ข่าว
ยู่ยี่เจอข้อหาหนัก คุก20ปีค้าโคเคน

อัยการ แจ้งข้อหาเพิ่ม ยู่ยี่ นำเข้าโคเคน ชี้โทษจำคุก 20 ปีถึงตลอดชีวิต ปรับ 1 แสนถึง 1 ล้านบาท ศาลนัดอีกครั้ง 11 ม.ค.

เวลา 09.00 น. นางชัชชญา เควสต้า รามอส หรือ ยู่ยี่-อลิสา อินทุสมิต อายุ 40 ปี อดีตนางแบบชื่อดัง ผู้ต้องหามีโคเคน ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 จำนวน 5 มิลลิกรัม ไว้ในครอบครอง ได้เดินทางมารายงานตัวต่อศาลระหว่างการฝากขังครั้งที่ 5 หลังจากถูกจับกุมได้ที่สนามบินดอนเมืองเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 55 ขณะเดินทางกลับจากประเทศเวียดนาม

โดยเมื่อรายงานตัวแล้ว ศาลนัดนางชัชชญา หรือยู่ยี่ ผู้ต้องหาให้มารายงานตัวอีกครั้งในวันที่ 11 ม.ค.นี้ ซึ่งจะครบการฝากขังครั้งที่ 6

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังรายงานตัวนางชัชชญา เดินทางกลับพร้อมสามีทันที โดยไม่ให้สัมภาษณ์

ขณะที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 1 ได้ยื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 5 ไปเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 55 ระบุว่าหลังจากได้รับสำนวนการสอบสวน จากพนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง พนักงานอัยการ ผู้ร้อง ได้ตรวจพิจารณาสำนวนอย่างละเอียดแล้วเห็นว่า การสอบสวนยังไม่สิ้นกระแสความ เนื่องจาก พฤติการณ์ของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน นำเข้ามาในราชอาณาจักร และมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4,7,16,17,68 วรรค 2,6 และ 9 มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 20 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท ผู้ร้องจึงขอให้พนักงานสอบสวน สน .ดอนเมือง ไปสอบสวน และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหา แต่ขณะนี้ผู้ร้องยังไม่ได้รับผลสอบเพิ่มเติม จึงขอฝากขังผู้ต้องหาไว้อีก 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค. - 10 ม.ค.นี้ด้วย โดยศาลพิจารณาแล้ว จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังได้

สื่อมะกันเผย"13เหตุ"หลัก คนไทยกินทั้งวันแต่ไม่อ้วน

สื่อมะกัน เปิดเผยบทความระบุ 13 สาเหตุคนไทยกินทั้งวันแต่ไม่อ้วน ชี้เป็นเมืองร้อน ความอยากอาหารลด - อาหารเผ็ด กินได้ช้าลง

นิตยสารฟอร์บส์ เปิดเผยบทความที่มีชื่อว่า "13สาเหตุทำไมคนไทยกินทั้งวันแต่ไม่อ้วน" ซึ่งเขียนโดย เอลิซา มาลา นักเขียนประจำเว็บไซต์ ที่ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการตั้งข้อสังเกตภายหลังผู้เขียนได้พบกับเพื่อนร่วมงานหญิงคนไทยคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ทั้งที่สหรัฐและไทยที่มีขนาดรูปร่างเล็กมากเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมงานสัญชาติอื่นๆ

ประกอบกับวิเคราะห์จากผลสำรวจระดับความอ้วนของประชากรใน 70 ประเทศทั่วโลกที่พบว่า ไทย รั้งท้ายอยู่อันดับ 60 ซึ่งแตกต่างกับสหรัฐที่ระดับความอ้วนของชาวอเมริกันสูงติดอันดับ 6 ทีเดียว

ผู้เขียน ได้สรุปสาเหตุที่คนไทยรับประทานอาหารทั้งวันแต่ไม่อ้วนได้ 13 ประการ โดยอ้างอิงจากความเห็นส่วนตัวและประสบการณ์ที่ได้เมื่ออาศัยอยู่ในเมืองไทยดังนี้

1. คนไทยมีพันธุกรรมดี-โครงสร้างเล็ก

2. เมืองไทยอากาศร้อน : อากาศเมืองไทยร้อนมากซึ่งอาจทำให้ความอยากอาหารของใครหลายคนลดฮวบแม้คุณจะเป็นคนที่กินเก่งแค่ไหนก็ตาม

3. กิน = สังสรรค์ : วัฒนธรรมการกินอาหารของคนไทยมักมีแนวโน้มเป็นหนึ่งในข้ออ้างเพื่อสังสรรค์พบปะเพื่อนฝูงมากกว่าการกินอาหารอย่างจริงจัง

4. ดื่มก่อน ค่อยกิน : อากาศเมืองไทยที่ร้อนอบอ้าวเป็นสาเหตุให้ร้านอาหารในไทย มักเสนอเครื่องดื่มสารพัดอย่างให้สั่งเพื่อดื่มดับกระหายก่อนเริ่มรับประทานอาหาร ทำให้กว่าที่จะได้ทานก็รู้สึกอิ่มจากเครื่องดื่มสารพัดแก้วเสียแล้วจึงทำให้กินอาหารได้น้อยลงโดยปริยาย

5. แบ่งปันอาหาร ช่วยลดรอบเอว : วัฒนธรรมการกินของคนไทยและหลายประเทศในเอเชียแตกต่างจากฝั่งตะวันตก คือ คนไทยมักรับประทานกับข้าวหลายประเภทพร้อมๆกันหลายๆคนในครอบครัวและเพื่อนฝูงทำให้แต่ละคนได้ทานอาหารหลายๆอย่างแต่ในปริมาณที่น้อยเนื่องจากต้องแบ่งกันกิน

6. เติมความเผ็ดร้อนให้ชีวิต : อาหารไทยส่วนใหญ่มีรสชาติจัดจ้านและเผ็ดร้อน ทำให้รับประทานอาหารได้ช้าลง

7. วิญญาณเนื้อสัตว์ : อาหารไทยแต่ละประเภทมีส่วนผสมหลายอย่างแต่มีปริมาณน้อย ดังเช่น แกงเขียวหวานราดข้าวหนึ่งจานก็จะเต็มไปด้วยข้าวสวย ผักหลายชนิด แต่มีเนื้อสัตว์เพียง2-3ชิ้นเท่านั้น

8. อาหารไทยปรุงเสร็จใหม่ : อาหารไทยส่วนมากเป็นอาหารที่ปรุงสุกและเสร็จใหม่ตามสั่ง และไม่ค่อยมีการกินอาหารแช่แข็งหรืออาหารกระป๋อง จึงไม่มีวัตถุกันเสีย

9. คนไทยกินอาหารเช้า : เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักโภชนาการว่าการทานอาหารเช้าจะช่วยกระตุ้นระบบการย่อยอาหารให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดความหิวระหว่างวันได้ แม้สำหรับชาวตะวันตก จะมองว่า การทานอาหารเช้าแบบเต็มคอร์สเหมือนคนไทยเป็นเรื่องที่แปลกก็ตาม

10. คนไทยกินจุกกินจิก : คนไทยไม่เคยอยู่นิ่งๆได้นานกว่า 2-3 ชั่วโมงโดยไม่กินอาหาร เพราะคนไทยจะกินอาหารว่างตลอดทั้งวัน เช่น มะม่วงจิ้มพริกกับเกลือ ซึ่งถือว่าเป็นเคล็ดลับการลดความอ้วนที่ดีเพราะจะช่วยไม่ได้เราหิวมาก และกินมากนั่นเอง

11. เครื่องมือกินอาหารเยอะ : คนไทยกินอาหารด้วยช้อนและส้อมพร้อมกัน และบางทีอาจมีตะเกียบเข้ามาแจมแถมบางครั้งก็มีช้อนกลางเพื่อตักอาหารส่วนกลางอีกด้วย กว่าได้จะกินน้ำซุปแต่ละครั้ง คนไทยต้องใช้ช้อนกลางตักน้ำซุปใส่ช้อนของตัวเอง คิดดูเอาเองว่ายุ่งยากและต้องใช้เวลากินแต่ละครั้งนานแค่ไหน

12. กินของหวานตบท้าย : ของหวานแบบไทยมีปริมาณกำลังดีและไม่หวานเหมือนกับของหวานแบบตะวันตกที่มักมีขนาดใหญ่และมีรสชาติหวานจัดจนถึงเลี่ยนมาก

13. คนไทยเลี่ยงฟาสต์ฟู้ด : ตามคำบอกเล่าของเพื่อนคนไทยของฉัน บอกว่า คนไทยมองว่า อาหารฟาสต์ฟู้ด คืออาหารของคนรวยเพราะแม้มีราคาใกล้เคียงกับที่สหรัฐ แต่ทว่าสัดส่วนรายได้ของคนไทยต่ำกว่ามากดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเลือกกินอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นครั้งคราวเฉพาะในโอกาสพิเศษเท่านั้น

พันธมิตรฯ โหมกระแสชาตินิยม เตรียมชุมนุมใหญ่ปม "พระวิหาร"

เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่บ้านพระอาทิตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เตรียมชุมนุมใหญ่ หากเข้าเงื่อนไข ตามแถลงการณ์ดังนี้


แถลงการณ์ฉบับที่ 1/2556
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เรื่องเตรียมพร้อมรับมือวิกฤติชาติ

ตามที่ได้การประชุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2555 ณ สวนลุมพินี พี่น้องประชาชนได้มีฉันทานุมัติเห็นชอบเป็นมติในการเคลื่อนไหวมวลชนปรากฏ เป็นแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฉบับที่ 2/2555 ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการ คือ

1. มีการดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใดที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์

2. มีการดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใด ที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การนิรโทษกรรมให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรและพวก

3. เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สถานการณ์ความเหมาะสมที่ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งใหญ่

ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการดังกล่าวข้างต้น เกิดขึ้นเมื่อใด พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะแจ้งให้ทราบและพร้อมจัดให้มีการชุมนุม ใหญ่โดยทันที ดังนั้นไม่ว่ารัฐบาลจะใช้เล่ห์เพทุบายจัดในรูปแบบหรือพิธีกรรมใดเพื่อนำไป สู่เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง หรือหลายเงื่อนไขรวมกัน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอยืนยันว่าจะเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างถึงที่ สุด

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ประชาชนและสื่อมวลชนได้ให้ความสนใจต่อท่าทีของรัฐบาลซึ่งได้พยายาม เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนไทยยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศและ เตรียมความพ่ายแพ้ในการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ. 2505 นั้น ต่อกรณีดังกล่าวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เคยออกแถลงการณ์ 4 ฉบับ ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เพื่อแสดงว่าภาคประชาชนได้ต่อสู้มาอย่างยาวนานอย่างไร และประสบผลสำเร็จอย่างไร อีกทั้งได้หาทางออกเอาไว้แล้ว ได้แก่ ฉบับที่ 3/2554 เรื่อง “ภาคประชาชนได้ต่อสู้เรื่องอธิปไตยและดินแดนอย่างเต็มที่สุดความสามารถแล้ว” ฉบับที่ 4/2554 เรื่อง “ทหารของจอมทัพไทยยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองในการรักษาอธิปไตยของชาติ” ฉบับที่ 5/2554 เรื่อง “บทพิสูจน์ความล้มเหลวของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในการใช้ MOU 2543 และจะเสียดินแดนต่อไปเพราะรับอำนาจศาลโลก” และฉบับที่ 6/2555 “ขอให้รัฐบาลชุดต่อไปปกป้องอธิปไตยของชาติ”

การแถลงการณ์ในครั้งนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศแจ้งให้ทราบว่า การเริ่มต้นความเสียเปรียบในมาตรการคุ้มครองชั่วคราวนั้นจะนำไปสู่การเสีย ดินแดนต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน โดยหลังจากนี้หากไทยถลำลึกยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีแนวโน้มจะตีความให้เป็นคุณต่อกัมพูชาและเป็นโทษ ต่อประเทศไทยโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะใช้การอ้างอิงกฎหมายปิดปากที่ ประเทศไทยไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสซึ่งเป็นมูลฐานในการพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ภาย ใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2505 ซึ่งจะเป็นผลทำให้ไทยต้องเสียดินแดนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะเป็นผลทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้เป็นผลสำเร็จ และจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติมต่อไปอีกไม่ต่ำ กว่า 1 ล้าน 8 แสนไร่ รวมถึงการสูญเสียซึ่งลามไปถึงทรัพยากรพลังงานทางทะเลในอ่าวไทยซึ่งมีมูลค่า ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท

เมื่อความผิดพลาดในอดีตของหลายรัฐบาลได้ล่วงเลยมาถึงเวลานี้แล้ว จึงเป็นช่วงเวลาโอกาสสุดท้ายของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รักษาสัจจะของตัวเองตามที่ได้เคยให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ว่าในฐานะคนไทยคนหนึ่งยืนยันว่าจะต้องทำหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตย โดยดำเนินการดังต่อไปนี้

ประการแรก ใช้โอกาสสุดท้ายที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) ได้กำหนดให้มีการนั่งพิจารณาคดี (public hearings) กรณีกัมพูชายื่นคำขอตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 ในวันจันทร์ที่ 15 เมษายน ถึงวันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2556 ณ วังสันติภาพ (Peace Palace) ซึ่งเป็นที่ทำการของศาลฯ ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยขอเรียกร้องให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยประกาศอย่างเป็นทางการว่าราช อาณาจักรไทยถือว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่มีอำนาจในการตีความคดีนี้ และราชอาณาจักรไทยจะไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในการตีความในคดี ความนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการตีความนั้นก่อให้เกิดผลเสียต่ออธิปไตยและบูรณภาพ แห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย

ทั้งนี้เพราะราชอาณาจักรไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้วและเป็นที่รับ ทราบโดยปราศจากการคัดค้านทั้งจากราชอาณาจักรกัมพูชาและสมาชิกองค์การสหประชา ชาติ อีกทั้งราชอาณาจักรไทยยังได้แถลงประท้วง ไม่เห็นด้วย คัดค้าน ในคำตัดสินที่ผิดพลาดและอยุติธรรม จึงได้ตั้งข้อสงวนเอาไว้ในการทวงคืนปราสาทพระวิหารในอนาคตหากกฎหมายระหว่าง ประเทศพัฒนาขึ้น โดยคำแถลงครั้งนั้นไม่ได้มีประเทศสมาชิกในองค์การสหประชาชาติคัดค้านแต่ ประการใด ประกอบกับราชอาณาจักรไทยก็ไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับอำนาจศาลยุติธรรม ระหว่างประเทศโดยบังคับ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505

ประการที่สอง เมื่อราชอาณาจักรไทยไม่รับว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีอำนาจในการตีความ แล้ว รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่ว คราวของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ไม่ต้องถอนทหารหรือตำรวจตระเวนชายแดนออกจากแผ่นดินไทย และขอให้เร่งผลักดันชุมชนกัมพูชาให้ออกจากแผ่นดินไทย ทั้งนี้ได้ปรากฏเป็นหลักฐานอย่างชัดเจนแล้วว่าตั้งแต่มีการก่อตั้งศาล ยุติธรรมระหว่างประเทศมามีประเทศคู่พิพาทให้ศาลออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว 17 คดีแต่ ศาลรับให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว 10 คดี ผลปรากฏว่าจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยมีประเทศใดปฏิบัติตามเลยแม้แต่ประเทศเดียว ซึ่งรวมถึงประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย ดังนั้นคำสั่งดังกล่าวไม่มีสภาพบังคับแต่ประการใด และหากรัฐบาลไทยยินยอมปฏิบัติถอนทหารออกจากพื้นที่จะถือเป็นประเทศแรกในโลก ที่ปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวทั้งๆที่มีชุมชุนกัมพูชารุกรานเข้ามา อาศัยอยู่บนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทย

ประการที่สาม ให้รัฐบาลไทยเร่งฟื้นฟูและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศ ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเร่งด่วน เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีประเทศใดเข้ามาใช้อำนาจในการละเมิดอธิปไตยของ ชาติ

ประการที่สี่ อาศัยกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 2 วรรค 7 และ ให้รัฐบาลไทยยืนยันว่าสมาชิกสหประชาชาติไม่มีอำนาจในการแทรกแซงในเรื่องภาย ในอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย และให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยยืนยันตามข้อ 2 (ก) และ 2(ง) แห่งกฎบัตรสมาคมแห่งประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่ารัฐสมาชิกอาเซียนจะ ต้องปฏิบัติตามหลักการในการเคารพเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน ตลอดจนไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน

ประการที่ห้า รัฐบาลราชอาณาจักรไทยจะต้องไม่กลับเข้าไปเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกอีก

ประการที่หก ให้รัฐบาลไทยหยุดการใช้นักวิชาการ 7.1 ล้านบาท ที่รับจ้างจากกระทรวงการต่างประเทศมาโฆษณาชวนเชื่อในสื่อของรัฐฝ่ายเดียว เพียงเพื่อให้คนไทยยอมจำนนกับการยกดินแดนไทยให้กับกัมพูชา เพราะนักวิชาการเหล่านี้มีจุดยืนอยู่ข้างฝ่ายกัมพูชา และควรเปิดพื้นที่สื่อให้กว้างขวางเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลจากผู้ที่ ต้องการปกป้องอธิปไตยของชาติและไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลด้วย

ประการที่เจ็ด ให้ช่วยเหลือ นายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งถูกทหารกัมพูชาจับในแผ่นดินไทยแต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับใส่ร้ายว่าถูกจับในแผ่นดินกัมพูชา โดยเร่งรัดดำเนินการให้ทั้ง 2 คนถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำกัมพูชาโดยเร็วที่สุด

ดังนั้นหากรัฐบาลเมื่อทราบทางเลือกแล้วยังไม่ปฏิบัติตาม อีกทั้งยังประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนไทยยอมจำนนกับความพ่ายแพ้อย่างอยุติธรรม ในเวทีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ย่อมถือว่ารัฐบาลมีเจตนาขายชาติขายแผ่นดิน จึงต้องเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบด้วยหากราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียอธิปไตยและ บูรณภาพแห่งดินแดนครั้งนี้ และหากราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียดินแดนในครั้งนี้จะถือว่าเป็นครั้งแรกใน ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดนในรัชกาลปัจจุบันเพราะ การสมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจ ของนักการเมืองทุกฝ่าย ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง และ ผู้นำกองทัพที่ไม่ทำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติตามรัฐธรรมนูญอย่างที่ ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะต้องร่วมกันรับผิดชอบในความอัปยศทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงมีมติให้ ตัวแทนแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปยื่นข้อเรียกร้องดังกล่าว อย่างเป็นทางการต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556 ในเวลา 10.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล


ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ.2556
ณ บ้านพระอาทิตย์