ข่าว
คาดคนออกต่างจังหวัด 28ธ.ค. สูงสุด2แสนคน

เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การใช้บริการรถ บขส. เดินทางกลับต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลปีใหม่วันนี้ (28 ธ.ค.) ว่า บขส.คาดว่าจะเป็นวันที่มีผู้โดยสารเข้ามาใช้บริการมากที่สุด เนื่องจากเป็นวันทำงานวันสุดท้ายก่อนเทศกาลหยุดยาว ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ทำงานเสร็จแล้วก็จะเดินทางกลับบ้านทันที

“คาดว่าจะมีผู้โดยาสารเข้ามาใช้บริการตลอดทั้งวันที่ 28 ธ.ค. ประมาณ 2 แสนคน เดิม บขส.เตรียมจัดรถให้บริการไว้จำนวน 5,000 เที่ยว แต่พบว่าไม่เพียงพอจึงได้สั่งเพิ่มเที่ยววิ่งรถเพิ่มเติมอีก 2,000 เที่ยว เฉพาะในวันที่ 28 ธ.ค. เพื่อให้เพียงพอต่อผู้โดยสาร ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบปัญหาในการให้บริการ ไม่มีปัญหาผู้โดยสารตกค้าง ไม่มีการร้องเรียนเรื่องค่าตั๋วแพงแต่อย่างใด”

อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบปริมาณผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการปีนี้กับปีก่อน ในวันที่มีผู้เข้ามาใช้บริการสูงสุดคือ วันที่ 28 ธ.ค. 2555 จะเห็นว่าจำนวนผู้ใช้บริการปีนี้ลดลงจากปีก่อนประมาณ 4 หมื่นคน เนื่องจากประชาชนบางส่วนใช้รถยนต์ส่วนตัวเดินทางกลับมากขึ้น ส่วนการคาดการณ์การใช้บริการ บขส. ในวันที่ 29 ธ.ค. คาดว่าจะลดลงจากวันที่ 28 ธ.ค. เล็กน้อย โดยคาดว่าจะมีผู้โดยสารเข้ามาใช้บริการรวมประมาณ 2 แสนคน

ฉายาสภาฯ ปี 55 "จองล้าง จ้องผลาญ"

ตามธรรมเนียมปฏิบัติของทุกปี สื่อมวลชนประจำรัฐสภาได้ระดมความเห็นในการตั้งฉายาผู้ที่ทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งในส่วนของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงภาพการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยในรอบปี 2555 สื่อมวลชนประจำรัฐสภา เล็งเห็นว่าผู้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านการเมืองของประเทศ พร้อมกันนี้ยืนยันว่าการตั้งฉายาดังกล่าวได้ใช้เหตุผล ความบริสุทธิ์ใจ ปราศจากการแทรกแซงจากทุกฝ่าย และการพิจารณาทั้งหมดได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ของสื่อมวลชนประจำรัฐสภา โดยผลการพิจารณามีดังต่อไปนี้

1. เหตุการณ์แห่งปี : “พิจารณาร่างพ.ร.บ.ปรองดอง”

ถือเป็นหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ไม่น่าจดจำ เมื่อเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายในสภาผู้แทนราษฎรอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน สืบเนื่องมาจากการเสนอร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ จำนวน 4 ฉบับ โดยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และคณะส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อล้มล้างผลพวงจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 แต่ปรากฏว่าเกิดกระแสต่อต้านจากทั้งภายในและนอกสภา โดยในสภาฯพรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงการคัดค้านในระหว่างการประชุมสภาฯวันที่ 30-31 พ.ค.2555 ถึงขั้นขว้างปาแฟ้มเอกสาร สิ่งของ หรือภาพการเข้าไปฉุดกระชากลากตัวประธานสภาฯลงจากบัลลังก์ เพื่อยับยั้งการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว สร้างความเสื่อมเสียให้กับรัฐสภาอย่างมาก และเป็นข่าวไปทั่วโลก

2. วาทะแห่งปี : “เต็มใจ...เป็นขี้ข้า”

เป็นคำพูดของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 25 พ.ย.2555 เพื่อตอบโต้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ หลังจากอภิปรายพาดพิงว่าการละเว้นเพิกเฉยต่อการดำเนินการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เหมือนกับเป็นขี้ข้า ทำให้ร.ต.อ.เฉลิมลุกขึ้นชี้แจงว่า “ผมเป็นขี้ข้า แต่เสียใจหน่อยคุณสาทิตย์รู้ช้า ก็เป็นมานานแล้ว แต่ผมไม่เห็นเสียหายเลย ผมเต็มใจ" จากวิวาทะดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของร.ต.อ.เฉลิม ได้อย่างมีนัยสำคัญทางการเมือง

3. ฉายา สภาผู้แทนราษฎร : “จองล้าง..... จ้องผลาญ .....”

ภาพรวมการทำงานของสภาฯ ปี 2555 ที่ผ่านมา พบว่าทั้งในวงประชุมสภาฯ พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ที่ถือเป็นคู่แค้นทางการเมือง ต่างเสนอญัตติหรือยื่นเรื่องให้คณะกรรมาธิการ ที่เป็นพรรคพวกเดียวกันตรวจสอบฝ่ายตรงข้าม รวมถึงตั้งกระทู้ถามสด เพื่อโยงไปหาข้อผิดพลาด ข้อบกพร่องของอีกฝ่าย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการจ้องจะล้างแค้นซึ่งกันและกัน

ขณะที่ “จ้องผลาญ” คือการผลาญงบประมาณแผ่นดิน ภาพที่เห็นชัดเจนคือ การพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 55 และปี56 ที่ ส.ส.จ้องจัดสรรงบฯให้พวกตัวเอง และการจัดทริปดูงานต่างประเทศของกรรมาธิการชุดต่างๆ ซึ่งการไปดูงานต่างประเทศของคณะกรรมาธิการแต่ละชุด เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นการไปท่องเที่ยวพักผ่อน มากกว่าที่จะไปดูงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง

4. ฉายาวุฒิสภา : “ตะแกรง...เลือกร่อน”

ภาพรวมการทำหน้าที่ของวุฒิสภาตลอดปี 2555 ยังคงมีการแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน แม้ว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันจะกำหนดบทบาทวุฒิสภา ให้ทำหน้าที่หลักๆ คือ การกลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน การแต่งตั้งและถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรต่างๆ แต่ปรากฏว่าการทำงานในรอบปีที่ผ่านมากลับไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะกลุ่ม 40 ส.ว.แม้บางครั้งจะทำงานมุ่งเน้นการตรวจสอบ แต่ก็ยังเป็นที่คลางแคลงใจว่ามีวาระซ่อนเร้นต่อฝ่ายการเมืองหรือไม่ เห็นได้จากการพฤติกรรมที่พุ่งเป้าไปยังรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณี พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อฟื้นฟูน้ำท่วมปี 2554 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และโครงการรับจำนำข้าว โดยส่อเจตนามุ่งโจมตีรัฐบาล ขณะที่ส.ว.อีกกลุ่มก็พยายามออกแรงช่วยรัฐบาลอย่างเต็มที่ ถึงขนาดต้องแยกยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 171 เป็น 2 ญัตติ จากส.ว. 2กลุ่ม ทั้งที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกัน สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นเอกภาพ ไม่เป็นหนึ่งเดียว จึงเปรียบเหมือนกับ “ตระแกรง”ที่เลือกร่อน เฉพาะสิ่งที่ตัวเองต้องการ ภาพจึงออกมาคือ ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบฝ่ายการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะมากกว่า

5.ฉายาประธานสภาผู้แทนราษฎร - สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ : “ค้อนน้อย..หมวกแดง”

เจ้าของฉายา “ค้อนปลอม ตราดูไบ” เมื่อปี 2554 มาในปี 2555 ประธานสภาฯได้รับฉายา “ค้อนน้อยหมวกแดง”ด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถแสดงผลงานให้เห็นว่าตัวเองเป็นขุนค้อนที่น่าเกรงขามได้เหมือนอดีต ในทางกลับกันมีข้อครหาเรื่องความเป็นกลางหลายครั้งเกี่ยวกับการวินิจฉัยข้อขัดแย้งในสภาฯ ผนวกกับมีกรณีคลิปเสียงความยาวกว่า 20 นาทีสร้างความกระฉ่อนในทางการเมืองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีส่วนเกี่ยวข้องกับร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาด้วยการใช้งบประมาณไปดูฟุตบอลในประเทศอังกฤษ ยิ่งตอกย้ำว่าประธานสภาฯกลายเป็นขุนค้อนที่ขาดความศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นแค่ค้อนน้อยที่สวมหมวกแดง แทนการสวมหมวกของประมุขในฝ่ายนิติบัญญัติ

6. ฉายาประธานวุฒิสภา - นิคม ไวยรัชพานิช : “ผลัด...ไม้สุดท้าย”

นับว่าได้ตำแหน่งประธานวุฒิสภามาอย่างเหลือเชื่อ เนื่องจากนิคม ไวยรัชพานิช เคยทำใจแล้วว่าคงไม่สามารถก้าวถึงตำแหน่งสูงสุดในสภาสูงได้ในวาระที่เหลืออีกประมาณ 2 ปี หลังจากเคยมีความพยายามหลายครั้ง แต่เมื่อพล.อ.ธีรเดช มีเพียร มีอันต้องตกจากเก้าอี้ประธานวุฒิสภาในคดีออกระเบียบขึ้นเงินเดือนและค่าตอบแทนให้ตัวเอง สมัยดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ทำให้นายนิคมซึ่งทำหน้าที่รองประธานวุฒิสภามานานเกือบ 4 ปี ขอลงท้าชิงเก้าอี้ผู้นำสภาสูงเป็นครั้งที่ 2 โดยฝ่าย ส.ว.สรรหา เฟ้นหาตัวที่พอจะต่อกรด้วยไม่ทัน จึงสามารถเอาชนะคู่แข่งไปได้ขาดลอย วุฒิสภาจึงเกิดการผลัดขั้วการเมืองครั้งใหญ่จากสายสรรหามาเป็นสายเลือกตั้ง ก่อนที่ส.ว.เลือกตั้งจะหมดวาระลงในช่วงต้นปี 2557

7. ฉายาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : “หล่อ รับ เละ”

ต้องยอมรับว่าบทบาทการทำหน้าที่ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ในรอบปีที่ผ่านมาไม่ได้โดดเด่นเท่าที่ควร อาจเพราะตกอยู่ในสภาพต้องคดีทางการเมือง อาทิ คดี 91 ศพจากการชุมนุมทางการเมือง โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) สั่งฟ้องพร้อมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และถูกคำสั่งรมว.กลาโหมถอดยศว่าที่ร้อยตรี นอกจากนั้นยังมีปัญหาภายในพรรคมารุมเร้า ถือว่าทุกปัญหาต่างพุ่งเป้ามาที่ตัวนายอภิสิทธิ์ ขณะที่บทบาทการนำลูกพรรคในการทำหน้าที่ในสภาฯก็ไม่แสดงให้เห็น แม้ลูกพรรคจะสร้างภาพลักษณ์ให้รัฐสภาเสื่อมเสีย ก็ยังออกมาแถลงข่าวสนับสนุน รวมถึงช่วงเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ยังมอบบทบาทการนำให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้านแทนทั้งหมด จึงเปรียบเหมือน นายอภิสิทธิ์ที่มีหน้าตาดูว่าหล่อเหลา แต่ช่วงปีที่ผ่านมาถูกมรสุมการเมืองรุมถล่มจนเละ

8. ดาวเด่น : “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย ฐานะรองประธานสภาฯคนที่ 2”

มีไม่บ่อยครั้งนัก ที่ผู้นำหน้าที่ประธานควบคุมการประชุมสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครัฐบาลจะได้รับความชื่นชมถึงความเป็นกลางจากพรรคฝ่ายค้าน แต่วิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาฯกลับได้รับเกียรตินั้น ด้วยการทำหน้าที่ที่สามารถผ่อนหนักผ่อนเบา ช่วยให้บรรยากาศการประชุมที่กำลังดุเดือดผ่อนคลายลง ขณะเดียวกันได้กล่าวตักเตือน ตำหนิ ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคเดียวกันที่แสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมกลางสภาฯหลายครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการอภิปรายไม่ไว้ วางใจเมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้เป็นเครื่องการันตีว่า รองประธานสภาฯวิสุทธิ์ มีความเหมาะสม กับ การรับรางวัลดาวเด่นในที่สุด

9.ดาวดับ : “จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย - นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ - น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์”

บทบาทการทำหน้าที่ของ ส.ส. ควรจะมีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ เพราะสภาฯถือเป็นเวทีที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันว่า จะเป็นที่เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง โดยทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างก็พูดว่า ควรใช้รัฐสภาแก้ปัญหาความขัดแย้งของประเทศ แต่ ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ ประกอบด้วย “จ.ส.ต.ประสิทธิ์ – นพ.วรงค์ – น.ส.รังสิมา ที่แสดงพฤติกรรมกลางที่ประชุมสภาฯ ให้เห็นถึงความหยาบคาย ทั้งทางวาจาและพฤติกรรมที่แสดงออกมา อาทิ การกล่าว ผรุสวาท รวมไปถึงการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ถ่อย เถื่อน รวมถึงการขว้างปาสิ่งของ และลากเก้าอี้ประธานสภาฯ ทำให้ภาพพจน์ของสภาฯเสื่อมเสียอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งนักข่าวรัฐสภาต้องการสะท้อนมุมมองให้เห็นว่าพฤติกรรม ลักษณะเช่นนี้ไม่เป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้

10. คู่กัดแห่งปี : “นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ vs ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง”

ในอดีตเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่หลังจากที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทยและได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี ขณะที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้เข้าสภาฯอีกสมัยในนาม “หัวหน้าพรรครักประเทศไทย” และประกาศตัวชัดเจนยืนยันจะทำหน้าที่ในบทบาทพรรคฝ่ายค้าน ทำให้บทบาทของทั้งคู่ที่แสดงออกในสภาในรอบปีที่ผ่านมา กลายมาเป็นฝ่ายตรงข้ามกัน โดยนายชูวิทย์ได้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีร.ต.อ.เฉลิมคอยกำกับดูแลอยู่ ได้มีการนำคลิปภาพมาแฉในห้องประชุมสภาฯหลายครั้ง ทั้งการเปิดบ่อนการพนัน แหล่งอบายมุขที่ผิดกฎหมาย ทำให้ทั้งคู่เกิดการโต้เถียงกันกลางสภาฯอย่างดุเดือดหลายครั้ง จึงได้รับฉายาคู่กัดแห่งปี

11. คนดีศรีสภา: งดการเสนอชื่อบุคคล

ตำแหน่งคนดีศรีสภาประจำปี 2555 สื่อมวลชนประจำรัฐสภามีความเห็นร่วมกันว่า ยังไม่มีบุคคลที่เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว ถึงแม้จะมี ส.ส. ส.ว.หลายคนแสดงบทบาทการเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย นำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนสะท้อนผ่านเวทีรัฐสภา โดยเฉพาะกับเหตุการณ์น้ำท่วม แต่นั่นถือเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้ที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งนิยามคำว่าคนดีศรีสภา ควรเป็นการแสดงบทบาทของคนดีให้เป็นที่ประจักษ์อย่างเห็นได้ชัด แต่ในรอบปีนี้สื่อมวลชนประจำรัฐสภายังไม่เห็นมีใครเหมาะสม จึงมีความเห็นร่วมกันของดการมอบตำแหน่งคนศรีสภาประจำปี2555

ประชุมเฉพาะกิจพรรคเพื่อไทย สั่งเดินหน้าทำประชามติก่อน

"พานทองแท้ ชินวัตร" นัดเพื่อไทยประชุมเฉพาะกิจหารือปมแก้รัฐธรรมนูญ "ทักษิณ" สไกป์ร่วมถกด้วย เคาะเดินหน้าทำประชามติต่อ ก่อนให้ไปหาความเห็นนักวิชาการด้านกฎหมายมาประกอบ...

เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2555 ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีนายกรัฐมนตรี ได้เชิญแกนนำของพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช. อาทิ นายภูมิธรรม เวชชยชัย เลขาธิการพรรค นายโภคิน พลกุล ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและอดีตประธานคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาล ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรค เข้าร่วมหารือถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ชั้น 33 ตึกชินวัตร 3 โดย พ.ต.ท.ทักษิณ สไกป์เข้ามาร่วมหารือด้วย ในประเด็นโหวตวาระ 3 หรือต้องทำประชามติสอบถามว่าเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนถึงโหวตวาระ 3 หรือแก้ไขรายมาตรา

โดยที่ประชุมได้ถกกันอย่างกว้างขวางถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีแก้ไขรัฐธรรมนูญ สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า ยังจะเดินหน้าทำประชามติก่อน แม้อาจถูกฝ่ายไม่เห็นด้วยยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดมาตรา 291 ที่กำหนดวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้แล้ว ไม่ได้กำหนดให้ทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อผิดมาตรานี้แล้วจะเข้าข่ายขัดมาตรา 165 ด้วย ซึ่งกำหนดห้ามทำประชามติในเรื่องที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จึงสรุปว่าในระหว่างนี้ให้ไปสอบถามสำรวจความคิดเห็นอาจารย์ด้านกฎหายจากมหาวิทยาลัย หรือสถาบันกฎหมายต่างๆ ว่าการลงประชามติขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

ด้านนายคณวัฒน์ วศินสังวร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่แกนนำของพรรคเพื่อไทยเริ่มเป็นห่วงการทำ ประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าข่ายขัดมาตรา 291 และทำให้ขัดต่อมาตรา 165 ด้วยว่า เรื่องนี้ นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำ นปช. เคยแสดงความเป็นห่วงไว้แล้ว ในความเห็นส่วนตัวมองว่า ขณะนี้ความขัดแย้งในข้อกฎหมายการทำประชามติแล้วรัฐบาลซึ่งรับผิดชอบการทำประชามติน่าจะยื่นให้กฤษฎีกา ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลและยื่นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่ารัฐบาลทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 291, 165 หรือไม่เพื่อให้เรื่องนี้เดินหน้าไปได้