ข่าว
‘ศาลสูงโอซากา’วินิจฉัย! ‘สมรสเท่าเทียม’หากรัฐไม่รับรองเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ‘ญี่ปุ่น’

26 มี.ค. 2568 สำนักข่าว UPI สหรัฐอเมริกา รายงานข่าว Japan's Osaka High Court rules country's same-sex marriage ban 'unconstitutional' ระบุว่า ศาลสูงเมืองโอซากาของญี่ปุ่น มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2568 ว่า การห้ามการแต่งงานของคนรักเพศเดียวกันเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยครั้งที่ 5 แล้วของศาลในญี่ปุ่นในลักษณะนี้ โดย 4 ครั้งก่อนหน้า เป็นคำวินิจฉัยของศาลสูงในเมืองซับโปโร กรุงโตเกียว เมืองฟุกุโอกะ และเมืองนาโกยา

ในคดีซึ่งขึ้นสู่ศาลสูงเมืองโอซากา คู่รักเพศเดียวกัน 3 คู่เป็นโจทก์ยื่นฟ้องรัฐบาล โดยเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 6 ล้านเยน หรือ 39,900 เหรียญสหรัฐ (ราว 1.36 ล้านบาท) ซึ่งแม้ คูมิโกะ ฮอนดะ (Kumiko Honda) ผู้พิพากษาในคดีนี้ จะยกคำร้องเรื่องค่าสินไหมทดแทน แต่ได้มีคำวินิจฉัยแก้คำวินิจฉัยของศาลแขวงโอซากา ที่ระบุว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่ง (ป.แพ่ง) และ พ.ร.บ.ทะเบียนครอบครัว ของญี่ปุ่น รับรองการแต่งงานให้เฉพาะคู่รักต่างเพศเท่านั้น

ตามคำวินิจฉัยของฮอนดะ การไม่อนุญาตให้คู่รักเพศเดียวกันแต่งงานกันได้นั้นขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น ซึ่งในมาตรา 14 ระบุว่า “ประชาชนทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย และจะไม่มีการเลือกปฏิบัติในความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคมเนื่องมาจากเชื้อชาติ ศาสนา เพศ สถานะทางสังคม หรือต้นกำเนิดของครอบครัว” และในมาตรา 24 ที่ระบุว่า “กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวต้องตราขึ้นจากมุมมองของศักดิ์ศรีของแต่ละบุคคลและความเท่าเทียมกันโดยพื้นฐานของเพศ”

รางานข่าวกล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้ในคำวินิจฉัยของศาลแขวงโอซากา จะตัดสินโดยยึดหลักการปกป้องความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงในการให้กำเนิดบุตร แต่โจทก์แย้งว่า มีคู่รักต่างเพศหลายคู่ที่ไม่ต้องการมีลูก ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในกลุ่ม G7 ที่ไม่ยอมรับการแต่งงานของเพศเดียวกัน และประเทศอื่นๆ ในกลุ่ม G7 สนับสนุนให้ญี่ปุ่นต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติและปกป้องกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+)

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) บางแห่งในญี่ปุ่นได้ออกใบรับรองการเป็นคู่ครองให้กับคู่รักเพศเดียวกัน แต่ใบรับรองดังกล่าวไม่ได้ให้สิทธิในการเยี่ยมคู่สมรส การรับรองสถานะผู้ปกครอง หรือการได้รับมรดกในความสัมพันธ์อย่างเดียวกับของคู่สมรส ขณะที่ตามคำร้องต่อศาล โจทก์ได้ให้เหตุผลว่า สิ่งที่ควรตั้งคำถามคือเหตุผลในการไม่รวมคู่รักเพศเดียวกันเข้าในระบบการสมรส การทำให้การแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันถูกกฎหมายจะทำให้ผู้คนมีความสุขมากขึ้น ในขณะที่ไม่มีใครรู้สึกไม่มีความสุข

‘หญิงหน่อย’ฮึ่ม! เชือดจริยธรรม‘งูเห่า’ แฉพวกโหวตสวนมติพรรคแลกผลประโยชน์

26 มีนาคม 2568 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย แสดงความเห็นต่อผลการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า คะแนนเสียงของฝ่ายรัฐบาลที่มากกว่าฝ่ายค้านไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลได้ประกาศจุดยืนแต่แรกแล้วว่าจะสนับสนุนรัฐบาล แม้จะยังไม่ได้ฟังการอภิปราย และหลังอภิปราย จะมีข้อกล่าวหาหรือข้อกังขามากมายก็ตาม

คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่าแม้รัฐบาลจะมีเสียงข้างมากในสภา แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ “ศรัทธาของประชาชน” ซึ่งรัฐบาลต้องรักษาด้วยการทำงานอย่างสุจริตและจริงใจในการแก้ไขปัญหาของประชาชน มิใช่เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั่น

ในส่วนของพรรคไทยสร้างไทยที่มี สส. โหวตสวนมติของพรรคฝ่ายค้านนั้น หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ระบุว่าไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะพฤติกรรมของบุคคลเหล่านี้เริ่มปรากฏให้เห็นมาระยะหนึ่งแล้ว พรรคได้พยายามตักเตือนและให้สติ แต่สุดท้ายกลับเลือกเดินในเส้นทางที่ขัดต่ออุดมการณ์และข้อบังคับของพรรค ขัดต่อจริยธรรมร้ายแรง และคำมั่นที่ให้ต่อประชาชน ที่สำคัญยังผิดต่อรัฐธรรมนูญ

“เมื่อวันนี้เห็นชัดแล้วว่าใครที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชนและเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ของประชาชน พรรคไทยสร้างไทยจะดำเนินการทางกฎหมายเอาผิดทางจริยธรรมร้ายแรงให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับนักการเมืองไทย และเยาวชนของชาติ พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนจดจำรายชื่อของผู้ที่ทรยศต่อประชาชนและอุดมการณ์ของพรรค เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจในอนาคต” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย มองว่าการที่ สส. บางคนโหวตสวนมติพรรคอาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเงิน อำนาจ ตำแหน่ง หรือสิ่งจูงใจอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการตรวจสอบ จากสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างคณะกรรมการปราบปรามทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคการเมืองที่ มีพฤติกรรมซื้อเสียงจากประชาชน และซื้อสส. ในสภาจากพรรคการเมืองอื่น ถือเป็นพรรคการเมืองที่มีพฤติกรรมทุจริตอยู่ในกมลสันดาน เพียงเพื่อผลประโยชน์ในการรักษาอำนาจและตำแหน่งทางการเมืองของตนเท่านั้น ซึ่งเป็นการทำลายระบบพรรคการเมือง และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สังคมไทยจะปล่อยให้นักการเมืองและพรรคการเมืองที่มีความคิดชั่วร้าย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่ได้มีประชาชนอยู่ในหัวใจ ปกครองบ้านเมืองต่อไปได้อีกหรือ

คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่า อุดมการณ์ ของพรรคไทยสร้างไทยคือการ“สร้างการเมืองสุจริต” ไม่ทรยศหักหลังประชาชน ถึงแม้ว่าเราจะเหลือสส.ที่มีอุดมการณ์ และไม่ตระบัดสัตย์เพียงคนเดียว เราก็จะทำเดินหน้ามุ่งมั่นทำ“การเมืองสุจริต” ต่อไป อย่างไม่ย่อท้อ

หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยกล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นโอกาสสำคัญให้พรรคได้ คัดกรองบุคคลที่มีอุดมการณ์แท้จริง และยืนหยัดต่อหลักการทางการเมืองที่เน้นความซื่อสัตย์สุจริต พรรคจะเดินหน้าสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่โปร่งใส โดยให้ความสำคัญกับการทำงานเพื่อประชาชนเป็นหลัก มากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวหรือกลุ่มการเมือง

คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่าการที่พรรคไทยสร้างไทยต้องเผชิญกับ สส. ที่โหวตสวนมติพรรคแม้จะเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง แต่ก็เป็นบทพิสูจน์ว่าพรรคไทยสร้างไทย ยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย และ มุ่งสร้างการเมืองสุจริต จึงขอเชิญชวนผู้ที่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคที่จะยืนหยัดต่อสู้กับการเมืองทุจริต ที่กำลังทำลายประเทศชาติอยู่ในขณะนี้ ได้มาร่วมอุดมการณ์กับพรรคไทยสร้างไทย พรรคจะใช้โอกาสนี้ในการปรับโครงสร้างและเสริมสร้างทีมงานที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจจริง เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้อย่างเต็มที่


สหรัฐฯ-รัสเซีย จบหารือมาราธอนที่ซาอุฯ

ริยาด/มอสโก/วอชิงตัน/เคียฟ (รอยเตอร์ส) ผู้แทนเจรจาของสหรัฐฯ กับรัสเซียเสร็จสิ้นการหารือเกี่ยวกับความพยายามผลักดันข้อตกลงหยุดยิงกับยูเครนที่ซาอุดีอาระเบีย หลังพูดคุยมาราธอน 12 ชั่วโมง รวมถึงเรื่องการฟื้นข้อตกลงธัญพืชยูเครน ปี 2022 ส่วนสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังไม่หยุด แม้ต่างฝ่ายต่างหารือกับสหรัฐฯ เรื่องข้อตกลงสันติภาพก็ตาม

คณะผู้แทนเจรจาของสหรัฐฯ กับรัสเซีย เสร็จสิ้นการหารือการหยุดยิงยูเครนในระดับเจ้าหน้าที่ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบียแล้วเมื่อกลางดึกคืนวันจันทร์ที่ 24 มี.ค. สื่อรัสเซียรายงานว่า การหารือดังกล่าวยาวนานมาราธอนถึง 12 ชั่วโมงแต่ยังไม่มีการตกลงใดๆ อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการหยุดยิงบางส่วนออกมา การหารือดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ-ยูเครนพบหารือระดับเจ้าหน้าที่ที่ริยาดเช่นกันเมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 23 มี.ค. โดยที่เจ้าหน้าที่รัสเซียและยูเครนไม่ได้พบหารือกันโดยตรง

สื่อหลายสำนักรายงานว่า วาระสำคัญในการหารือดังกล่าว รวมถึงการฟื้นข้อตกลงธัญพืชปี 2022 ด้วย ข้อตกลงนี้อนุญาตให้ยูเครนส่งออกธัญพืชผ่านทะเลดำได้อย่างปลอดภัย แลกกับรัสเซียขอให้ประเทศตะวันตกผ่อนคลายคว่ำบาตรรัสเซีย ยอมให้รัสเซียส่งออกปุ๋ยได้ คล้ายกับเป็นการหยุดยิงบางส่วนอย่างหนึ่งอย่างน้อยก็ในทะเลดำ

ทั้งนี้ รัสเซียได้หยุดการยอมให้เรือสินค้าธัญพืชยูเครนผ่านทะเลดำอย่างปลอดภัยมาตั้งแต่กลางปี 2023 เป็นต้น หลังรัสเซียถอนตัวจากข้อตกลงธัญพืชยูเครน ระบุเหตุผลเป็นเพราะการคว่ำบาตรการส่งออกปุ๋ยของรัสเซียไม่ได้รับการผ่อนคลายไปด้วย

ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ รัสเซียและยูเครนยังคงรบกันไม่หยุด แม้ขณะที่ต่างฝ่ายต่างหารือกับสหรัฐฯ ที่ซาอุดีอาระเบียอยู่ก็ตามทั้ง 2 ฝ่ายต่างกล่าวหาอีกฝ่ายไม่เคารพข้อตกลงหยุดยิงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานซึ่งกันและกันนาน 30 วัน ที่ต่างได้ตกลงไว้กับสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยกระทรวงกลาโหมรัสเซียกล่าวหายูเครนส่งโดรนอากาศยานไร้คนขับโจมตีสถานีสูบน้ำมันโคร-พอทคินสกายา ในเมืองคราสโนดาร์ ทางใต้รัสเซียเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 23 มี.ค. และยังส่งโดรนอีกหลายร้อยลำโจมตีหลายพื้นที่ในรัสเซียในคืนเดียวกัน แต่รัสเซียสอยร่วงไป 227 ลำ ส่วนรัสเซียยิงขีปนาวุธถล่มภาคเหนือ-ภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวันจันทร์ ในระหว่างที่รัสเซียหารือสหรัฐฯ อยู่ที่ซาอุดีอาระเบีย เจ้าหน้าที่รัฐบาลยูเครนรายงานคืบหน้ารัสเซียยิงขีปนาวุธถล่มซูมี บาดเจ็บเพิ่มเป็น 94 คน และถล่มทางอากาศแคว้นเคียฟที่ตั้งของกรุงเคียฟ มีผู้บาดเจ็บ 1 คน


นักบินดับสลด! เฮลิคอปเตอร์ช่วยดับเพลิงตก ขณะดับไฟป่าเกาหลีใต้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ดับเพลิง พร้อมนักบิน 1 นาย ประสบเหตุตก ขณะกำลังต่อสู้กับไฟป่าขนาดใหญ่ในเขตอุยซอง ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาหลีใต้ ส่งผลให้นักบินเสียชีวิต

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่งผลให้นักบินวัย 73 ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ซึ่งหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว หน่วยงานด้านป่าไม้ได้สั่งระงับการบินของเฮลิคอปเตอร์ดับเพลิงทั้งหมดแล้ว ขณะที่เจ้าหน้าที่ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนี้

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ไฟป่าที่ยังคงรุนแรงในหลายจุด ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ โดยทางการระดมกำลังเจ้าหน้าที่เร่งดับไฟป่าที่โหมลุกลามกินพื้นที่ไปแล้วมากกว่า 108,000 ไร่ ซึ่งรวมถึงพื้นที่ของวัดโคอุนซา วัดเก่าแก่อายุกว่า 1,300 ปี และบ้านเรือนประชาชนอีกมากกว่า 200 หลังได้รับความเสียหาย

ความรุนแรงของไฟป่ายังส่งผลให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างน้อย 24 คนแล้ว ในจำนวนนี้ มีนักดับเพลิงและเจ้าหน้าที่ทางการรวมอยู่ด้วยอย่างน้อย 4 นาย และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกประมาณ 12 คน

ญี่ปุ่นเตือน ปชช.หาก'ภูเขาไฟฟูจิ'ปะทุ เตรียมป้องกันเถ้าถ่านพิษลอยปกคลุมทั่วโตเกียว

26 มีนาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยแนวทาง สำหรับชาวโตเกียวหากภูเขาไฟฟูจิปะทุ โดยทางรัฐบาลแนะให้อยู่บ้าน หลีกเลี่ยงความตื่นตระหนก สวมหน้ากาก-แว่นตา และเตรียมเสบียงให้เพียงพอ ผู้อาศัยในบ้านไม้ต้องอพยพหากเถ้าทับถมเกิน 30 เซนติเมตรเพื่อความปลอดภัย

คณะผู้เชี่ยวชาญซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นแต่งตั้งขึ้น ได้เสนอแนวปฏิบัติฉบับใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประชาชนในกรณีที่ภูเขาไฟฟูจิ ยอดเขาสูงที่สุดของประเทศ เกิดการปะทุขึ้น ซึ่งแนวทางนี้ เน้นให้ชาวโตเกียว และพื้นที่ใกล้เคียงอยู่ในที่พักอาศัย เพื่อป้องกันเหตุโกลาหล หากขี้เถ้าภูเขาไฟตกลงมาปกคลุมเมืองหลวง โดยสื่อในประเทศนำเสนอภาพแอนิเมชันจำลอง แสดงให้เห็นการปะทุของภูเขาไฟฟูจิเสมือนเมื่อ 300 ปีก่อน ไม่มีหินหนืดลาวาไหลออกมา แต่มีเถ้าถ่านกว่า 800 ล้านลูกบาศก์เมตรออกมาอย่างต่อเนื่อง

แนวทางปฏิบัติแบ่งสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นออกเป็น 4 ระยะ พิจารณาจากความรุนแรงของเถ้าถ่านที่พวยพุ่งลงมา เริ่มจากระยะที่ 1 เมื่อมีเถ้าตกลงมาต่ำกว่า 3 เซนติเมตร ไปจนถึงระยะที่ 4 เมื่อเถ้าตกลงมาสูงเกิน 30 เซนติเมตร ประชาชนในพื้นที่ที่มีเถ้าตกทับถมน้อยกว่า 30 เซนติเมตรควรอยู่ในบ้าน หลีกเลี่ยงออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็น

หากต้องออกนอกบ้าน ควรสวมแว่นตาและหน้ากากป้องกัน ไม่แนะนำให้ขับรถ เนื่องจากเถ้าจะบดบังทัศนวิสัยและเพิ่มความเสี่ยงบนท้องถนน พร้อมเตรียมสิ่งของจำเป็นที่เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ผู้อาศัยอยู่ในบ้านไม้หรืออยู่ใกล้อาคารประเภทนี้ ควรอพยพในกรณีมีเถ้าตกลงมาสูงถึง 30 เซนติเมตรขึ้นไป เนื่องจากน้ำหนักเถ้าภูเขาไฟอาจเพิ่มขึ้นหากฝนตก ซึ่งอาจทำให้โครงสร้างพังทลายได้ ถือเป็นครั้งแรกที่ญี่ปุ่นมีคำแนะนำอย่างละเอียดสำหรับประชาชนในสถานการณ์เช่นนี้ และรัฐบาลมีแผนจะส่งต่อแนวทางนี้ไปยังกระทรวงและจังหวัดที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการวางแผนบรรเทาภัยพิบัติ

ภูเขาไฟฟูจิปะทุครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2250 หรือกว่า 300 ปีที่แล้ว โดยกินเวลาถึง 2 สัปดาห์ และนับตั้งแต่นั้นมาก็ยังคงสงบนิ่ง แต่รัฐบาลเห็นความจำเป็นในการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการปะทุในระดับเดียวกันอาจทำให้เถ้าภูเขาไฟปกคลุมหนา 10 เซนติเมตรขึ้นไป ในพื้นที่กรุงโตเกียว จังหวัดคานากาวะ รวมถึงพื้นที่อื่นๆอีกด้วย