทศดังกล่าวได้รุกรานยูเครน โดยมาตรการลงโทษครั้งนี้จะเพ่งเล็งไปที่การทหารของรัสเซีย รวมถึงภาคการก่อสร้างและวิศวกรรม

การคว่ำบาตรครั้งล่าสุดของญี่ปุ่นนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประเทศดังกล่าวเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้ นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ (จี7) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในจังหวัดฮิโรชิมา โดยที่ประชุมดังกล่าวมีความเห็นร่วมกันที่จะตัดขาดรัสเซียในการเข้าถึงเทคโนโลยี อุปกรณ์ทางอุตสาหกรรมและบริการของจี7 ที่อาจเป็นการสนับสนุนการทำสงครามของรัสเซีย

ฮิโรคาสุ มัตสึโนะ เลขาธิการใหญ่คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น แถลงข่าวว่า มาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่นี้ ยังรวมถึงการอายัดทรัพย์สินของปัจเจกบุคคลและองค์กรของรัสเซีย การระงับการส่งออกสินค้าไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการทหารของรัสเซีย และการห้ามส่งออกบริการด้านการก่อสร้างและวิศวกรรมไปยังรัสเซีย

รัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่า การอายัดทรัพย์สินเพ่งเล็งไปที่ชาวรัสเซีย 17 คน และองค์กรของประเทศดังกล่าวอีก 78 องค์กร ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ทางทหารระดับสูง ขณะที่องค์กร 80 แห่ง ได้รับผลกระทบจากข้อห้ามด้านการส่งออก ซึ่งรวมถึง บริษัท MegaFon ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือของรัสเซีย

ด้านสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสหภาพยุโรป ก็ได้ประกาศบทลงโทษใหม่ต่อมอสโกในช่วงที่ผ่านนี้ รวมทั้งให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนมากขึ้น ซึ่งรวมถึงเครื่องบินรบ F-16

มัตสึโนะยังได้ประณามแผนการที่รัสเซียจะติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ยุทธวิธีในประเทศเบลารุสอีกด้วย โดยกล่าวว่าจะเป็นการยกระดับความรุนแรงของสถานการณ์ในยูเครน พร้อมย้ำว่า “ในฐานะประเทศเดียวที่เคยได้รับความเจ็บปวดจากการถูกทิ้งระเบิดปรมาณูในช่วงสงคราม ญี่ปุ่นไม่สามารถทนต่อการที่รัสเซียข่มขู่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ และไม่ต้องพูดถึงการใช้อาวุธดังกล่าวจริงๆ”

ทั้งนี้ รัสเซียได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรจำนวนมาก หลังจากการรุกรานยูเครนใน เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ขณะที่เคียฟและพันธมิตรต่างเรียกร้องให้มีบทลงโทษที่รุนแรงมากขึ้นกับมอสโก


สหรัฐไม่หวั่น ! รัสเซียเคลื่อน “อาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี” ประจำการในเบลารุส

เอเอฟพี: รายงานวันที่ 26 พ.ค. ว่า ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ผู้นำเบลารุส เปิดเผยว่ารัสเซียเริ่มเคลื่อนย้ายอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี เข้าไปประจำการในดินแดนของเบลารุส ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งกับชาติตะวันตกต่อกรณีรุกรานยูเครนตึงเครียดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“การเคลื่อนย้ายอาวุธนิวเคลียร์ได้เริ่มขึ้นแล้ว” นายลูคาเชนโกกล่าวกับผู้สื่อข่าวระหว่างเยือนกรุงมอสโกเพื่อพบปะหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย

ขณะที่โฆษกทำเนียบขาวของสหรัฐอเมริกาแถลงประณามรัสเซีย “นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งในการเลือกของรัสเซียที่ขาดความรับผิดชอบและเป็นการยั่วยุ อย่างไรก็ตาม เราไม่เห็นเหตุผลใดๆ ในการปรับท่าทีด้านนิวเคลียร์ของเราเอง และไม่มีข้อบ่งชี้ว่ารัสเซียเตรียมพร้อมที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์จากเบลารุส”

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมี.ค.2566 นายลูคาเชนโกอนุญาตให้รัสเซียใช้พื้นที่ชายแดนของประเทศซึ่งติดกับยูเครน รวมถึงโปแลนด์และลิทัวเนีย สองชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) สำหรับตั้งจุดระดมพลเพื่อโจมตียูเครน ซึ่งประธานาธิบดีปูตินกล่าวว่าจะส่งอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี รวมถึงขีปนาวุธติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์พิสัยใกล้ ไปประจำการในเบลารุส

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากรัสเซียแถลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 พ.ค. ว่าส่งเครื่องบินรบไปสกัดกั้นเครื่องบินทิ้งระเบิดบี 1 บี จำนวน 2 ลำของกองทัพสหรัฐฯ เพื่อไม่ให้ล่วงล้ำพรมแดนเหนือทะเลบอลติก และเป็นการเผชิญหน้าทางอากาศครั้งที่สองในสัปดาห์นี้

ขณะเดียวกันกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นระบุว่าส่งเครื่องบินรบขึ้นสกัดกั้นเครื่องบินรวบรวมข่าวกรองของรัสเซีย หลังพบบินนอกชายฝั่งตามแนวมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลญี่ปุ่น

ส่วนนายเยฟเกนี ปริโกซิน ผู้ก่อตั้งกลุ่มทหารรับจ้างแวกเนอร์ ประกาศว่าทหารแวกเนอร์เริ่มถอนกำลังออกจากเมืองบักมุตของยูเครนแล้ว และจะโอนถ่ายอำนาจการควบคุมเมืองให้กับรัสเซียภายในวันที่ 1 มิ.ย.

แต่ทางการยูเครนย้ำว่าทหารยูเครนยังควบคุมพื้นที่บางส่วนของเมืองไว้ได้ ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานาย ปริโกซิน กล่าวว่า ทหารแวกเนอร์ราว 20,000 รายเสียชีวิตในสมรภูมิเมืองบักมุต

มิสไซล์รัสเซียโดนโรงพยาบาลในเมืองยูเครนพังยับ ตาย 2 เจ็บ 23 ราย

รัสเซียส่งโดรนและยิงมิสไซล์โจมตีเมืองดนีโปร ของยูเครน กระสุนไปถูกโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 ศพ บาดเจ็บอีกจำนวนมาก

เมื่อวันศุกร์ที่ 26 พ.ค. 2566 นายเซอร์ฮีย์ ไลซาก ผู้ว่าการแคว้นดนีโปรเปตรอฟสก์ โอบลาสต์ ทางตะวันออกของยูเครน เปิดเผยว่า รัสเซียยิงมิสไซล์เข้าสู่เมืองดนีโปรเมื่อคืนวันพฤหัสบดี ถูกโรงพยาบาลแห่งหนึ่งจนเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 2 ศพ บาดเจ็บอีก 23 ราย โดย 3 รายในจำนวนนี้มีอาการสาหัส

การโจมตีของรัสเซียรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่ฝ่ายยูเครนจะเริ่มการโจมตีตอบโต้ซึ่งคาดกันว่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

ประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี โพสต์คลิปวิดีโอความเสียหายของโรงพยาบาล แสดงให้เห็นภาพนักดับเพลิงในที่เกิดเหตุ และกลุ่มควันที่พวยพุ่งออกมาจากอาคาร “เป็นอีกครั้งแล้ว ที่ผู้ก่อการร้ายชาวรัสเซียยืนยันสถานะของตัวเอง ในฐานะนักสู้ผู้ต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมนุษยธรรมและความยุติธรรม” เซเลนสกีกล่าว

รัสเซียส่งโดรนหลายลำโจมตีและยิงมิสไซล์เข้าใส่เป้าหมายหลายจุดในเมืองดนีโปร และเมืองคาร์คิฟ ทางตะวันออก รวมถึงคลังน้ำมัน โดยเจ้าหน้าที่ของบูเครนระบุว่า พวกเขายิงสกัดมิสไซล์ที่ถูกยิงมาในช่วงข้าม คืนได้ 17 ลูก และทำลายโดรนได้อีก 31 ลำ

นอกจากนั้น กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนก็ตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีล่าสุด เศษซากโดรนที่ถูกยิงทำลายหลายลำตกใส่หลังคาของศูนย์การค้า, บ้านเรือน และรถยนต์หลายคันจนได้รับความเสียหาย

ส่วนในรัสเซีย เกิดเหตุระเบิดที่อาคารที่อยู่อาศัยกับอาคารสำนักงานในเมือง ครัสโนดาร์ ทางตะวันออกของแคว้นไครเมียที่มอสโกเข้ายึดครอง โดยนายเวเนียมิน คอนดราตีเยฟ ผู้ว่าการแคว้น กล่าว่า สาเหตุของการระเบิดเกิดจากโดรน 2 ลำที่ยูเครนส่งมา สร้างความเสียหายให้อาคารหลายแห่ง แต่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญไม่ได้รับความเสียหาย และไม่มีผู้บาดเจ็บ

ที่มา : bbc