สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ว่า นิวรัลลิงก์ กล่าวว่า การอนุญาตจากเอฟดีเอ สำหรับการศึกษาทางคลินิกในมนุษย์เป็นครั้งแรกนี้ ถือเป็น “ก้าวแรกที่สำคัญ” ต่อเทคโนโลยีของบริษัท ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อให้สมองสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง
“พวกเรารู้สึกตื่นเต้นในการแจ้งให้ทราบว่า เราได้รับการอนุมัติจากเอฟดีเอ ให้เริ่มการศึกษาทางคลินิกในมนุษย์เป็นครั้งแรก” นิวรัลลิงก์ ทวีต “นี่คือผลงานอันน่าทึ่งของทีมนิวรัลลิงก์ ในความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับเอฟดีเอ”
ทั้งนี้ มัสก์ กล่าวในการนำเสนอเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า เป้าหมายของการฝังนิวรัลลิงก์ คือ การทำให้สมองของมนุษย์สามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์โดยตรงได้ ซึ่งทางบริษัททำงานอย่างหนัก เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทดสอบในมนุษย์คนแรก ตลอดจนมีความระมัดระวังรอบคอบอย่างมาก และมั่นใจว่ามันจะทำงานได้ดี ก่อนที่จะมีการใส่อุปกรณ์เข้าไปในคนจริง
ยิ่งไปกว่านั้น มัสก์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นิวรัลลิงก์ จะพยายามใช้การฝังชิป เพื่อฟื้นฟูการมองเห็น และการเคลื่อนไหวในมนุษย์ที่สูญเสียความสามารถดังกล่าว
“ในตอนแรก พวกเราจะทำให้คนซึ่งแทบจะไม่มีความสามารถข้างต้น สามารถใช้งานกล้ามเนื้อ และช่วยให้พวกเขาใช้โทรศัพท์ได้เร็วกว่าคนทั่วไป” มัสก์ ระบุ “เรามั่นใจว่ามันมีความเป็นไปได้ ที่จะฟื้นฟูการทำงานของร่างกายอย่างเต็มรูปแบบ ให้กับผู้ที่ตัดไขสันหลังออกไปแล้ว”
นอกเหนือจากศักยภาพในการรักษาโรคของระบบประสาท เป้าหมายสูงสุดของมัสก์ คือ การทำให้แน่ใจว่า มนุษย์จะไม่ถูกปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ครอบงำทางสติปัญญา
บริษัทนิวรัลลิงก์ ของนายอีลอน มัสก์ ประกาศว่า ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ ให้สามารถเริ่มทดลองฝังไมโครชิปในสมองมนุษย์ได้เป็นครั้งแรก
บริษัท นิวรัลลิงก์ ของนายอีลอน มัสก์ ผู้ผลิตชิปสำหรับฝังในสมอง กล่าวว่าได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ เอฟดีเอ ให้ดำเนินการทดสอบกับมนุษย์เป็นครั้งแรก โดยมีเป้าหมายในการช่วยฟื้นฟูการมองเห็นและการเคลื่อนไหวของผู้คนด้วยการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม บริษัทกล่าวว่าไม่มีแผนที่จะเริ่มรับสมัครผู้เข้าร่วมทันที ด้านเอฟดีเอยังคงไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ
ตามรายงานของรอยเตอร์ในเดือนมีนาคม ที่อ้างถึงพนักงานปัจจุบันและอดีตหลายคน การเสนอการทดลองก่อนหน้านี้ของนิวรัลลิงก์ เพื่อให้ได้รับการอนุมัติจากเอฟดีเอ ถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย
นิวรัลลิงก์หวังที่จะใช้ไมโครชิปเพื่อรักษาอาการต่างๆ เช่น อัมพาตและตาบอด และช่วยให้ผู้พิการสามารถใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ โดยชิปที่เคยทำการทดสอบในลิง ได้รับการออกแบบมาเพื่อตีความสัญญาณที่ผลิตในสมองและถ่ายทอดข้อมูลไปยังอุปกรณ์ผ่านบลูทูธ
ก่อนหน้านี้ มัสก์เคยเสนอว่าเทคโนโลยีนี้สามารถช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับมนุษย์ที่อาจถูกแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์
นิวรัลลิงก์ กล่าวในทวิตเตอร์เมื่อวันพฤหัสบดี ถึงเทคโนโลยีนี้ว่า “ขั้นตอนแรกที่สำคัญซึ่งวันหนึ่งจะช่วยให้เทคโนโลยีของเราสามารถช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากได้” การอนุมัติดังกล่าวเป็น “ผลงานอันน่าทึ่งของทีมนิวรัลลิงก์ โดยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ เอฟดีเอ”
บริษัทยังกล่าวว่าจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเร็วๆ นี้ เกี่ยวกับแผนการสมัครเข้าร่วมการทดลอง ด้านเว็บไซต์ของบริษัทให้คำมั่นว่า “ความปลอดภัย ความสามารถในการเข้าถึง และความน่าเชื่อถื” เป็นสิ่งที่มีความสำคัญทั้งหมดในระหว่างกระบวนการทางวิศวกรรม
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการปลูกถ่ายสมองของนิวรัลลิงก์ จะต้องมีการทดสอบอย่างครอบคลุมเพื่อเอาชนะความท้าทายด้านเทคนิคและจริยธรรม หากต้องการให้มีการนำไปใช้ในวงกว้าง
ที่ผ่านมา นิวรัลลิงก์เคยประเมินว่าบริษัทจะสามารถเริ่มดำเนินการปลูกถ่ายชิปมาแล้วหลายครั้ง เป้าหมายแรกเริ่มคือการเริ่มปลูกชิปในสมองมนุษย์ในปี 2563 เพื่อทำตามการประกาศที่เคยให้ไว้เมื่อปีก่อนหน้า ต่อมาบริษัทได้ประกาศว่าจะเริ่มโครงการนี้ในปี 2565
บริษัทประสบกับความล้มเหลวอีกครั้งในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว หลังจากมีรายงานว่ากำลังถูกสอบสวนเกี่ยวกับการละเมิดสวัสดิภาพสัตว์ในระหว่างการทดลอง โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่คล้ายคลึงกัน การประกาศความคืบหน้าของนิวรัลลิงก์ มีขึ้นหลังจากข่าวล่าสุดเกี่ยวกับความก้าวหน้าที่คล้ายคลึงกันซึ่งเกี่ยวข้องกับการปลูกถ่ายสมองโดยนักวิจัยชาวสวิส หลังชายที่เป็นอัมพาตจากเนเธอร์แลนด์สามารถเดินได้ ผ่านการสั่งการจากสมอง ด้วยระบบการปลูกถ่ายที่ส่งความคิดของเขาไปยังขาและเท้าแบบไร้สาย
เครดิตภาพ : AFP
รัฐบาลวอชิงตันกล่าวว่า แฮกเกอร์จีนในนาม “โวลต์ ไทฟูน” มีศักยภาพสูงเพียงพอ ที่จะโจมตีทางไซเบอร์ต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ว่า นายแมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า ผลการประเมินโดยประชาคมข่าวกรองสหรัฐบ่งชี้ “มีความเป็นไปได้มาก” ว่ากลุ่มแฮกเกอร์ของจีนสามารถโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งสามารถสร้างความปั่นป่วน และรบกวนการทำงานของระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของสหรัฐฯ รวมถึง น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ
และระบบราง พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ทุกภาคส่วน “ตื่นตัว”
คำเตือนดังกล่าวของรัฐบาลวอชิงตันเกิดขึ้น หลังหน่วยข่าวกรองของกลุ่ม “ไฟฟ์ อายส์” หรือ “5 ตา” ที่ประกอบด้วยสหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ หารือเกี่ยวกับกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อ “โวลต์ ไทฟูน” ( Volt Typhoon )
และออกแถลงการณ์ร่วม อ้างอิงตามรายงานวิเคราะห์โดยบริษัทไมโครซอฟต์ ที่ระบุด้วยว่า นอกเหนือจากสหรัฐฯ แล้ว ระบบโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคเอเชียมีความเสี่ยงจากการโจมตีโดยโวลต์ ไทฟูน เช่นกัน
ขณะที่ นางเหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นการวิเคราะห์และทำรายงานแบบ “ตัดแปะ” ที่ปราศจากความเป็นมืออาชีพ เพราะเต็มไปด้วยการเชื่อมโยงอย่างไร้เหตุผล ทั้งที่ “สหรัฐฯ เป็นเจ้าแห่งการแฮกข้อมูล”
เครดิตภาพ : AFP...
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ญี่ปุ่นประกาศคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มขึ้น เนื่อง จากประเทศดังกล่าวได้รุกรานยูเครน โดยมาตรการลงโทษครั้งนี้จะเพ่งเล็งไปที่การทหารของรัสเซีย รวมถึงภาคการก่อสร้างและวิศวกรรม
การคว่ำบาตรครั้งล่าสุดของญี่ปุ่นนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประเทศดังกล่าวเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้ นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ (จี7) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในจังหวัดฮิโรชิมา โดยที่ประชุมดังกล่าวมีความเห็นร่วมกันที่จะตัดขาดรัสเซียในการเข้าถึงเทคโนโลยี อุปกรณ์ทางอุตสาหกรรมและบริการของจี7 ที่อาจเป็นการสนับสนุนการทำสงครามของรัสเซีย
ฮิโรคาสุ มัตสึโนะ เลขาธิการใหญ่คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น แถลงข่าวว่า มาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่นี้ ยังรวมถึงการอายัดทรัพย์สินของปัจเจกบุคคลและองค์กรของรัสเซีย การระงับการส่งออกสินค้าไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการทหารของรัสเซีย และการห้ามส่งออกบริการด้านการก่อสร้างและวิศวกรรมไปยังรัสเซีย
รัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่า การอายัดทรัพย์สินเพ่งเล็งไปที่ชาวรัสเซีย 17 คน และองค์กรของประเทศดังกล่าวอีก 78 องค์กร ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ทางทหารระดับสูง ขณะที่องค์กร 80 แห่ง ได้รับผลกระทบจากข้อห้ามด้านการส่งออก ซึ่งรวมถึง บริษัท MegaFon ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือของรัสเซีย
ด้านสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสหภาพยุโรป ก็ได้ประกาศบทลงโทษใหม่ต่อมอสโกในช่วงที่ผ่านนี้ รวมทั้งให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนมากขึ้น ซึ่งรวมถึงเครื่องบินรบ F-16
มัตสึโนะยังได้ประณามแผนการที่รัสเซียจะติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ยุทธวิธีในประเทศเบลารุสอีกด้วย โดยกล่าวว่าจะเป็นการยกระดับความรุนแรงของสถานการณ์ในยูเครน พร้อมย้ำว่า “ในฐานะประเทศเดียวที่เคยได้รับความเจ็บปวดจากการถูกทิ้งระเบิดปรมาณูในช่วงสงคราม ญี่ปุ่นไม่สามารถทนต่อการที่รัสเซียข่มขู่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ และไม่ต้องพูดถึงการใช้อาวุธดังกล่าวจริงๆ”
ทั้งนี้ รัสเซียได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรจำนวนมาก หลังจากการรุกรานยูเครนใน เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ขณะที่เคียฟและพันธมิตรต่างเรียกร้องให้มีบทลงโทษที่รุนแรงมากขึ้นกับมอสโก
เอเอฟพี: รายงานวันที่ 26 พ.ค. ว่า ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ผู้นำเบลารุส เปิดเผยว่ารัสเซียเริ่มเคลื่อนย้ายอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี เข้าไปประจำการในดินแดนของเบลารุส ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งกับชาติตะวันตกต่อกรณีรุกรานยูเครนตึงเครียดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“การเคลื่อนย้ายอาวุธนิวเคลียร์ได้เริ่มขึ้นแล้ว” นายลูคาเชนโกกล่าวกับผู้สื่อข่าวระหว่างเยือนกรุงมอสโกเพื่อพบปะหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย
ขณะที่โฆษกทำเนียบขาวของสหรัฐอเมริกาแถลงประณามรัสเซีย “นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งในการเลือกของรัสเซียที่ขาดความรับผิดชอบและเป็นการยั่วยุ อย่างไรก็ตาม เราไม่เห็นเหตุผลใดๆ ในการปรับท่าทีด้านนิวเคลียร์ของเราเอง และไม่มีข้อบ่งชี้ว่ารัสเซียเตรียมพร้อมที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์จากเบลารุส”
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมี.ค.2566 นายลูคาเชนโกอนุญาตให้รัสเซียใช้พื้นที่ชายแดนของประเทศซึ่งติดกับยูเครน รวมถึงโปแลนด์และลิทัวเนีย สองชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) สำหรับตั้งจุดระดมพลเพื่อโจมตียูเครน ซึ่งประธานาธิบดีปูตินกล่าวว่าจะส่งอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี รวมถึงขีปนาวุธติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์พิสัยใกล้ ไปประจำการในเบลารุส
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากรัสเซียแถลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 พ.ค. ว่าส่งเครื่องบินรบไปสกัดกั้นเครื่องบินทิ้งระเบิดบี 1 บี จำนวน 2 ลำของกองทัพสหรัฐฯ เพื่อไม่ให้ล่วงล้ำพรมแดนเหนือทะเลบอลติก และเป็นการเผชิญหน้าทางอากาศครั้งที่สองในสัปดาห์นี้
ขณะเดียวกันกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นระบุว่าส่งเครื่องบินรบขึ้นสกัดกั้นเครื่องบินรวบรวมข่าวกรองของรัสเซีย หลังพบบินนอกชายฝั่งตามแนวมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลญี่ปุ่น
ส่วนนายเยฟเกนี ปริโกซิน ผู้ก่อตั้งกลุ่มทหารรับจ้างแวกเนอร์ ประกาศว่าทหารแวกเนอร์เริ่มถอนกำลังออกจากเมืองบักมุตของยูเครนแล้ว และจะโอนถ่ายอำนาจการควบคุมเมืองให้กับรัสเซียภายในวันที่ 1 มิ.ย.
แต่ทางการยูเครนย้ำว่าทหารยูเครนยังควบคุมพื้นที่บางส่วนของเมืองไว้ได้ ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานาย ปริโกซิน กล่าวว่า ทหารแวกเนอร์ราว 20,000 รายเสียชีวิตในสมรภูมิเมืองบักมุต
รัสเซียส่งโดรนและยิงมิสไซล์โจมตีเมืองดนีโปร ของยูเครน กระสุนไปถูกโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 ศพ บาดเจ็บอีกจำนวนมาก
เมื่อวันศุกร์ที่ 26 พ.ค. 2566 นายเซอร์ฮีย์ ไลซาก ผู้ว่าการแคว้นดนีโปรเปตรอฟสก์ โอบลาสต์ ทางตะวันออกของยูเครน เปิดเผยว่า รัสเซียยิงมิสไซล์เข้าสู่เมืองดนีโปรเมื่อคืนวันพฤหัสบดี ถูกโรงพยาบาลแห่งหนึ่งจนเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 2 ศพ บาดเจ็บอีก 23 ราย โดย 3 รายในจำนวนนี้มีอาการสาหัส
การโจมตีของรัสเซียรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่ฝ่ายยูเครนจะเริ่มการโจมตีตอบโต้ซึ่งคาดกันว่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
ประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี โพสต์คลิปวิดีโอความเสียหายของโรงพยาบาล แสดงให้เห็นภาพนักดับเพลิงในที่เกิดเหตุ และกลุ่มควันที่พวยพุ่งออกมาจากอาคาร “เป็นอีกครั้งแล้ว ที่ผู้ก่อการร้ายชาวรัสเซียยืนยันสถานะของตัวเอง ในฐานะนักสู้ผู้ต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมนุษยธรรมและความยุติธรรม” เซเลนสกีกล่าว
รัสเซียส่งโดรนหลายลำโจมตีและยิงมิสไซล์เข้าใส่เป้าหมายหลายจุดในเมืองดนีโปร และเมืองคาร์คิฟ ทางตะวันออก รวมถึงคลังน้ำมัน โดยเจ้าหน้าที่ของบูเครนระบุว่า พวกเขายิงสกัดมิสไซล์ที่ถูกยิงมาในช่วงข้าม คืนได้ 17 ลูก และทำลายโดรนได้อีก 31 ลำ
นอกจากนั้น กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนก็ตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีล่าสุด เศษซากโดรนที่ถูกยิงทำลายหลายลำตกใส่หลังคาของศูนย์การค้า, บ้านเรือน และรถยนต์หลายคันจนได้รับความเสียหาย
ส่วนในรัสเซีย เกิดเหตุระเบิดที่อาคารที่อยู่อาศัยกับอาคารสำนักงานในเมือง ครัสโนดาร์ ทางตะวันออกของแคว้นไครเมียที่มอสโกเข้ายึดครอง โดยนายเวเนียมิน คอนดราตีเยฟ ผู้ว่าการแคว้น กล่าว่า สาเหตุของการระเบิดเกิดจากโดรน 2 ลำที่ยูเครนส่งมา สร้างความเสียหายให้อาคารหลายแห่ง แต่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญไม่ได้รับความเสียหาย และไม่มีผู้บาดเจ็บ
ที่มา : bbc