ข่าว
ศึกษาพบ ‘ภูมิคุ้มกัน’ ต้านโควิด-19 อาจอยู่เป็นปีถึงตลอดชีวิต ยิ่งได้วัคซีนยิ่งดี

28 พฤษภาคม 2564 หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ของสหรัฐฯ รายงานผลการศึกษาสองฉบับใหม่ ระบุว่าภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) จะคงอยู่อย่างน้อย 1 ปี หรืออาจจะตลอดชีวิต และจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปโดยเฉพาะหลังฉีดวัคซีน โดยผลการศึกษาดังกล่าวอาจ “ช่วยคลายความกังวลของผู้คนที่มองว่าภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 อาจอยู่ได้ไม่นาน”

การศึกษาเผยว่าคนที่หายป่วยจากโรคโควิด-19 และร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันแล้วส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน ส่วนผู้ฉีดวัคซีนที่ไม่เคยป่วยโรคโควิด-19 และคนส่วนน้อยที่มีประวัติติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แต่ร่างกายไม่สร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันเป็นกลุ่มที่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน

รายงานสองฉบับ ทำการศึกษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ราวหนึ่งปีก่อนหน้า โดยการศึกษาฉบับหนึ่งที่เผยแพร่ในวารสารเนเจอร์ (Nature) สัปดาห์นี้พบเซลล์ที่เก็บความทรงจำของไวรัสชนิดดังกล่าวยังคงอยู่ในไขกระดูกและอาจสร้างแอนติบอดีออกมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

การศึกษาอีกฉบับที่เผยแพร่บนไบโออาร์ไคฟ์ (BioRxiv) คลังเอกสารวิชาการด้านชีววิทยาแบบเปิด พบเซลล์บีที่ทำหน้าที่เก็บความจำจำเพาะ (memory B cells) ยังคงเติบโตและทวีความแข็งแรงเป็นเวลาอย่างน้อย 12 เดือน หลังจากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ครั้งแรก

“เอกสารดังกล่าวสอดคล้องกับเนื้อหาที่ชี้ว่าภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ดูเหมือนจะมีอายุยืนยาว” สก็อตต์ เฮนสลีย์ นักภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียระบุ

“การศึกษาทั้งสองฉบับอาจบรรเทาความกลัวว่าภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ก่อโรค โควิด-19 และไวรัสโคโรนาชนิดก่อโรคหวัดธรรมดาจะอยู่ได้ไม่นาน” หนังสือพิมพ์ฯ รายงาน

เฮนสลีย์กล่าวว่าเชื้อไวรัสเหล่านี้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทุก 2-3 ปี และ “สาเหตุที่เราติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่พบบ่อยซ้ำไปซ้ำมาตลอดชีวิตอาจเชื่อมโยงกับการกลายพันธุ์ของตัวไวรัสมากกว่าการสร้างภูมิคุ้มกัน”

ขอบคุณ : ซินหัวไทย

สหรัฐฯ ส่งมอบ 2 ทับหลัง ให้ไทยเป็นทางการแล้ว จัดพิธีบวงสรวงกลับคืนมาตุภูมิ

เมื่อวันอังคารที่ 25 พ.ค. 2564 นายมังกร ประทุมแก้ว กงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย รับมอบ 2 ทับหลังจากผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการแล้ว จัดพิธีบวงสรวงอธิษฐานจิตส่งกลับมาตุภูมิ และจัดส่งถึงประเทศไทย วันที่ 28 พ.ค. เวลา 22.00 น.

ทางการสหรัฐอเมริกาทำพิธีส่งมอบคืนโบราณวัตถุทับหลังปราสาทหนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ และทับหลังปราสาทเขาโล้น จ.สระแก้ว อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2564 ตามเวลาท้องถิ่น ช้ากว่าประเทศไทย 13 ชั่วโมง โดยเจ้าหน้าที่สำนักงานสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ เป็นผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งมอบให้ฝ่ายไทยที่สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย

พิธีส่งมอบมีนายมนัสวี ศรีโสดาพล เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นประธานสักขีพยาน นายฟาบิโอ จินดา กงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก นายพิษณุ โสภณ กงสุลใหญ่ ณ นครชิคาโก และนายมังกร ประทุมแก้ว กงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ร่วมในพิธี จากนั้นผู้แทนฝ่ายสหรัฐฯ และนายมังกร ประทุมแก้ว กงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ผู้แทนรัฐบาลไทย ได้ลงนามในเอกสารส่งมอบและรับมอบ ท่ามกลางความดีใจของข้าราชการไทยและสื่อมวลชนไทยที่ร่วมพิธี

หลังจากพิธีรับมอบแล้ว ทางสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ได้จัดพิธีบวงสรวงเทพยดาตามคติพราหมณ์ฮินดู อธิษฐานจิตร่วมส่งทับหลังทั้ง 2 กลับคืนสูมาตุภูมิ โดยมีนายมานัสวี ศรีโสดาพล เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นประธานในพิธี พร้อมกันนี้คณะเจ้าหน้าที่สำนักงานสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ที่มาร่วมส่งมอบทับหลัง และข้าราชการไทยได้ร่วมพิธีบวงสรวง จุดธูป และโปรยดอกไม้ที่ทับหลังทั้งสองด้วย

ส่วนทับหลังทั้ง 2 นี้ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส จะจัดส่งกลับคืนถึงประเทศไทย วันที่ 28 พ.ค. 2564 เวลา 22.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย ขณะที่ทางกรมศิลปากรได้ประสานด้านกระบวนการศุลกากรไว้แล้ว จะสามารถนำออกจากท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ในวันที่ 31 พ.ค. เพื่อนำไปเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบโบราณวัตถุที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ


แรงกดดันรัฐบาลเผด็จการระลอกใหม่ ธุรกิจเอกชนต่างชาติคว่ำบาตรพม่า

28 พ.ค. 2564 : บริษัทขนส่งแก๊ส เมาะตะมะ ของพม่าประกาศว่าได้ยุติการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการตอบโต้การรัฐประหารและการปราบปรามผู้ประท้วงในพม่าที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ นับถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2021 มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 828 ราย อีก 5,441 คนถูกจับกุมคุมขัง และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเมื่อไร

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของยักษ์ใหญ่วงการปิโตรเลียม ไม่เพียงแต่ทำให้บรรดานายพลที่คุมอำนาจอยู่ในพม่าขาดรายได้ แต่บริษัทต่างประเทศที่ทำธุรกิจกับกองทัพพม่าเกิดคำถามสำคัญในทางศีลธรรมว่าจะดำเนินการอย่างไรกับวิกฤติการเมืองในประเทศที่ทหารปกครองอย่างพม่า

คว่ำบาตรพม่าก็เสียประโยชน์ทางธุรกิจ แต่ครั้นดำเนินงานต่อไปตามปกติ ก็ดูจะกลายเป็นบริษัทที่ไร้ รับความผิดชอบ หากินบนหยดเลือดและหยาดน้ำตาของชาวพม่าอย่างไม่ละอาย

การตัดสินใจของบริษัทขนส่งแก๊สเมาะตะมะ มีผลทำให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทอันได้แก่ Total แห่งฝรั่งเศส (31.24 เปอร์เซ็นต์) Chevron ของสหรัฐฯ (28.26 เปอร์เซ็นต์) บริษัทผลิตและสำรวจปิโตรเลียม (ปตท. สผ.) ของไทย (25.5 เปอร์เซ็นต์) และที่สำคัญ Myanmar Oil and Gas Enterprise ซึ่งเป็นรัฐวิหาสกิจพม่า (15 เปอร์เซ็นต์) จะไม่ได้รับเงินปันผลตามสัดส่วนที่ควรจะได้

ทั้งนี้ เป็นไปตามข้อเสนอร่วมของผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 รายคือ Total และ Chevron เพื่อเป็นการคว่ำบาตรรรัฐบาลทหารพม่าตามแนวทางของสหภาพยุโรป และรัฐบาลสหรัฐฯ ส่วน ปตท. ของไทยพลอยติดร่างแหไปด้วย แม้ว่าไม่เคยแสดงท่าทีชัดเจนนักเกี่ยวกับสถานการณ์ในพม่าก็ตาม

และประเทศไทยซึ่งซื้อแก๊สที่ส่งผ่านท่อของบริษัทเมาะตะมะ จะยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เพราะ Total ผู้ผลิตแก๊สในแหล่งยาดานา ในอ่าวเมาะตะมะของพม่า รับประกันว่าจะยังผลิตแก๊สส่งให้ไทยต่อไป

บริษัทเมาะตะมะขนส่งแก๊สไม่ได้ประกาศว่า รัฐวิสาหกิจพม่าจะขาดรายได้จากเงินปันผลไปเท่าใด แต่ตัวเลขล่าสุดที่เปิดเผยกันออกมา บริษัทนี้จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น 872.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐระหว่างปี 2017-2019 ถ้าคำนวณตามสัดส่วนการถือหุ้นบริษัท Myanmar Oil and Gas ควรจะได้รับปันผลประมาณ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเฉลี่ยปีละ 43.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากผลประกอบการไม่ผันผวนจนเกินไป แปลว่าปีนี้รัฐบาลทหารพม่าน่าจะขาดรายได้ไปด้วยตัวเลขใกล้เคียงกัน

ความจริงมีบริษัทต่างประเทศจำนวนมากที่ประกาศชะลอ หรือยุติการดำเนินธุรกิจกับวิสาหกิจของทหารและรัฐบาลพม่า นับแต่มีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์

รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติพม่า ซึ่งเป็นการรวมตัวของนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2020 ก็ประกาศให้บริษัทต่างๆ ยุติการดำเนินธุรกิจร่วมกับรัฐบาลหรือกองทัพพม่า และให้เสียภาษีกับรัฐบาลเงา นายแพทย์ซาซา รัฐมนตรีกระทรวงความร่วมมือสากลและโฆษกรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ประกาศว่า เมื่อรัฐบาลนี้เปิดบัญชีธนาคารในประเทศไทยแล้ว ให้บรรดาบริษัทเอกชนทั้งหลายโอนเงินภาษีเข้าบัญชีนี้ เพื่อรัฐบาลเงาจะนำไปใช้จ่ายในการช่วยเหลือประชาชนที่โดนกองทัพพม่าข่มเหงรังแกต่อไป

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทเอกชนจะตัดสินใจได้ง่ายกว่าภาครัฐในการแสดงจุดยืนต่อการรัฐประหารของพม่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดำเนินการได้ง่ายๆ เหมือนดีดนิ้วมือ เช่น บริษัท Kirin ของญี่ปุ่นที่ประกาศก่อนใครเพื่อนว่าจะยุติธุรกิจกับกองทัพ แต่อาจต้องใช้เวลาเป็นปีในการเจรจาซื้อหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์จากบริษัท Myanmar Economic Holdings ของกองทัพพม่า เพื่อดำเนินธุรกิจในพม่าต่อไปฝ่ายเดียว แต่ถ้า Myanmar Economic ไม่ยอมขาย Kirin อาจต้องตัดสินใจทิ้งหุ้นทั้งหมด และถอนตัวจากพม่า ซึ่งไม่เพียงทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ แต่อาจโดนเบี้ยปรับเพราะผิดสัญญาได้

รายงานของหอการค้ายุโรปในพม่าให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า การถอนธุรกิจจากพม่าอาจไม่ได้ส่งผลร้ายต่อรัฐบาลทหารมากเท่ากับประชาชนทั่วไป

อุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นตัวอย่างที่ดี การส่งออกสิ่งทอของพม่าเติบโตอย่างมากในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา จากมูลค่า 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2012 เป็น 4,600 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 หรือโตมากกว่า 500 เท่า

ก่อนสถานการณ์โควิด-19 อุตสาหกรรมนี้จ้างงานในพม่ากว่า 700,000 ตำแหน่ง ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจสิ่งทอในพม่าดำเนินการโดยนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด มีแค่ 2-3 บริษัทเท่านั้นที่ทำธุรกิจกับกองทัพ จึงอาจกล่าวได้ว่า ผลกำไรของธุรกิจนี้ไปตกอยู่ในมือนายพลพม่าน้อยมาก

ดังนั้น หากต้องยุติการลงทุนในพม่า หรืองดการส่งออกเพื่อเป็นการลงโทษรัฐบาลทหาร น่ากลัวว่าคนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือคนงาน (ส่วนใหญ่เป็นหญิง) ไม่ใช่พวกนายพลทั้งหลาย ที่ดูเหมือนจะมีความเป็นอยู่สุขสบายกันถ้วนหน้าอยู่แล้ว โดยไม่ต้องพึ่งโรงทอ

ในขณะที่รัฐบาลทหารพม่าก็กดดันบริษัททั้งภายในและต่างชาติให้ดำเนินธุรกิจต่อไป หรือบังคับให้พนักงานที่ผละงานเข้าร่วมการประท้วงกลับเข้าทำงานเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้ ทั้งยังคุยว่ามีการอนุมัติโครงการลงทุนใหม่ๆ อีกมาก ทำให้บริษัทจากหลายประเทศ ยังลังเลอยู่ว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อสถานการณ์ในพม่า ส่วนใหญ่ได้แต่รอดู แต่ยากที่จะบอกว่าการตัดสินใจของพวกเขาต้องแขวนอยู่ในสภาพนี้อีกนานเท่าใด


สุดระทึก คลิปหลุด เผยเรือรบสหรัฐฯโดน ฝูง UFO บินรุมนอกชายฝั่งสหรัฐฯ

28 พ.ค.64 เว็บไซต์เดอะ ซัน เผยมีคลิปวิดีโอสุดระทึกอีกคลิปหลุดออกมาเผยแพร่ออกมาทางสาธารณะบนโลกออนไลน์อีกคลิป แสดงให้เห็นจอเรดาร์บนเรือรบสหรัฐฯ “ยูเอสเอส โอมาฮา” ตรวจจับได้ว่ากำลังถูกรุมโดยฝูงวัตถุบินที่ไม่อาจระบุอัตลักษณ์ได้ว่าเป็นอะไร (UFO) เมื่อปี 2562 โดยฝูง UFO เหล่านี้มีรูปร่างทรงกลม จำนวนถึง 14 ลำ บินด้วยความเร็วสูงถึง 160 ไมล์ต่อชั่วโมง

คลิปวิดีโอล่าสุดนี้เผยแพร่โดย เจเรมีย์ คอร์เบลล์ นักผลิตภาพยนตร์สารคดี ชาวอเมริกัน ที่สนใจเรื่องยูเอฟโอ โดยจากคลิปแสดงให้เห็นว่าจอเรดาร์บนเรือยูเอสเอส โอมาฮา ได้ตรวจจับพบฝูงวัตถุบินได้ กำลังบินรุมเรืออยู่ จนได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ทหารเรือกล่าวถึงสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความตึงเครียด

คอร์เบลล์ อธิบายว่า เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 เรือยูเอสเอส โอมาฮา ได้แล่นออกนอกชายฝั่งเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐฯ ตั้งแต่เวลา 21.00-23.00 น.และจบท้ายด้วยการพบ UFO บินฉวัดเฉวียน ก่อนดำดิ่งสู่ใต้ทะเล จากนั้น ไม่มีการพบซากวัตถุบินได้ที่บริเวณนั้นแต่อย่างใด หลังจากเรือดำน้ำาสหรัฐฯ ลำหนึ่งได้ปฏิบัติการค้นหาซากวัตถุบินลำนี้ เพื่อต้องการนำมาตรวจสอบพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อไป

ทั้งนี้ ไม่กี่วันที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพิ่งออกมายืนยันว่าคลิปวิดีโอใหม่ที่หลุดออกมาสู่สาธารณะ บันทึกภาพเหตุการณ์ระทึก เจ้าหน้าที่บนเรือยูเอสเอส โอมาฮา พบ UFO รูปร่างทรงกลม สีดำ กำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่ใกล้เรือ ก่อนจะดำลงใต้ทะเล นอกชายฝั่งเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐฯ เมื่อสองปีก่อนนั้น ป็นคลิปจริง และคลิปนี้ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะโดยเจเรมีย์ คอร์เบลล์ เช่นกัน

CR ภาพ : คลิป Instagram


พบโควิด-19 สายพันธุ์ไทย โผล่ในอังกฤษ อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค

พบโควิด-19 สายพันธุ์ไทย VUI-21MAY-02 (C.36.3) โผล่ในอังกฤษ 109 ราย อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค ด้าน “หมอธี” ระบุยังไม่ถึงขั้นเป็นสายพันธุ์ที่น่าวิตกกังวล เหมือนอินเดีย แอฟริกา

สำนักงานสาธารณสุขของอังกฤษ (Public Health England - PHE) แถลงเมื่อวันที่ 27 พ.ค. ว่า พบเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ ชนิดใหม่ที่มาจากประเทศไทยในอังกฤษ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยตั้งชื่อให้ว่า VUI-21MAY-02 (C.36.3)

ทั้งนี้ ยังระบุว่า สายพันธุ์ C.36.3 นี้ ถูกพบครั้งแรกในประเทศไทย ในผู้เดินทางมาจากอียิปต์ ขณะนี้พบในอังกฤษแล้ว 109 ราย ซึ่ง VUI เป็นตัวย่อของศัพท์ทางวิชาการว่า Variant Under Investigation หรือ สายพันธุ์ที่อยู่ระหว่างการสอบสวน ขณะที่ยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าสายพันธุ์นี้ทำให้โรคนี้มีอาการรุนแรงขึ้น หรือ ทำให้วัคซีนที่ใช้การอยู่ลดประสิทธิภาพลง โดยกำลังทำการทดสอบในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบของการกลายพันธุ์ที่มีต่อพฤติกรรมของไวรัสได้ดีขึ้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โพสต์ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก ระบุว่า สายพันธุ์ไทยผ่านอียิปต์ เลื่อนฐานะเป็น สายพันธุ์ที่น่าสนใจ (varinat under interest) แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นสายพันธุ์ที่น่าวิตกกังวล (variant of concern) อย่างสายพันธุ์อังกฤษ อินเดีย แอฟริกา

จากข้อแถลงของ Public Health England ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของการเปลี่ยนแปลงของไวรัส โควิด C.36.3 variant พบในประเทศไทยตั้งแต่แรกจากนักท่องเที่ยวชาวอียิปต์ และในประเทศอังกฤษเองพบว่าสายพันธุ์ใหม่ของไทยนี้ ตรวจพบใน 109 ราย ปะปนกับ สายอังกฤษ และอินเดียที่เพิ่มมากขึ้น


เกาหลีเหนือ “ยิงเป้า” ชายขายซีรีส์-เพลงเคพ็อพ หนำซ้ำส่งลูกเมียเข้าคุกแรงงาน

เกาหลีเหนือ “ยิงเป้า”” – วันที่ 28 พ.ค. มิร์เรอร์ รายงานจากแหล่งข่าวว่า ทางการเกาหลีเหนือประหารชีวิตชายสกุล อี (Lee) ด้วยการยิงเป้าต่อหน้าผู้คนมากกว่า 500 คน หลังถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาจำหน่ายเพลงและภาพยนตร์จากเกาหลีใต้ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายในเกาหลีเหนือ

รายงานระบุว่านายอีซึ่งทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมประจำคณะกรรมการบริหารการเพาะปลูกในเมืองวอนซัน จังหวัดคังวอน ถูกประหารชีวิตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 พ.ค. ที่ผ่านมา

ภายหลังลูกสาวของผู้อำนวยการฝ่ายจับได้ว่านายอีลักลอบขายซีดีและยูเอสบีที่เต็มไปด้วยสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้ ทั้งละครชีรีส์ ภาพยนตร์ และเพลงเคพ็อพ โดยนายอีรับสารภาพในเวลาต่อมาว่าขายราคา 5,500 วอน-13,300 วอน (ราว 155-625 บาท)

“นี่เป็นการประหารชีวิตครั้งแรกในจังหวัดคังวอนสำหรับผู้ต้องหาที่กระทำผิดฐานต่อต้านแนวคิดอนุรักษนิยม ภายใต้กฎหมายอนุรักษนิยม” ทางการเกาหลีเหนือระบุถึงการประหารชีวิตนายอี และว่าในอดีตคนแบบนายอีจะถูกส่งไปค่ายกักกันใช้แรงงานหรือค่ายปรับทัศนคติ

“เป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่คุณคิดว่าจะได้รับโทษสถานเบา พฤติกรรมต่อต้านดังกล่าวส่งเสริมผู้ที่พยายามทำลายระบบสังคมนิยมของเรา ผู้ต่อต้านไม่ควรได้รับอนุญาตให้อยู่โดยปราศจากความกลัวในสังคมของเรา” ทางการระบุ

ด้านเดลีเอ็นเคระบุว่า ครอบครัวของนายอีถูกบังคับให้ยืนดูการประหารอันโหดเหี้ยมด้วยการยิงเป้า 12 นัดใส่นายอี และทันทีที่มีเสียงกระหน่ำยิง ภรรยา พร้อมลูกชายและลูกสาวของนายอีก็เป็นลมล้มพับลง ไปนอนกองกับพื้น จากนั้นเจ้าหน้าที่กระทรวงกิจการภายในก็พาตัวครอบครัวนายอีขึ้นรถตู้เพื่อนำตัวไปยังค่ายแรงงาน

ขณะที่เพื่อนบ้านของนายอีหลายคนพากันร้องไห้เสียใจต่อชะตากรรมของครอบครัวอี แต่ก็ไม่มีใครกล้าหือหรือขัดขวางเพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษไปด้วย นอกจากนี้ ทางการยังเร่งสอบสวนและตามล่าคนที่ซื้อสินค้าผิดกฎหมายจากนายอี โดยเบื้องต้นจับกุมผู้ต้องสงสัยได้อีก 20 คน และทั้งหมดจะถูกสอบสวนดำเนินคดี

หญิง 'สหรัฐ' ผู้โชคดีคนแรก รับเงิน 31 ล้านบาทจากลอตเตอรี่ให้ผู้ฉีดวัคซีน

28 พฤษภาคม 2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน หญิงชาวรัฐโอไฮโอทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ กลายเป็นผู้โชคดีคนแรกที่ได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 31.2 ล้านบาท) จากโครงการแว็กซ์-อะ-มิลเลียน (Vax-a-Million) ซึ่งแจกลอตเตอรี่ลุ้นรางวัลใหญ่ให้แก่ประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีน

รัฐโอไฮโอประกาศเมื่อช่วงค่ำวันพุธตามเวลาท้องถิ่นว่า แอบบิเกล เบอเกนสกี ชาวเมืองซิลเวอร์ตัน ที่ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองซินซินเนติ กลายเป็นผู้โชคดีได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่โจเซฟ คอสเตลโล ชาวเมืองแองเกิลวูดที่ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเดย์ตัน ได้รับรางวัลทุนการศึกษาระดับวิทยาลัย นายไมค์ ดีไวน์ ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ กล่าวว่า รัฐโอไฮโอรู้สึกตื่นเต้นที่รางวัลดังกล่าวทำให้ชาวรัฐโอไฮโอหลายคนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และรู้สึกใจเต้นที่ได้ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลรอบแรก ชาวรัฐโอไฮโอวัยผู้ใหญ่กว่า 2.7 ล้านคน ลงทะเบียนลุ้นเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีเด็กอายุ 12-17 ปี กว่า 104,000 คน เข้าร่วมลุ้นรางวัลทุนการศึกษาระดับวิทยาลัย ซึ่งครอบคลุมไปถึงค่าเล่าเรียน ค่าห้องพัก ค่าอาหาร และค่าหนังสือ โดยยังเหลือการประกาศรายชื่อผู้ได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทุนการศึกษาอีก 4 ครั้ง ในทุกวันพุธของอีก 4 สัปดาห์ต่อจากนี้

จากการวิเคราะห์ของสำนักข่าวเอพี พบว่า โครงการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะได้ผลดี อย่างน้อยก็ในช่วงแรก เนื่องจากรัฐโอไฮโอมีตัวเลขประชาชนอายุ 16 ปี ขึ้นไปที่เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มแรกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 33 ในสัปดาห์ที่ทางการรัฐประกาศแจกลอตเตอรี่ลุ้นเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับพบว่าอัตราการฉีดวัคซีนดังกล่าวยังคงต่ำกว่าตัวเลขในเดือนเมษายนและมีนาคม ทั้งนี้ รัฐโอไฮโอได้ฉีดวัคซีนนให้แก่ประชาชนกว่า 5.2 ล้านคน นับถึงวันจันทร์ที่ผ่านมา