ข่าว
สุดเจ๋ง ! ‘รถยนต์บินได้’ ขายจริง 2 ปีข้างหน้า

‘ใกล้เป็นจริง’... บริษัทแอโรโมบิลในสโลวาเกีย สุดภูมิใจ ประกาศเตรียมจำหน่าย ‘รถยนต์บินได้’ ให้ชาวโลกได้ขับจริง บินจริงในอีก 2 ปีข้างหน้าแล้ว

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานเมื่อ 20 มี.ค. ถึงความก้าวหน้าของการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านยานยนต์ ที่สามารถจับรถยนต์มาติดปีก เหินฟ้าได้สำเร็จ เมื่อในที่สุด บริษัทแอโรโมบิล (AeroMobil) ในประเทศสโลวาเกีย ได้ประกาศจะเริ่มจำหน่าย ‘รถยนต์บินได้’ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ‘เดอะ แอโรโมบิล 3.0’ ในปี 2560 หรืออีก 2 ปีข้างหน้านี้แล้ว หลังจากได้เปิดตัวไปเมื่อปี 2557

เว็บไซต์ของบริษัท แอโรโมบิล ได้มีการโชว์วิดีโอแสดงให้เห็นประสิทธิภาพของรถยนต์บินได้ ‘เดอะ แอโรโมบิล 3.0’ ที่ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิง นับตั้งแต่ถูกขับแล่นออกมาจากโรงจอด แล่นไปจนถึงสนามหญ้าโล่ง จากนั้นก็ทะยานขึ้นเหินฟ้า บินได้ราวกับนก และสามารถบินกลับมาลงตรงสนามหญ้า ที่ไม่ใช่รันเวย์ปูนได้สำเร็จ ท่ามกลางความดีใจของทีมงาน

ด้านโฆษกของบริษัทแอโรโมบิล กล่าวว่า บริษัทยังไม่ได้กำหนดราคาที่แน่นอนของ‘รถยนต์บินได้’ เนื่องจากยังไม่พร้อมในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคารถยนต์บินได้ จะมีสนนราคาหลายแสนยูโร เนื่องจากเป็นราคาระหว่างรถสปอร์ตและเครื่องบินเล็ก

ส่วนรถยนต์บินได้นั้น จะมี 2 ที่นั่ง คือ ที่นั่งของนักบินและผู้โดยสาร ขณะที่ใบพัดของเครื่องบินซึ่งเป็นแบบใบพัดเดียวจะอยู่ด้านท้ายของเครื่องบิน โดยบริษัทแอโรโมบิลยังชี้ถึงความเร็วของรถยนต์บินได้ว่า วิ่งได้ด้วยความเร็วอย่างน้อย 99 ไมล์ต่อชั่วโมง และบินได้ด้วยความเร็วอย่างน้อย 124 ไมล์ต่อชั่วโมง อีกทั้งสามารถบินได้ไกลเป็นระยะทาง 435 ไมล์ หรือประมาณ 700 กิโลเมตร ก่อนแก๊สจะหมด.

‘ปู’สู้เต็มที่คดีจำนำข้าว ‘ทักษิณ’โทรให้กำลังใจ

“ยิ่งลักษณ์” ระทึก ศาลฎีกาฯประทับฟ้อง คดีจำนำข้าว นัดพิจารณาครั้งแรก 19 พ.ค. อัยการขู่ไม่มาศาลอาจเจอหมายจับ วางพยาน 13 ปากมัดเชื่อดิ้นไม่หลุด “ปู” ย้ำทำหน้าที่ซื่อสัตย์ตามฉันทามติ ซัด ป.ป.ช. ไร้หลักนิติธรรม แถมเร่งรีบผิดปกติ ขอโอกาสต่อสู้เต็มที่ในชั้นศาลโดยปราศจากอคติ เชื่อเป็นเกมทำลายทางการเมือง วอนทุกฝ่ายหยุดกดดัน-ชี้นำ เผย “พี่แม้ว” โทร.ให้กำลังใจตลอด

คดีรับจำนำข้าวที่สังคมเฝ้าจับตามองมาตลอด ล่าสุดศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง มีคำสั่งประทับฟ้องคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีละเลยไม่ระงับยับยั้งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท

ศาลฎีกาฯประทับฟ้องจำนำข้าว

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 มี.ค. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนน แจ้งวัฒนะ ศาลฎีกาฯนัดฟังคำสั่งคดีหมายเลขดำ อม. 22/2558 ที่นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และความ ผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท ก่อนมีคำสั่งองค์คณะมีมติเลือก นายวีระพล ตั้งสุวรรณ รองประธานศาลฎีกา เป็นเจ้าของสำนวน

นัดพิจารณาคดีครั้งแรก 19 พ.ค.

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายวีระพล พร้อมองค์ คณะทั้ง 9 อ่านคำสั่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาฯ ตามมาตรา 9 (1) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และคำฟ้องโจทก์ถูกต้องตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาฯ ข้อ 8 จึงให้ประทับฟ้องคดีไว้ และนัดพิจารณาคดีครั้งแรก วันที่ 19 พ.ค. เวลา 09.30 น. โดยให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำเลย และให้โจทก์หรือผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายภายใน 7 วัน หากการส่งหมายไม่พบจำเลยหรือไม่มีผู้รับแทนโดยชอบให้ปิดหมายแทน

อัยการใช้พยาน 13 ปากมัด “ปู”

จากนั้น นายชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกัน แถลงข่าวภายหลังศาลฎีกาฯมีคำสั่งประทับฟ้อง โดยนายสุรศักดิ์กล่าวว่า อัยการโจทก์เตรียมพยานบุคคลไว้ 13 ปาก ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมทั้งพยานเอกสาร พยานวัตถุต่างๆ แผ่นซีดี ที่ระบุไว้ในการจัดทำบัญชีพยาน เพื่อให้ข้อเท็จจริงส่วนใหญ่รับฟังได้เป็นที่ยุติว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องอย่างไรบ้าง และเพื่อยืนยันการได้มาซึ่งเอกสารราชการต่างๆ รวมทั้งประเด็นในข้อ กฎหมายว่าจำเลยมีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ ขณะนี้พยานหลักฐานฝ่ายโจทก์น่าจะเพียงพอแล้ว มั่นใจว่าหลักฐานครบถ้วนทุกประเด็นตามที่ทางอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง เพื่อให้ศาลฯรับฟังเป็นที่ยุติได้ ส่วนจะสามารถเอาผิดลงโทษจำเลยได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

ขู่ไม่มารายงานตัวอาจเจอหมายจับ

นายสุรศักดิ์กล่าวต่อว่า สำหรับวันนัดพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 19 พ.ค.นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำเลยจะ ต้องเดินทางมารายงานตัวต่อศาลด้วยตัวเอง อัยการได้ประสานเจ้าหน้าที่ศาลเพื่อส่งหมายแจ้งให้จำเลยรับทราบตามแหล่งที่อยู่ในคำฟ้อง แม้ว่าจำเลยจะไม่อยู่สามารถปิดหมายได้ ให้ถือว่าจำเลยรับทราบแล้ว แต่หากจำเลยไม่มารายงานตัวในวันดังกล่าว ศาลฯอาจออกหมายจับได้ สำหรับขั้นตอนวันนัดพิจารณาคดีครั้งแรก ศาลจะอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยเข้าใจ และสอบถามจำเลยว่าจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธอย่างไร รวมทั้งศาลจะมีคำสั่งในเรื่องการขอปล่อยชั่วคราว จากนั้นจะกำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐาน โดยคู่ความทั้งสองฝ่ายต้องยื่นบัญชีพยานว่ามีจำนวนกี่ปาก สืบประเด็นไหนและ อะไรบ้าง ก่อนกำหนดวันนัดไต่สวนพยาน ศาลฎีกาฯมีอำนาจนัดพิจารณาลับหลังจำเลยได้ ส่วนตัวจำเลยไม่จำเป็นต้องเดินทางมาศาลในวันนัดไต่สวนพยาน

ยังเชื่อมาสู้คดีชั้นศาลตามนัด

นายสุรศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการขอเดิน ทางออกนอกประเทศอยู่ในการพิจารณาของศาล แต่อัยการเชื่อว่าจำเลยน่าจะเดินทางมาศาลตามนัด ทั้งนี้ หากศาลสอบถามอัยการโจทก์ในเรื่องการขอปล่อยชั่วคราวจำเลย ต้องดูข้อเท็จจริงในขณะนั้นก่อนแถลงต่อศาลอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม แม้ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยไปแล้ว แต่หากภายหลังพบว่าจำเลยมีพฤติการณ์ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน หรือมีพฤติการณ์หลบหนี ทางอัยการสามารถยื่นคำร้องคัดค้านการปล่อยชั่วคราวได้เช่นกัน เมื่อถามว่า อัยการจะมีการขอคุ้มครองพยานในคดีนี้หรือไม่ นายสุรศักดิ์ตอบว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานถึงการข่มขู่คุกคามพยานแต่อย่างใด

“ปู” ย้ำซื่อสัตย์รับใช้ประชาชน

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ลงเฟซบุ๊กภายหลังศาลฎีกาฯมีคำสั่งประทับฟ้องคดีรับจำนำข้าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ดิฉันทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รับใช้พี่น้องประชาชนตามที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาด้วยอุดมการณ์ที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างครบถ้วนถูกต้อง เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ข้อกฎหมาย ตลอดจนกฎระเบียบข้อบังคับของทางราชการ ต้องการเห็นประเทศชาติเจริญก้าวหน้า ทุกคนมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวไร่ชาวนาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบมาโดยตลอด

ยันจำนำข้าวเป็นฉันทามติ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่า ขอยืนยันอีกครั้งว่าคดีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกที่กล่าวหาดิฉัน ถือเป็นคดีแรกที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำนโยบายเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศ อันเป็นนโยบายที่ประชาชนมอบความไว้วางใจตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยให้ดิฉันมาดำเนินการ และเมื่อมีการเสนอนโยบายดังกล่าวต่อประชาชนและเกิดเป็น “ฉันทามติ” ของประชาชน ที่ต้องการให้ “กลไกตลาด” เป็นธรรม สะท้อนความเป็นจริงและยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนา เพราะที่ผ่านมาชาวนาเป็นผู้ผลิตไม่สามารถกำหนดราคาผลผลิตของตนเองในตลาดได้ การกำหนดราคาตกอยู่ในมือผู้ซื้อโดยสิ้นเชิง คดีนี้จึงเป็นคดีที่จะมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนเกษตรกรและประชาชนอย่างกว้างขวาง ทั้งยังมีผลต่อบรรทัดฐานและการตัดสินใจในการจัดทำนโยบายที่จะช่วยเหลือประชาชนในอนาคต

โอดเร่งรีบผิดปกติ–ไร้นิติธรรม

อดีตนายกฯระบุอีกว่า ขอตั้งข้อสังเกตต่อเรื่องสิทธิในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะ “หลักนิติธรรม” ที่พึงต้องปฏิบัติต่อบุคคลที่ถูกกล่าวหาเพื่ออำนวยความยุติธรรมนั้น ได้ขาดหายไปในคดีที่เกี่ยวกับตัวดิฉัน เห็นได้จากรายงานและสำนวนคดีพร้อมความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ระบุอย่างชัดเจนว่า “ไม่มีพยานหลักฐานว่าดิฉันกระทำการทุจริตหรือสมยอมให้ผู้ใดทุจริต” แต่ก็มีการชี้มูลความผิด และก่อนหน้าที่อัยการสูงสุดจะฟ้องคดี อัยการสูงสุดได้ชี้ข้อไม่สมบูรณ์ของคดีนี้หลายเรื่อง แต่ต่อมาอัยการกลับเร่งรีบที่จะส่งฟ้อง ทั้งที่ยังไม่ได้สืบพยานหลักฐานให้เสร็จสิ้นก่อน แสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นไปตามกระบวนการปกติ ที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา

ขอโอกาสต่อสู้เต็มที่ในชั้นศาล

“แม้ศาลฎีกาฯมีคำสั่งประทับฟ้องคดีนี้ ดิฉันมั่นใจในความบริสุทธิ์และเชื่อมั่นในพยานหลักฐาน ที่จะนำมาพิสูจน์ความจริงต่อศาลว่ามิได้กระทำความผิดใดทั้งสิ้น เพียงหวังว่าการพิจารณาคดีในชั้นศาลฎีกาฯ ดิฉันจะมีสิทธิเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง และมีโอกาสเสนอข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ ที่สำคัญขอให้มีการพิจารณาอย่างถูกต้อง โปร่งใสและ เป็นธรรม ปราศจากอคติใดๆ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาดิฉันเห็นว่ายังไม่ได้รับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมในชั้นที่ถูกกล่าวหา และมีวัตถุประสงค์ทาง การเมืองที่จะทำลายดิฉันเข้ามาแทรกซ้อนโดยตลอด สุดท้ายนี้ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้โปรดยุติการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ หยุดกดดันหรือชี้นำเพื่อประโยชน์ทางการเมือง จนกว่ากระบวนการพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯจะเสร็จสิ้น เพื่อให้ความเป็นธรรมกลับคืนสู่สังคมไทยต่อไป” น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุ

เผย “พี่แม้ว” โทร.ให้กำลังใจตลอด

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า ตั้งแต่ช่วงเช้า น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปทำงานที่ออฟฟิศย่านวิภาวดี โดยช่วงที่ศาลฎีกาฯพิจารณาประทับฟ้องคดีรับจำนำข้าวก็ไม่ได้มีท่าทีรู้สึกตกใจหรือตื่นเต้น โดยคนใกล้ชิดระบุว่าเป็นไปตามคาดการณ์ตั้งแต่ต้น และตลอดระยะเวลาที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องต่อสู้คดีทั้งในขั้นตอนของ ป.ป.ช. สนช. หรือศาลยุติธรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โทรศัพท์มาให้กำลังใจตลอด ส่วนใหญ่จะพูดกันด้วยภาษาเหนือ ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์วางแผนจะตระเวนทำบุญตามวัดต่างๆ ในช่วงเดือนหน้า และจะเดินทางกลับบ้านไปพักผ่อนที่ จ.เชียงใหม่ อยู่เรื่อยๆ เนื่องจากไปแล้ว รู้สึกสบายใจ มีประชาชนให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น


"เอนก ชัยชนะ" ปัดข้อกล่าวหา ไม่เกี่ยวข้องเหตุระเบิดศาลอาญา

"เอนก ชัยชนะ" แจงผ่านสื่อ ยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเหตุการณ์ระเบิดศาลอาญา ปัดรู้จักกลุ่มคนที่ถูกตำรวจควบคุมตัว โวยถูกใส่ร้าย ดึงเข้าไปเชื่อมโยงเหตุการณ์ให้ถูกเกลียดชัง เพราะเป็นกลุ่มเดี่ยวที่ยังเคลื่อนไหวต่อสู้อยู่ หลังนักการเมืองโดนปรับทัศนคติหมดแล้ว

จากกรณีมีการเชื่อมโยงบุคคลที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ระเบิดบริเวณหน้าศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อคืนวันที่ 7 มี.ค. 58 ที่ผ่านมา ว่ามีชื่อของนายเอนก ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั้น

ล่าสุดในช่วงหัวค่ำวันที่ 14 มี.ค.58 ที่ผ่านมา นายเอนก ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน ให้สัมภาษณ์ยืนยันสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว

"เรื่องนี้มั่วมากเลย ผมไม่รู้จักกับบุคคลที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว ผมไม่เคยรู้จักใครเลย และไม่เคยไลน์คุยกับใครทั้งนั้น"

"เหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว ขอปฎิเสธทุกกรณี เพราะมันไม่มีประโยชน์ใดๆเลย ทำไมต้องทำเช่นนี้ด้วย"

นายเอนก ยังระบุด้วยว่า ทำงานในการต่อสู้เพื่อเปิดเผยความจริงอย่างเดียว และไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น

"ชีวิตนี้มีทุกอย่างแล้ว ไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่านี้ แต่อยากเห็นประเทศไทยมีความยุติธรรรม คนในชาติทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย และจะต่อสู้เพื่อความจริงต่อไป"

นายเอนก ยังระบุด้วยว่า เหตุการระเบิดครั้งนี้ เชื่อว่ามีการวางแผนที่แนบเนียน และพยายามโยงมายังคนที่ต่อสู้อยู่ในต่างประเทศ โยงมาที่ตนเพื่อให้สังคมไทยเกลียดชัง ซึ่งขณะนี้มีเฉพาะพวกตนเท่านั้นที่ยังต่อสู้อยู่ เพราะนักการเมืองทุกคนโดนปรับทัศนคติหมดแล้ว

เมื่อถามว่า ประเมินว่ากลุ่มคนที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวอยู่ เป็นคนกลุ่มไหน นายเอนก ตอบว่า "ไม่ทราบเลยไม่เคยเห็น ไม่เคยติดต่อใครเลย คนพวกนี้ทำอาชีพอะไรก็ไม่รู้ ขนาดอ้างที่อยู่ผมไปก็ยังมั่วเลย ว่าอยู่ออสเตรเลีย ผมอยู่ซานฟรานซิโก ชื่อก็บอกแล้วว่า อเนกซานฟราน แต่บอกว่าอยู่ออสเตรเลีย ไม่ทราบว่าใครมั่ว และก็ไม่เคยรู้จักคนชื่อเดียร์ด้วย"

นายเอนก ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟรานฯ พักอาศัยอยู่ที่เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา มายาวนานหลายสิบปี และปรากฎรายชื่อเป็นหนึ่งในผู้ถูกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งเรียกให้มารายงานตัว ในช่วงหลังการยึดอำนาจรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557


"เอนกซานฟราน"ติดโผ ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง

เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่กระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาคดีความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือ คดีความผิดตามมาตรา 112 ว่า ที่ประชุมมีการหารือความคืบหน้าการจัดกลุ่มภารกิจที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) โดยล่าสุดมีการพิจารณาเกี่ยวกับหมายจับผู้ต้องหาที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ มีประเทศที่เกี่ยวข้อง 7-8 ประเทศ เพื่อเดินหน้าขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย จากเดิมมีจำนวน 40 ราย ได้พิจารณาปรับลดเหลือ 30 ราย ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับ และมี 1 รายอยู่ระหว่างการขออนุมัติหมายจับ ทั้งนี้ยืนยันว่าการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวตั้งเป้าได้ตัวกลับมาดำเนินคดี ซึ่งเข้าใจว่าบางประเทศอาจติดขัดข้อกฎหมาย แต่ก็จะพยายามทำความเข้าใจให้มากที่สุด พร้อมย้ำว่าคดีดังกล่าวไม่ใช่คดีหมิ่นประมาท หรือคดีการเมือง แต่เป็นคดีเกี่ยวข้องกับความมั่นคง

รมว.ยุติธรรม กล่าวต่อว่า หลังจากนี้เชื่อว่าการปราบปรามจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากเร็วๆนี้จะมีกฎหมายบังคับให้ต้องลงทะเบียนเบอร์โทรศัพท์ทุกระบบ เพื่อพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้โทรศัพท์ ซึ่งจะส่งผลให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติที่มีข้อมูลภาพรวมความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ สามารถกำหนดเป้าหมายในการปฏิบัติงานได้ชัดเจน ส่วนการติดตามตัว นายมนูญ ชัยชนะ หรือนายเอนก ชัยชนะ (เอนก ซานฟราน) ผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดีปาระเบิดหน้าศาลอาญานั้น นายเอนก มีชื่อเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีความมั่นคง จำนวน 30 คนที่จะประสานความร่วมมือกับต่างประเทศในการขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน

ศาลสั่งประหารลูกชายคนเล็ก จ้างฆ่าพ่อแม่พี่ชายทั้งตระกูล

ศาลอาญาธนบุรี พิพากษาให้ประหารชีวิต ลูกชายคนเล็กสั่งฆ่ายกครัว 'หอมชง' ส่วนเพื่อนชายคนสนิท พร้อม ทีมงานมือปืนผู้ปลิดชีพยกครัว ให้จำคุกตลอดชีวิต...

จากกรณีคดี นายกิตตินันท์ หอมชง และ นายศักรินทร์ พันธ์กุล กับพวกรวม 5 คน ที่ร่วมกันจ้างวานฆ่า และร่วมฆ่า พ.อ.วิชัย หอมชง นายทหารเกษียณอายุราชการ วัย 63 ปี นางวนิดา หอมชง ครูโรงเรียนราชวินิตประถม บางแค วัย 57 ปี และ ร.ต.ท.ธนัตถ์พง หรือ ธรรมณัฐ หอมชง พนักงานสอบสวน สน.ตลิ่งชัน วัย 24 ปี ในบ้านพักย่านบางแค เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 เม.ย.57 นั้น

ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 20 มี.ค.58 มีรายงานว่า ศาลอาญาธนบุรี พิพากษาให้ประหารชีวิต นายกิตตินันท์ ลูกชายคนเล็ก ผู้จ้างวานฆ่าพ่อแม่และพี่ชาย ส่วน นายศักรินทร์ เพื่อนคนสนิท กับ นายฉลาด หรืออาจารย์ป๊อด เที่ยงธรรม อายุ 53 ปี คนขับรถแท็กซี่คอยรับส่งมือปืน และนายสุระพงษ์ หรือจ่าแอ๊ด ชูพันธ์ อายุ 47 ปี มือปืนที่คอยระวังหลังให้กับมือปืนอีกราย และนายสิริชัย หรือป้อม เพิ่มพูนศักดิ์ มือปืนผู้ลงมือ ให้จำคุกตลอดชีวิต

ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเป็นข่าวโด่งดัง เมื่อเดือนเม.ย. 2557 ที่มีคนร้ายบุกเข้าไปยิงผู้เสียชีวิต ตระกูลหอมชง แบบยกครัวรวม 3 ศพ คาบ้านพักย่านบางแค ก่อนที่ตำรวจสืบทราบว่า นายกิตตินันท์ บุตรชายคนเล็กของครอบครัว เป็นผู้จ้างวานฆ่า ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขอออกหมายจับ และติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้ยกแก๊งรวม 5 คน.