ข่าว
ไอซิสโหด! ประหาร อดีตแชมป์มวยไทย

สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนัก รายงานอ้างการเปิดเผยของ กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนในซีเรีย (เอสโอเอชอาร์) ว่า นาย วัลเด็ต เอ็นเวอร์ กาชิ นักมวยไทยชาวเยอรมันเชื้อสายแอลแบเนีย-โคโซโว อายุ 29 ปี ผู้เป็นแชมป์โลกมวยไทย 2 สมัย ซึ่งเคยมาฝึกฝนและชกมวยไทยในประเทศไทยหลายปี ถูกกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอซิส) ลงมือประหารชีวิตแล้ว ฐานคิดหลบหนีออกจากที่มั่นของพวกเขาในซีเรีย

วัลเด็ต กาชิ หรือที่แฟนมวยชาวไทยอาจรู้จักในชื่อ วรเดช เกิดที่ประเทศโคโซโวเมื่อปี 1986 ก่อนอพยพเข้าสู่เยอรมนีเมื่ออายุ 6 ขวบ และเริ่มฝึกฝนมวยไทย ต่อมาได้เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อฝึกฝนทักษะและเข้าฝึกที่ค่าย 'อีลิต ไฟต์ คลับ' บ่อยครั้ง เขายังมีสถิติร่วมการแข่งขันมวยไทยถึง 106 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 4 ปีครึ่งที่อยู่ในประเทศไทย

นายกาชิเทิร์นโปรเป็นนักชกอาชีพในปี 2009 แต่พ่ายน็อกในการชกเปิดตัว แต่ในไฟต์ต่อมาเขาเอาชนะ ชายน้อย สุขสัมฤทธิ์ นักชกชายไทยไปได้ ก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาจะได้แชมป์โลกมวยไทยรุ่นไลท์เวต 2 สมัย นอกจากนี้ยังได้แชมป์สหภาพคาราเต้และคิกบ็อกซิ่งโลก (WKU) รุ่น 70 กก. เมื่อปี 2014, แชมป์ ไอเอสเคเอ เค-1 (ISKA) รวมทั้ง แชมป์คิกบ็อกซิ่งสหภาพยุโรป (EUC) ของสหพันธ์คิกบ็อกซิ่งโลก (WKF)

นายกาชิเข้าร่วมกลุ่มไอซิสเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โดยบอกกับภรรยาซึ่งเป็นอดีตนางแบบชาวไทยและลูกสาว 2 คน ซึ่งอาศัยอยู่ในเยอรมนีว่า เขาจะเดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์ ตามด้วยประเทศไทย โดยเขาอัพเดตสถานะของเขาบนเฟซบุ๊กตลอด และตั้งแต่เดือน พ.ค. เขาก็เริ่มโพสต์ภาพตัวเขาในประเทศไทย ก่อนที่จะมีการเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า เขาไม่ได้เดินทางไปประเทศไทย แต่เขากับนักมวยไทยวัยรุ่น 4 คน อายุระหว่าง 16-20 ปี จากค่ายมวยไทยของเขาในเมือง วินเทอร์ตูร์ ของสวิตเซอร์แลนด์ เดินทางไปซีเรียเพื่อเข้าร่วมกับกลุ่มไอซิส

วัลเด็ต กาชิ ถ่ายรูปคู่กับเข็มขัดแชมป์มากมาย (ภาพ: telegraph)

เขาเปิดเผยในการให้สัมภาษณ์นาน 90 นาที แก่สถานีวิทยุ 'เอสอาร์เอฟ' ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อกลางเดือน มิ.ย. ว่า เขาเข้าใจแนวความคิดของกลุ่มไอซิส และบอกด้วยว่า เขาต้องการทำอะไรบางอย่างที่เป็นเรื่องดี และตายในขณะที่ทำสิ่งนั้น ขณะที่มีรายงานในภายหลังว่า เขาได้รับมอบหมายให้ลาดตระเวนในเมืองมันบิจและแถบแม่น้ำยูเฟรตีส ใกล้ชายแดนซีเรีย-ตุรกี เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลักลอบค้าบุหรี่, สุรา และยาเสพติด ซึ่งเป็นของต้องห้ามในดินแดนของไอซิส

แต่เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา เอสอาร์เอฟ ก็ไม่สามารถติดต่อกับนายกาชิได้อีก ขณะที่น้องชายของนายกาชิออกมายืนยันเมื่อ 4 ก.ค. ว่า พี่ชายของเขาเสียชีวิตแล้วแต่ไม่เปิดเผยสาเหตุการตาย จากนั้นสื่อต่างๆก็เริ่มรายงานเรื่องการเสียชีวิตของนายกาชิไปต่างๆ นานา ก่อนที่เอสโอเอชอาร์ จะออกมาโต้แย้งรายงานเหล่านั้นและระบุว่า นายกาชิถูกไอซิสประหารด้วยวิธีการที่ยังไม่เปิดเผย ระหว่างพยายามหลบหนีออกจากฐานที่มั่นของกลุ่มไอซิส ทางเหนือของเมืองอเลปโป ก่อนที่เขาจะถูกจับตัวกลับไปที่เมืองมันบิจ

เอสโอเอชอาร์ระบุว่า ข้อมูลนี้มาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ โดยนายกาชิคิดหลบหนีเพราะรู้สึกตกใจกับความโหดร้ายของกลุ่มไอซิสที่เขาได้เห็นกับตา

เชียร์‘บิ๊กตู่’ดึง‘ปชป.-พท.’ ปรองดองร่วมครม.ทีมศก

24ก.ค.2558นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ กรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงหลีกเลี่ยงการปรับครม.ไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะกระทรวงด้านเศรษฐกิจ อยากได้คนจากภาคเอกชน และจากพรรคการเมืองใหญ่ ทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ เข้ามาร่วมครม. แต่จากที่มีโผรายการชื่อบุคคลที่จะเข้ามาเป็นรมต.ดูแล้วเหมือนจะมาปะผุ ไม่ได้ปรับครม.เพื่อช่วยชาติอย่างแท้จริง เพราะการปรับครม.คือการหาคนมาช่วยชาติ ไม่ใช่ดึงมือสมัครเล่นเข้ามา แล้วรักษาพวกพ้องที่เป็นทหารไว้ ดังนั้นจึงควรเชิญผู้มีความรู้ความสามารถ และมีความชำนาญในแต่ละด้านมาร่วมที่มีชื่อชั้น ระดับ นายศุภชัย พานิชภักดิ์ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นต้น

“การปรับครม.ต้องตอบโจทก์เรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการสร้างความปรองดองให้ได้ เพราะหากแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ก็จะกระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนมองว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการที่มีอำนาจเต็ม แต่ไม่มีน้ำยาแก้ปัญหาปากท้องประชาชนได้” นายอดุลย์ กล่าว

ส่วนข้อเสนอที่จะให้นิรโทษกรรมผู้ชุมนุมเพื่อนำไปสู่ความปรองดองนั้น นายอดุลย์ กล่าวว่า มีเสียงตอบรับเป็นอย่างดีโดยเฉพาะจากแกนนำกลุ่มการเมืองทั้ง 2 ฝ่ายคือ กลุ่มนปช.และกลุ่มกปปส. แสดงว่าสังคมไทยตกผลึกเรื่องนิรโทษต้นซอยแล้ว เหลือเพียงรัฐบาลโดยฝ่ายความมั่นคง จะตัดสินใจเมื่อไหร่เท่านั้นเอง แต่หากไม่รีบตัดสินใจก็เป็นห่วงว่าจะสายเกินไปหรือไม่ เพราะหลายฝ่ายมองว่า1ปีที่ผ่านมาคสช.ยังไม่ทำอะไรเรื่องปรองดองนอกจากสั่งให้คนหยุดพุดหยุดเคลื่อนไหว ยืนยันว่าการนิรโทษกรรมแบบต้นซอยจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความปรองดองอย่างแท้จริง เพราะจะทำให้ประชนทุกฝ่าย รู้จักการให้อภัย ลดอคติ หมดความบาดหมางต่อกัน ได้รับความยุติธรรม ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ เกิดความแตกแยก ก็จะกลับมา


นายกฯ รับ คิดปรับครม. เชื่อ คนถูกปรับเข้าใจดี

วันที่ 24 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าว ถึงความชัดเจนในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยล่าสุดผลสำรวจของกรุงเทพโพลล์ระบุ ว่า ควรมีการปรับ ครม. ว่า "ก็มีข่าวปรับทุกวัน" เมื่อถามย้ำว่า จะมีการปรับจริงใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "กำลังคิดอยู่ คือ ก็ไม่อยากให้มีผลกระทบ แต่ถ้าปรับก็คือปรับ ไม่ปรับก็คือไม่ปรับ ถ้าพูดทุกวันก็ทำให้ทุกอย่างแย่ไปหมด เศรษฐกิจ ความมั่นคงก็แย่ เกิดความขัดแย้ง

"พอปรับเสร็จ สื่อฯก็บอกว่านี่คือความขัดแย้ง บอกว่าผมไม่สนใจไม่ฟังเสียงประชาชน เอ๊ะ! จะเอาอย่างไรกัน ถามหลายครั้งจะปรับใครล่ะ บอกมาซิ ชื่ออะไรเสนอมา จะให้ปรับใครบ้าง บอกมา" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวระบุว่า ผลสำรวจส่วนใหญ่ต้องการให้มีการปรับในกระทรวงเศรษฐกิจ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "หรา ..เขาทำผิดอะไรผิดบ้างบอกมาซิ สิ่งไหนที่เขาทำวันนี้มันไม่ดีตรงไหน หรือ ดีตรงไหน ทำให้เศรษฐกิจเลวลงหรืออย่างไร เลวลงเพราะเขาทำ เพราะผมทำ หรือมันเพราะเศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจข้างล่าง ความผิดความถูกการกระทำ ธุรกิจที่ผ่านมา มองให้ครบทุกมิติด้วย เอาล่ะถ้ามองแง่ของความไว้วางใจความน่าเชื่อถือก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นสังคมต้องมองให้ออกว่า ถ้าเผื่อปรับไปแล้วไม่ดีขึ้นกว่าเดิมจะโทษใครอีก โทษผมมั้ง ปรับผมออกใช่หรือเปล่า อย่าเพิ่งไปให้ความสำคัญมากนักเดี๋ยวผมจัดการของผมเอง"

เมื่อถามว่า เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อมจะทำให้เร็วขึ้นหรือไม่ ในการปรับ ครม. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "กระเพื่อมอะไร แล้วในความคิดของสื่อฯมีความคิดเห็นอย่างไร มันแย่ลงมากไหม แล้วจะเอาใครมาเป็น เสนอใส่กระดาษมาให้ผม เขียนส่งมาเดี๋ยวผมจะดูให้ วันนี้หนังสือพิมพ์ก็มี 2 ขาตลอด เชียร์คนนี้เชียร์คนโน้น ก็มาตั้งเสียเองก็แล้วกัน" ผู้สื่อข่าวถาม มองทำไมข่าวปรับ ครม. จึงเกิดในช่วงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มันต้องดูว่า เป็นข้อเท็จจริงหรือเปล่า มันเป็นอย่างนี้เขาไม่เข้าใจหรือไม่ ใจร้อนหรือเปล่าไม่ทันใจ อีกส่วนหนึ่ง คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นรายบุคคล มีการเมืองฝ่ายตรงข้ามไปก่อกวนอะไรข้างล่างหรือเปล่า มันเกิดขึ้นได้หมดทุกเรื่อง ตนอยากจะบอกว่า วันนี้ทุกคนควรต้องคิดใคร่ครวญให้ดีว่ารัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทุกคนก็รู้อยู่เป็นรัฐมนตรี ใครทำหน้าที่อะไรมันมีกติกาของฝ่ายการเมือง ตนไม่ใช่คนตั้งกติกาตรงนี้ ดังนั้น ตนจะดูที่ผลงาน ดูที่ประสิทธิภาพ จึงต้องให้เวลาไปสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับประชาชน ไม่เช่นนั้นมุมมองในภาคธุรกิจก็ไม่กล้าที่จะทำอะไร สื่อก็ต้องให้ความเป็นธรรมด้วย อะไรที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงแค่เพียงคำบอกเล่า หรือ ไม่มีหลักฐานขุดคุ้ยขึ้นมามันก็ไม่มีประโยชน์

เมื่อถามว่า ข่าวปรับ ครม.ที่ออกมาส่งผลให้ ครม.เสียสมาธิในการทำงานหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คนที่เสียสมาธิ คือ ตน รัฐมนตรีเขาต้องมีสมาธิอยู่แล้วเพราะเขาทำงานตามที่ตนสั่ง ถ้าทำได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าทำไม่ได้ตนก็ต้องหาคนทำให้ได้เท่านั้นเอง ผู้สื่อข่าวถามว่า ครั้งนี้เป็นการปรับใหญ่หรือปรับเล็ก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "อะไรคือใหญ่ อะไรคือเล็ก" เมื่อถามย้ำว่า ปรับ ครม. หลายตำแหน่ง หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเลี่ยงว่า "อ๋อเหรอ ก็เสนอเข้ามาซิ" เมื่อถามว่า วันนี้มีรัฐมนตรีถอดใจยื่นใบลาออกบ้างหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปฏิเสธว่า ยังไม่เห็นมีใคร ทุกคนก็ยังเข้มแข็งอยู่ พยายามทำหน้าที่ ประเด็นปัญหาวันนี้คือปัญหามีเยอะมาก ทับซ้อนมาก และตนก็รู้ปัญหาเยอะจึงสั่งการณ์เยอะ อีกทั้งมีความกดดันข้างนอกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องจัดลำดับให้ดี

"ลืมหรือยังว่าผมเข้ามาทำงานกี่เดือนแล้ว เป็น คสช.มาตั้งแต่ 22 พ.ค.57 เป็นรัฐบาลในเดือน ก.ย.57 รวมแล้วปีกว่า แต่ปัญหาที่มีอยู่ทับซ้อนมาเป็นสิบปี แต่ผมก็ทำได้ในเวลาแค่ปีเดียว เป็นธรรมกับผมบ้างว่า อะไรที่ทำแล้ว อะไรที่ยังไม่ทำและอะไรที่กำลังทำอยู่ แค่นี้ยังหาไม่เจอ ผมพูดทุกวัน และการที่ต้องพูดมากในทุกๆ เรื่อง เพราะต้องการให้ทุกคนได้ฟังและรับรู้แต่ก็ยังไม่ฟังกัน ตนจึงต้องมาคาดหวังกับสื่อฯวันข้างหน้าก็อาจใช้วิธีการแจกเอกสารไปบ้าง เพราะสื่อฯเองก็คงจดไม่ทัน เพราะตนเป็นคนพูดเร็ว สื่อฯบางคนจดไปก็ครบบ้าง ไม่ครบบ้าง อีกทั้งพื้นที่ข่าวก็มีไม่มาก สื่อฯก็เลือกแต่ประเด็นแรงๆ ไปนำเสนอ เนื้อหาสาระไม่ได้ใส่ลงไปทำให้เกิดความขัดแย้ง พวกสื่อฯไม่ได้ตั้งใจ ตนรู้ แต่วันนี้ก็ต้องช่วยตนในการสร้างการรับรู้ ส่วนอะไรที่เป็นปัญหาก็ต้องช่วยชี้แจงข้อเท็จจริง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ให้กำลังใจ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ที่ถูกกระแสข่าวถูกปรับออกจาก ครม.บ้างหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมก็ให้กำลังใจทุกคนนั่นแหละ ผมก็ให้มาตลอดทุกวันไม่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นผมก็ให้กำลังใจ หรือ จะต้องให้ไปลดกำลังใจคนอย่างนั้นหรือ ทำไม"


โบรกเกอร์สาวยอมรับ ‘เสี่ยชูวงษ์’ โอนหุ้นให้

เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 24 ก.ค. ที่กองปราบปราม น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล อายุ 26 ปี เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ของบริษัท หลักทรัพย์เออีซี จำกัด พร้อมด้วยนางศรีธรา พรหมา มารดาของ น.ส.อุรชา และทนายความ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. และพ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.1บก.ป. เพื่อให้ปากคำกรณีการับโอนหุ้นจากนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง

ก่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวน น.ส.อุรชา เปิดเผยว่า รู้จักกับนายชูวงษ์ เพราะว่าอยู่ในวงการหุ้นเหมือนกัน ส่วนตัวแล้วไม่ได้เป็นโบรกเกอร์ให้กับนายชูวงษ์ แต่เรื่องที่ได้ไปรู้จักกับนายชูวงษ์ และพ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ได้อย่างไร และนานแค่ไหนแล้ว ตนไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด เพราะขอไปให้การกับพนักงานสอบสวนเท่านั้น แต่ก็ขอยอมรับว่าได้รับโอนหุ้นจากนายชูวงษ์จริง จำนวน 3 ตัว แต่ราคาไม่ถึง 40 ล้านบาท โดยนายชูวงษ์ให้มาฟรีๆ ในฐานะคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ได้ซื้อ-ขายกันแต่อย่างใดทั้งสิ้น

น.ส.อุรชา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตนอยากร้องขอความเป็นธรรมกับ พล.ต.ท.ประวุฒิ ด้วยว่า ที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบเดินทางไปยื่นหมายเรียกสอบปากคำที่บ้านพักของตน เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งยืนยันว่าเจ้าหน้าที่นำหมายมาในเวลา 16.30 น. แต่จะให้ไปสอบปากคำในเวลา 17.00 น. ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ เพราะขณะนั้นตนออกไปซื้อของกับแม่ แต่เจ้าหน้าที่ก็ได้ให้น้องชายเซ็นรับทราบหมายไว้ พอวันต่อมาก็มีตำรวจเข้ามาที่บ้านอีกครั้ง แต่ตนและแม่ไม่อยู่บ้าน ก็ยังขอให้น้องชายโทรศัพท์ไปเรียกตนและแม่มาพบให้ได้ เรื่องแบบนี้ยอมรับว่าตกใจและกลัวมาก จึงปรึกษาทนายความและแจ้งความไว้แล้ว

ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ เปิดเผยหลังว่าวันนี้เชิญ น.ส.อุรชาและนางศรีธรา มาให้ปากคำตามหมายเรียก แต่ทั้งสองไม่ได้นำหลักฐานที่พนักงานสอบสวนต้องการใดๆ มาชี้แจง เช่น เลขที่บัญชีโบรกเกอร์ของน.ส.อุรชา รวมทั้งเอกสารการทำธุรกรรมการโอนหุ้นทั้งหมดด้วย

พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับการสอบสวน น.ส.อุรชา ยืนยันว่าหุ้นที่ได้มาจากนายชูวงษ์นั้น เป็นเพราะทั้งคู่มีความสนิทสนมกัน เนื่องจากได้คบหากันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ พ.ต.ท.บรรยินก็ทราบดี ส่วนเรื่องการโอนหุ้นให้นั้น เรื่องจริงก็ได้รับหุ้นมาในราคา 30 กว่าล้านบาท ไม่ถึง40 ล้านบาท แต่ไม่รู้ว่าจำนวนหุ้นจริงๆ มีเท่าใด

ที่พบว่ามีการโอนหุ้นไปในชื่อของนางศรีธรา ซึ่งเป็นมารดานั้น เป็นเพราะน.ส.อุรชาใช้บัญชีธนาคารของมารดาในการรับโอนซื้อขายหุ้นมาโดยตลอด ทำให้พบหลักฐานว่ามารดาเป็นผู้รับโอนหุ้นจากนายชูวงษ์ ซึ่งหลังจากที่รับโอนหุ้นมาแล้ว ก็ได้ขายหุ้นส่วนหนึ่งไปในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายส่วนตัว

พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวด้วยว่า สำหรับเอกสารการโอนหุ้นที่ญาติผู้ตายสงสัยว่าจะมีการปลอมลายเซ็น เรื่องนี้ตนได้รับรายงานจากกองพิสูจน์หลักฐานแล้วว่า ผลตรวจเสร็จสิ้นแล้ว แต่คงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนคลิปเสียงของนายชูวงษ์ที่ส่งตรวจพิสูจน์นั้น พบว่าคลิปต้นแบบมีเสียงไม่ชัดเจน จึงต้องหาวิธีการเทียบเคียงเสียงให้มากที่สุด ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ และประเด็นการเสียชีวิตที่สงสัยกันว่าจะเป็นอุบัติเหตุ ฆาตกรรมอำพราง เรื่องนี้ยังไม่ได้รับรายงาน


ปิดตำนานบินไทย เลิกบินกทม.-แอล.เอ.

บอร์ดการบินไทยมีมติหยุดบินเส้นทางกรุงเทพฯ – แอล.เอ. ไม่มีกำหนด รวมทั้งเส้นทางอื่นที่มีปัญหา เที่ยวสุดท้ายเดือนตุลาคม เผยเหตุขาดทุนมาก เฉพาะครึ่งปีแรก 200 ล้านบาท พนักงานและคนไทยเศร้า เปิดใจอยากให้มีต่อไป ฝากถามผู้บริหาร ทำไมขาดทุน ทั้งๆที่ชื่อเสียงและบริการดี อีกทั้งจำนวนผู้โดยสารก็น่าพอใจ

เรื่องที่ส่งผลกระทบถึงคนไทยในสหรัฐอเมริการวมทั้งชื่อเสียงของประเทศครั้งนี้เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ค. โดย รุจิลาภา พัฑฒนะ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยแอล.เอ. ซึ่งเดินทางมาประเทศไทย ได้พบกับนายสุดเศวต เศวตะโสภณ ผู้จัดการภาคพื้นอเมริกา บริษัท การบินไทย จำกัด ( มหาชน ) ได้เปิดเผยว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บอร์ดการบินไทย มีมติให้หยุดบินในบางเส้นทางอย่างไม่มีกำหนด คือเส้นทางกรุงเทพ ฯ – ลอสแองเจลิส โดยเที่ยวสุดท้ายจะออกจากแอลเอวันที่ 25 ตุลาคม อย่างไรก็ตามยังคงขายตั๋วจนถึงวันดังกล่าว

นายสุดเศวตเปิดเผยอีกว่า การบินไทยได้เปิดเส้นทางนี้มากว่า 23 ปี ใช้เครื่องบินหลายแบบ ปัจจุบันบินสัปดาห์ละ 4 เที่ยว จากกรุงเทพฯ ไปแอล.เอ.มีวันอังคาร พฤหัสบดี เสาร์และอาทิตย์ ส่วนออกจากแอล.เอ.มีวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และวันอาทิตย์ ใช้โบอิ้ง 777 – 200 ER จุผู้โดยสาร 292 คน แบ่งเป็น ชั้นธุรกิจ 30 ที่นั่ง ราคา 5,400 เหรียญสหรัฐ ชั้นประหยัด 262 ที่นั่ง ราคา 1,600 – 1,700 เหรียญสหรัฐ ซึ่งราคาจะไม่เท่ากันแล้วแต่ช่วงไฮหรือโลว์ซีซั่น แต่จำนวนผู้โดยสารก็น่าพอใจ

ผู้จัดการภาคพื้นอเมริกา บริษัท การบินไทย จำกัด ( มหาชน ) เปิดเผยต่อไปว่า ตั้งแต่มารับตำแหน่ง ก็ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ผลงานเป็นที่น่าพอใจ ชาวต่างประเทศนิยม พร้อมกันนั้นยังสามารถดึงคนไทยในสหรัฐมาใช้บริการได้จำนวนมาก สำหรับสาเหตุที่หยุดบินชั่วคราวยังไม่ทราบ ต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา เท่าที่รับฟังจากคนไทยที่สหรัฐ อยากให้บินต่อไป เพราะชื่อเสียงดี เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลายปีก่อนก็หยุดบินเส้นทางกรุงเทพฯ – นิวยอร์ก

“สัปดาห์หน้าผมจะกลับไปสหรัฐเคลียร์งานและรอคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจากสำนักงานใหญ่ก่อนจะแจ้งกับเอเย่นต์ที่ขายตั๋วและพนักงานประจำสำนักงานในแอล.เอ.ประมาณ 20 คนให้ทราบ ทุกคนทำงานกับเรามานาน บางคนเป็นสิบปี ก็คงต้องไปหางานใหม่ บางคนอาจเกษียณไปเลย แต่เราก็จ่ายเงินชดเชยตามกฎหมาย สิ้นปีก็ปิดออฟฟิศ คงมีการร่ำลากันแบบไทยไทย มีข่าวลือมา 3 – 4 เดือนแล้ว บางคนถึงกับร้องไห้เสียดายมาก ส่วนคนไทยที่เป็นลูกค้าประจำเมื่อทราบข่าวก็มาถาม ขาดทุนหรือ ทำไมขาดทุนทั้งๆที่มีชื่อเสียงและบริการดีคนก็แน่น ผมก็แจ้งว่า ผมไม่ทราบ แต่เป็นนโยบายให้หยุดบินชั่วคราว ทุกคนเสียใจและบอกว่าต่อไปนี้จะไม่มีธงไทยไปปักบนแผ่นดินอเมริกาและต้องไปใช้บริการสายการบินอื่น “ นายสุดเศวตกล่าว

ต่อมาผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยแอล.เอ. ได้สอบถามไปยังบริษัท การบินไทย จำกัด ( มหาชน ) ได้รับการเปิดเผยจากฝ่ายบริหารส่วนหนึ่งว่า สาเหตุหลักมาจากการขาดทุนมาตลอดหลายปี เฉพาะปี 2558 จนถึงเดือน มิ.ย. ขาดทุนกว่า 200 ล้านบาท จนต้องตัดงบประมาณบางส่วน ก่อนหน้านี้เคยมีการเสนอทางแก้ปัญหาโดยเปลี่ยนเครื่องบินที่ใช้ในปัจจุบันจากโบอิ้ง 777 – 200 ER ซึ่งจุผู้โดยสารได้เพียง 292 คน ไปเป็นเครื่องรุ่น 777 – 300 ER ซึ่งจุคนได้มาก กว่า และให้ปรับลดราคาลง เพราะการบินไทยยังขายตั๋วแพงกว่าสายการบินอื่นอยู่ระหว่าง 200 ถึง 400 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังให้ทำการบินทุกวัน รวมทั้งให้ปรับที่นั่งชั้นธุรกิจให้เอนนอนได้ แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง กระทั่งมีการหยุดบินในที่สุด

จำคุก 1ปี ไม่รอลงอาญา 'พร้อมพงศ์-เกียรติอุดม'

วันที่ 24 ก.ค. ที่ห้องพิจารณา 805 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 24 ก.ค. ศาลอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.1886/2553 ที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย และนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328

โจทก์ยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2553 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2553 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันให้ข่าวต่อสื่อมวลชนต่างๆ ว่า โจทก์ให้ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์เข้าพบเป็นการส่วนตัว ระหว่างที่มีการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และกล่าวหาว่าโจทก์ประพฤติตนไม่เหมาะสม ไม่น่าเชื่อถือ ขัดต่อจริยธรรมของตุลาการ ขาดความยุติธรรม และขาดความเป็นกลาง อันเป็นเหตุทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังฯ เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.

ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2555 ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสอง เป็นการกล่าวหาโดยที่ไม่มีมูลความจริง ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนการแถลงข่าว จึงไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ดังนั้น ให้จำคุกจำเลยคนละ 1 ปี และปรับคนละ 50,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับโทษทางอาญามาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยทั้งสอง ร่วมกันเผยแพร่คำพิพากษาย่อใน นสพ.ไทยรัฐ มติชน และ กรุงเทพธุรกิจ เป็นเวลา 7 วัน ติดต่อกันด้วย

ต่อมา จำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาวันที่ 12 ธ.ค. 2556 เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการหมิ่นประมาทฯ ขณะที่จำเลยที่ 1 จบการศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิตและเป็นอาจารย์หลายสถาบัน ส่วนจำเลยที่ 2 จบปริญญาตรี เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.อุดรธานี และยังเป็นกรรมาธิการและรองกรรมาธิการหลายคณะ จำเลยจึงเป็นคนมีเกียรติ มีความน่าเชื่อถือของบุคคลทั่วไป ควรทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีให้สังคม ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ศาลอุทธรณ์จึงแก้โทษเป็นว่า ให้จำคุก 1 ปีจำเลยทั้งสอง โดยไม่รอการลงโทษ ส่วนโทษปรับก็ให้ยกไป

จำเลยทั้งสองได้ยื่นฎีกาต่อสู้ว่า การแถลงข่าวและแจกเอกสารข่าวเป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพิจารณาคดี โดยขอให้ศาลพิจารณาลงโทษสถานเบาและขอให้รอการลงโทษไว้ก่อน

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า คดีนี้ตัวโจทก์เบิกความเองซึ่งสอดคล้องกับเลขานุการหน้าห้อง และพยานอื่นที่ยืนยันได้ว่าวันเกิดเหตุโจทก์ไม่ได้พบเจอกับนายทศพล เพ็งส้ม ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด การแถลงข่าวของจำเลยจึงเป็นการให้ข้อความอันเป็นเท็จต่อสื่อมวลชนที่ จำเลยเล็งเห็นอยู่แล้วสื่อจะนำไปเผยแพร่ ใช้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือในการหมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดได้ว่าโจทก์ไม่มีความเป็นกลางที่จำเลยอ้างว่า การแถลงข่าวเป็นการแสดงความคิดนั้น จึงฟังไม่ขึ้น ที่โทษศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืนจำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงการลงโทษ